อมรรัตน์ ล้อถิรธร....รายงาน
ขณะนี้ พรรคเพื่อไทยของนายใหญ่ทักษิณ เร่งตีปี๊บเป็นการใหญ่ว่า อดีตนายทหารชั้นผู้ใหญ่ ต่างแห่เข้าสมัครเป็นสมาชิกพรรคจำนวนมาก ไม่ว่า พล.อ.ชวลิต หรือ “บิ๊กจิ๋ว” และอดีตนายทหารคนอื่นๆ ที่พาเหรดเข้าพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะ ตท.10 เพื่อนร่วมรุ่นทักษิณ จะโดดลงมาเล่นการเมืองด้วยความสมัครใจเพื่อช่วยเหลือนักโทษหนีคดีอย่างทักษิณ หรือมีปัจจัยอื่นมาเป็นแม่เหล็กดึงดูดก็ตาม เชื่อแน่ว่าเป้าประสงค์ของพรรคนี้ไม่ได้อยู่แค่การสร้างภาพว่าพรรคได้รับความสนใจ จนผู้คนหลั่งไหลไปอยู่ด้วย แต่ทักษิณและแกนนำพรรคยังหวังผลล้างภาพ “ความไม่จงรักภักดี”และการเป็น “ผู้ทรยศชาติ”ด้วย แต่แน่ใจหรือว่า ความจงรักภักดีสามารถการันตีได้ด้วยคำพูดเท่านั้น
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายงานพิเศษ
คำพูดที่ว่า “อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้” เห็นทีจะจริง เพราะจู่ๆ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตรองนายกฯ ยุครัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ น้องเขย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่เคยสร้างภาพว่าอยู่ตรงกลางด้วยแนวคิดพร้อมเป็น “โซ่ข้อกลาง” สร้างความสมานฉันท์ในบ้านเมือง กลับทำเหมือนเติมเชื้อไฟให้สังคมแตกแยกมากขึ้น ด้วยการออกมาเลือกข้างสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยเมื่อวันที่ 2 ต.ค. โดยอ้างคำพูดที่สวยหรูว่า ก่อนเข้าพรรคเพื่อไทย ได้สอบถามคนยากคนจนคนด้อยโอกาสแล้ว ทุกคนต่างชี้ให้มาอยู่ที่นี่ (ล่าสุด อ้างอีกว่า คน 5 จังหวัดภาคใต้ก็บอกให้ตนมาอยู่พรรคเพื่อไทยเช่นกัน) พล.อ.ชวลิต ออกตัวด้วยว่า “วันนี้ไม่ใช่โซ่ข้อกลาง แต่ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของคู่ขัดแย้ง แล้วก็แก้ไขจากจุดนี้ จะง่ายกว่าการเป็นโซ่ข้อกลาง”
พล.อ.ชวลิต ยังประกาศด้วยว่า จะทำให้พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคการเมืองหลักของประเทศอย่างแท้จริง โดยพรรคจะไม่ไปแย่งชิงอะไรกับใคร แต่จะร่วมมือกันช่วยเหลือบ้านเมือง...ไม่รู้ว่า คำพูดของ พล.อ.ชวลิตจะขัดกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงหรือไม่ เพราะพรรคเพื่อไทยล้วนเป็นเนื้อเดียวกับกลุ่มเสื้อแดง ซึ่งแกนนำพรรคบางคนก็เป็นทั้งแกนนำเสื้อแดงและ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ปลุกระดมมวลชนสร้างความเสียหายให้บ้านเมืองมาหลายต่อหลายครั้ง กระทั่งล่าสุดยังออกมาทวงถามความคืบหน้าเรื่องฎีกาที่ขอพระราชทานอภัยโทษให้ พ.ต.ท.ทักษิณ แม้ปากจะอ้างว่า ไม่ได้ทวงกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่ทวงกับรัฐบาล แต่การทวงในขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวรอยู่นี้ ถือเป็นเรื่องที่บังควรแล้วหรือ? แถมแกนนำเสื้อแดงยังร่ำๆ จะบุกไปหัวหิน-ชะอำ ป่วนการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนในวันที่ 23-25 ต.ค.นี้อีก นี่หรือคือการกระทำที่ช่วยเหลือบ้านเมืองอย่างที่ พล.อ.ชวลิตป่าวประกาศ!?!
เป็นที่น่าสังเกตว่า แม้ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ จะได้เตือนสติ พล.อ.ชวลิต ซึ่งเป็นอดีตผู้ใต้บังคับบัญชา แต่ พล.อ.เปรมรักและห่วงใยเหมือนเพื่อนคนหนึ่ง โดยให้ พล.อ.ชวลิตคิดให้ดี ไตร่ตรองให้รอบคอบก่อนตัดสินใจสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย ไม่เช่นนั้นอาจกลายเป็นการกระทำที่เป็นการทรยศต่อชาติ แต่ พล.อ.ชวลิตก็หาได้สนใจคำเตือนไม่ ขณะที่แกนนำพรรคเพื่อไทยเหมือนถูกจี้ใจดำด้วยคำว่า “ทรยศชาติ” จึงเรียงหน้าออกมาตอบโต้ พล.อ.เปรมกันยกใหญ่ แถมส่งคนไปแจ้งความดำเนินคดี พล.อ.เปรมฐานหมิ่นประมาทด้วย
หลัง พล.อ.ชวลิตเข้าพรรคเพื่อไทย นายใหญ่ ทักษิณ ชินวัตร ก็เริ่มสั่งให้พรรคดึงอดีตนายทหารชั้นผู้ใหญ่ให้มาอยู่กับพรรคมากๆ โดยเฉพาะอดีตนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 10(ตท.10) เพื่อนร่วมรุ่นของทักษิณ จากนั้น ภาพอดีตนายทหารแห่เข้าพรรคเพื่อไทยก็เริ่มเปิดฉากขึ้น เริ่มด้วย พล.อ.จิรเดช คชรัตน์ อดีตรองผู้บัญชาการทหารบก(รอง ผบ.ทบ.) ซึ่งพรรคเพื่อไทยแถลงเปิดตัวเมื่อวันที่ 16 ต.ค. ด้านนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย รีบการันตีว่า “พรรครักชาติ รักสถาบัน ไม่มีใครคิดทรยศต่อชาติแม้ผงธุลีเดียว ยืนยันว่า ผู้ที่เข้ามาร่วมงานกับพรรคเพื่อไทยไม่ใช่ผู้ทรยศต่อชาติ” ขณะที่ พล.อ.จิรเดช ก็ยืนยันเช่นกันว่า “ผมมีความจงรักภักดี ชีวิตการทำงานของผมมีภารกิจเกี่ยวกับสถาบันมาโดยตลอด”
ล่าสุด เมื่อวานนี้(20 ต.ค.) มี ตท.10 พาเหรดเข้าพรรคเพื่อไทยอีก นำโดย พล.อ.อ.สุเมธ โพธิ์มณี อดีตหัวหน้านายทหารฝ่ายเสนาธิการรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม และดูเหมือนจะเป็นธรรมเนียมสำหรับผู้ที่จะเข้าพรรคเพื่อไทยไปแล้วว่า นอกจากผู้ที่จะเข้าพรรคจะต้องโฆษณาความจงรักภักดีของตัวเองแล้ว ยังต้องช่วยการันตีความจงรักภักดีให้พรรคเพื่อไทยด้วย ซึ่ง พล.อ.อ.สุเมธ ก็ทำหน้าที่ได้อย่างไม่บกพร่อง โดยยืนยันว่า ตนยังมีเจตนารมณ์เหมือนที่เคยปฏิญาณตนไว้จะจงรักภักดี และทำงานเพื่อประเทศชาติและพระมหากษัตริย์ พร้อมเผยเหตุที่เข้าพรรคเพื่อไทยว่า เพราะนโยบายของพรรคดี หลายส่วนปฏิบัติได้จริง ทำให้ประชาชนอยู่ดีมีสุข มีความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
คงเป็นการฟังความข้างเดียว หากจะฟังคำยืนยันเรื่องความจงรักภักดีของพรรคเพื่อไทยและอดีตนายทหารที่เลือกข้างพรรคเพื่อไทย ลองไปฟังอดีตนายทหารและตำรวจชั้นผู้ใหญ่จากฝ่ายอื่นกันบ้างว่า จะมองปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไร และรู้สึกอย่างไรที่ พล.อ.เปรมเตือน พล.อ.ชวลิตให้คิดให้ดีเรื่องเข้าพรรคเพื่อไทย
พล.ต.ท.สมเกียรติ พ่วงทรัพย์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล และกรรมการบริหารพรรคการเมืองใหม่ มองกรณีที่แกนนำพรรคเพื่อไทยคุยโวว่าจะมีอดีตนายทหารและอดีตนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่สมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคจำนวนมากว่า เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ โดยเฉพาะตำรวจและทหารรุ่น 10 ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมรุ่นของ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะทหารและตำรวจเหล่านี้เคยได้รับการดูแลสนับสนุนจาก พ.ต.ท.ทักษิณอย่างดี อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวแล้ว เชื่อว่า การที่อดีตนายทหารและตำรวจแห่เข้าพรรคเพื่อไทยจะไม่ทำให้พรรคเพื่อไทยได้เปรียบในการเลือกตั้งครั้งหน้า ถ้าประชาชนรู้ประวัติพรรคเพื่อไทย
“ต้องเข้าใจความสัมพันธ์ของนายทหารหรือนายตำรวจรุ่นเดียวกับทักษิณ คุณทักษิณเนี่ยพอเริ่มเล่นการเมือง แล้วมีธุรกิจด้วย ในรุ่นของเขา เขาให้มีความเป็นอยู่ที่สบายมาก เรียกว่าสนับสนุนทุกอย่าง ทั้งในตำแหน่งราชการ แต่ผมขอเรียนอย่างนี้ว่า ในส่วนตัวผมเนี่ย ผมได้เห็นหลายๆ อย่างตั้งแต่ไอ้หน้าเหลี่ยมเข้ามาเล่นการเมือง ในส่วนตัวผม ผมมาจากโรงเรียนเตรียมนายร้อย เขาสอนให้จงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ การที่เราต้องพูดอย่างนี้ก่อนทานข้าว หรือเวลาวิ่งไปก็ให้พูดตะโกนอยู่อย่างนี้ และนายทหารก็เหมือนกัน ฉะนั้นสถาบันกษัตริย์เรา เขาถือว่าเป็นจอมทัพไทย สถาบันกษัตริย์ที่ประเทศไทยอยู่ได้ทุกวันนี้ ก็เพราะเรามีสถาบันกษัตริย์ที่ต่อสู้กันมา ต่อสู้กับข้าศึกศัตรูจนมีแผ่นดินอยู่ ตอนที่ต่อสู้กันมานั้น เราอาจไม่เกิด แต่ตอนนี้เราเกิดมาและอยู่ในแผ่นดินสงบร่มเย็นใต้ร่มโพธิสมภารของพระมหากษัตริย์ ทีนี้ปัญหาว่า วันนี้ไอ้นักโทษชายคนนี้มันก็หนีไป แล้วทุกคนก็ พันธมิตรฯ ก็ได้ต่อสู้ว่า ไอ้คนนี้มันนักโทษชาติปล้นแผ่นดินและมีจาบจ้วง องค์กรอิสระต่างๆ ก็เสียหายหมด ในส่วนตัวผม ผมถือว่าเขาได้ทำบาปกรรมให้กับประเทศชาติมาก”
“(ถาม-คิดว่าการที่มีทหารและตำรวจชั้นผู้ใหญ่เข้าพรรคเพื่อไทยจำนวนมาก จะทำให้พรรคเพื่อไทยได้เปรียบในการเลือกตั้งมั้ย?) ถ้าคนที่ ประชาชนเนี่ยถ้ารู้ประวัติของพรรคนี้แล้ว ผมคิดว่าเขาคงยอมรับไม่ได้ แต่ถ้าคนที่ไม่ได้ศึกษาพรรคนี้ ก็อาจจะมองไปอีกมุมหนึ่ง อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ แต่เราก็คงต้องทำความเข้าใจกับประชาชนต่อๆ ไป ...(ถาม-สื่อมวลชนบางแห่งวิเคราะห์ว่า การที่ทักษิณดึง พล.อ.ชวลิตเข้าพรรค น่าจะเป็นพรรคใบสุดท้ายแล้วที่เอามาสู้ และมองว่างานนี้อาจเป็นการวัดบารมีระหว่าง พล.อ.ชวลิต กับ พล.อ.เปรม?) คืออย่างนี้ ผมก็ไม่ใช่ว่าผมจะเชียร์ พล.อ.เปรมนะ ในประวัติศาสตร์มา เราก็เห็นนายกฯ ที่ทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติก็มี พล.อ.เปรมนี่แหละ ที่มีความซื่อสัตย์สุจริต ผมก็เห็นอย่างนี้ มันตรงข้ามกัน ถ้าวัดบารมีอะไรน่ะ”
ด้าน พล.ร.ท.ประทีป ชื่นอารมณ์ อดีตเสนาธิการฐานทัพเรือสัตหีบ และเหรัญญิกพรรคการเมืองใหม่ มองกรณีที่พรรคเพื่อไทยดึงอดีตนายทหารชั้นผู้ใหญ่เข้าพรรคจำนวนมากว่า เป็นเกมการต่อสู้ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่พยายามชิงความได้เปรียบทางการเมืองและสร้างภาพความจงรักภักดีให้กับพรรคเพื่อไทย อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวแล้วเชื่อว่า แม้ทหารจะเข้าพรรคเพื่อไทยจำนวนมาก แต่ก็จะไม่สามารถสร้างคะแนนเสียงให้พรรคดังกล่าวได้
“กรณีที่ทหารชั้นผู้ใหญ่ได้เดินพาเหรดเข้าพรรคเพื่อไทย ตรงนี้มันให้นัยว่า เกมการต่อสู้ของคุณทักษิณบนเวทีการเมือง จะเห็นว่าบนเวทีเสื้อแดงซึ่งเขาใช้เป็นเครื่องมือในการเดินทางของการเมืองเขา บนเวทีเสื้อแดงเนี่ย หลายๆ ครั้งที่เขาต่อสู้แล้วเขาพลาดพลั้งบนเวที เพราะเขาไม่สามารถจะคุมเกมบนเวทีได้ หรือเขาอาจจะมีเจตนาที่จะให้เกมบนเวทีเดินไปตามที่เขาตั้งใจ เราจะเห็นว่าเกมบนเวทีเป็นเกมที่หมิ่นเหม่ต่อการจาบจ้วงสถาบัน โดยเอาตัวประธานองคมนตรีเป็นตัวละครที่เล่น เพราะฉะนั้นในภาพที่ผ่านมา กระแสสังคมจะต้านการคิดจาบจ้วงสถาบัน ซึ่งคุณทักษิณก็รู้ว่า ในหลายๆ เดือนที่ผ่านมา ภาพของเขาถูกกัดเซาะด้วยการหมิ่นเหม่ต่อการจาบจ้วงสถาบัน แล้วตัวละครอะไรล่ะที่จะทำให้ภาพลักษณ์ที่เขาจะสามารถแก้ไขว่าเขาน่ะจงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์ ไม่ใช่แค่คิดจะล้มล้างหรือหมิ่นเหม่หรือจาบจ้วง ไม่ใช่ เพราะฉะนั้นตัวละครที่เขาควรจะเอาเข้ามาเพื่อแก้ภาพลักษณ์ต่อข้อหาจาบจ้วงสถาบันกษัตริย์ก็คือ นายทหาร ซึ่งนายทหารโดยเฉพาะทหารที่จบจาก จปร. เห็นว่าตัวละครที่เข้ามาเนี่ย จะมีสถานะขณะที่อยู่ในกองทัพ สถานะที่ตัวเด่น เช่น พล.อ.ชวลิต หรือแม้กระทั่งรายหลังสุด พล.อ.จิรเดช เข้ามา ก็เพื่อสร้างภาพให้เห็นว่า แม้กระทั่งนายทหารที่เพิ่งจะเกษียณในตำแหน่งสำคัญของกองทัพ เป็นถึงรอง ผบ.ทบ.ทันทีที่ถอดเครื่องแบบ ก็ก้าวเข้ามาสังกัดพรรคเพื่อไทยทันที มันส่อให้เห็นว่า พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคที่จงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์นะ แม้กระทั่งรองผู้บัญชาการยังก้าวเข้ามาเลย”
“ทีนี้ถามว่า มันมีนัยอย่างอื่นอีกมั้ย ผมมองว่านัยเพื่อให้แต้มคูทางการเมือง คงจะให้นัยนี้เป็นสำคัญ ส่วนว่ามาแล้วจะเพิ่มคะแนน ค่านิยม คะแนนเสียงให้คุณทักษิณนั้น ผมว่าไม่ใช่ เพราะนายทหารที่เกษียณเหล่านี้ โดยเฉพาะ พล.อ.จิรเดช เป็นตัวละครเข้ามาเนี่ย เขาไม่สามารถจะสร้างคะแนนเสียงจากประชาชนโดยตรงได้ เพราะคนที่อยู่ในระบบราชการ เป็นคนที่ไม่ได้สัมผัสกับชีวิตของประชาชน การยอมรับจากประชาชนจะแตกต่างไปโดยสิ้นเชิง เพราะฉะนั้นผมให้ความสำคัญว่า เพื่อลบล้างภาพของการไม่เลื่อมใสศรัทธาในสถาบันกษัตริย์ของระบอบทักษิณมากกว่า”
พล.ร.ท.ประทีป พูดถึงกรณีที่ พล.อ.เปรมเตือน พล.อ.ชวลิตเรื่องเข้าพรรคเพื่อไทยด้วยว่า น่าจะเป็นเพราะการเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณทั้งที่ผ่าน ส.ส.พรรคเพื่อไทยและมวลชนคนเสื้อแดง ต่างจาบจ้วง พล.อ.เปรมมาตลอด ซึ่งเป้าหมายนอกจากจะต้องการโจมตีสถาบันองคมนตรี ซึ่งเป็นที่ปรึกษาของสถาบันกษัตริย์แล้ว ยังน่าจะต้องการบั่นทอนความน่าเชื่อถือของสถาบันกษัตริย์ด้วย พล.อ.เปรมจึงเป็นห่วงกรณีที่ พล.อ.ชวลิตจะเข้าพรรคเพื่อไทย ส่วนสาเหตุที่ พล.อ.ชวลิตไม่ฟัง พล.อ.เปรม คิดว่าอาจมาจากแรงกดดัน 2 ทาง 1.พล.อ.ชวลิตหมดเงินไปกับการเมืองจนแทบจะหมดตัวแล้ว ขณะนี้บ้านปิ่นประภาคม พล.อ.ชวลิตก็ไม่ได้อยู่แล้ว แต่ไปอยู่ที่คอนโดมิเนียมแทน พล.ร.ท.ประทีป บอกด้วยว่า ก่อนที่ พล.อ.ชวลิตจะตัดสินใจเข้าพรรคเพื่อไทย ได้มีทหารคนสนิทของ พล.อ.ชวลิตเดินทางไปที่เมืองดูไบด้วย 2.แรงกดดันจากกรณีที่ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดทางอาญาในคดี 7 ตุลาฯ พล.อ.ชวลิตอาจกลัวว่าจะต้องติดคุกยามชรา จึงต้องตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง จึงต้องกลับเข้าสู่เวทีการเมืองอีกครั้ง
ด้าน พล.อ.กิตติศักดิ์ รัฐประเสริฐ อดีตผู้ช่วยหัวหน้านายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำรัฐมนตรีกลาโหม และกรรมการบริหารพรรคการเมืองใหม่ พูดถึงกรณีที่อดีตนายทหารชั้นผู้ใหญ่แห่เข้าพรรคเพื่อไทยจำนวนมากว่า เป็นการสร้างกระแสของพรรคเพื่อไทย โดยชูจุดขายเรื่องความจงรักภักดี แต่คิดว่าพรรคเพื่อไทยอาจคิดผิดที่ทำเช่นนี้ เพราะหากอนาคตพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล จะเกิดปัญหาเรื่องการวางตัวรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ ได้ พล.อ.กิตติศักดิ์ ยังเตือนสติอดีตนายทหารที่คิดเข้ามาเล่นการเมืองด้วยว่า ถ้าคิดว่าการเมืองเป็นเรื่องของการเสียสละ ก็ควรเลือกเข้าพรรคการเมืองใหม่ของพันธมิตรฯ แต่ถ้าคิดว่าการเมืองเป็นเรื่องของผลประโยชน์ก็ควรเลือกเข้าพรรคเพื่อไทย
“เป็นการสร้างกระแส โดยคิดว่าประชาชนจะหลงเชื่อ และมองว่า วันนี้สิ่งที่น่าจะขายได้ก็คงจะเอาขายให้กับคนที่มีความจงรักภักดี ก็มองว่าทหารซึ่งอาจจะเป็นทหารในหน่วยรักษาพระองค์ก็ดี หรือเคยเป็นทหารราชองครักษ์ก็ดี ถ้าเขาดึงคนเหล่านี้เข้ามา ในการที่เขาจะเป็นการโฆษณาชวนเชื่อ แต่เขาลืมไปอย่างหนึ่งว่า สิ่งที่เขาทำขณะนี้ ถ้าลองคิดให้ดีนะ ต่อไปจะเป็นปัญหา เพราะอะไรรู้มั้ย เป็นปัญหาเพราะว่าหน่วยงานที่ทหารจะไปดูแลเนี่ยมันมีกระทรวงเดียว กระทรวงกลาโหม แล้วถามว่า ทหารที่เข้าไปเยอะแยะเนี่ย สุดท้ายแล้วไม่ว่าจะเป็นมหาดไทย เกษตรฯ พาณิชย์ ยุติธรรม สาธารณสุข วิทยาศาสตร์ พลังงาน กระทรวงแรงงาน สิ่งเหล่านั้นทหารคนไหนจะไปทำให้ มันไม่ใช่หรอก เป็นการคิดที่เดินหมากผิด”
“และที่สำคัญที่สุดคือ ต้องฝากถึงน้องๆ นายทหารที่กำลังจะตบเท้าเข้าไปสู่พรรคเพื่อไทยด้วยว่า ถ้าน้องคิดว่าอยากจะทำงานการเมือง น้องต้องเข้าใจก่อนว่า การเมืองมันเป็นเรื่องอะไร การเมืองเป็นเรื่องผลประโยชน์หรือการเมืองเป็นเรื่องของการเสียสละ ถ้าคิดว่าจะทำงานเพื่อประเทศชาติเนี่ย น้องจะต้องมาเดินสู่การเมืองใหม่ ซึ่งเป็นเรื่องของการเสียสละ แต่ถ้าคิดว่าเรื่องผลประโยชน์ โอเคก็คงเลือกไม่ผิดหรอกที่ก้าวไปสู่ตรงนั้น เป็นธุรกิจการเมือง แต่ในสิ่งเหล่านี้ถามว่าทำไมเราถึงจะเอาเกียรติยศชื่อเสียงที่เราสะสมมา รับราชการมาจนกระทั่งเกษียณอายุ เป็นถึงนายพลเอก พล.ท. พล.อ.ท. พล.อ.อ. หรือ พล.ร.อ.อะไรต่างๆ ต้องมองว่าเราจริงๆ เราเป็นทหารของพระราชา แต่วันนี้เรากลับกลายเป็นว่า เราไปรับใช้ใครกันแน่ เราเป็นทหารของแผ่นดิน เราต้องเป็นผู้พิทักษ์แผ่นดิน ผลประโยชน์ของชาติ รักษาสถาบันชาติ ศาสนา โดยเฉพาะสถาบันสูงสุดคือ สถาบันพระมหากษัตริย์ ตรงนี้ต่างหากที่คิดว่า อย่าไปทำตามกระแสหรือไปทดแทนบุญคุณว่า โอเคนะเราเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน ตลอดเวลามาเนี่ย เพื่อนคนนี้เขาก็เอาเงินให้รุ่นเราทุกปี เลี้ยงดูเราอย่างดี เรามีวันนี้ได้เพราะเพื่อนให้การอุดหนุนขึ้นมา มันไม่ใช่ มันเป็นการคิดประโยชน์ตัวเองมากกว่าคิดประโยชน์เพื่อส่วนรวมเพื่อสังคม แล้วอย่าคิดว่าประชาชนสมัยนี้เขาจะโง่ วันนี้ประชาชนรู้เท่าทันแล้ว”
พล.อ.กิตติศักดิ์ ยังให้แง่คิดเรื่องทหารกับการเมืองด้วยว่า ปกติแล้วทหารถูกสร้างขึ้น เพื่อไว้ปกป้องประเทศ ทำสงครามเปิดหรือรักษาความสงบเรียบร้อยในประเทศ มิได้สร้างขึ้นมาเพื่อทำ “สงครามการเมือง” แต่ขณะนี้ประเทศไทยกำลังตกอยู่ในสงครามการเมืองอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งสงครามการเมืองมีองค์ประกอบอยู่ 6 ตัว 1. อุดมการณ์ ซึ่งก็คือความคิดหรือความเชื่อ คนที่มีความเชื่อเดียวกันก็จะอยู่ด้วยกัน 2.มวลชน เมื่อคนมีความคิดเหมือนกันก็จะมาอยู่ด้วยกันเป็นมวลชน 3.การจัดตั้ง เมื่อมีมวลชนก็ต้องมีการจัดตั้ง ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถควบคุมมวลชนได้ 4.กุศโลบาย อุบายหรือกลลวงเพื่อหล่อหลอมคนหรือฝ่ายตรงข้าม 5.สงครามจิตวิทยา คือทำอย่างไรก็ได้ให้คนเชื่อ ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จก็ตาม 6.สงครามการข่าว ซึ่งขณะนี้สังคมกำลังเผชิญอยู่ ไม่ว่าจะเป็นข่าวลือข่าวปล่อยที่ทำให้หุ้นตกในช่วงที่ผ่านมา
ดังนั้นการที่อดีตนายทหารจำนวนมากสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะ พล.อ.ชวลิต จะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า พล.อ.ชวลิตต้องการสร้างความสมานฉันท์ให้คนในชาติจริงหรือไม่ หากหลังจากนี้ การเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงมีความสงบเสงี่ยมเรียบร้อย และ พ.ต.ท.ทักษิณหยุดการเคลื่อนไหวได้ ก็ถือว่าเป็นความสามารถของ พล.อ.ชวลิต แต่ถ้าสถานการณ์เป็นไปในทางตรงกันข้าม คือมีเหตุรุนแรงหรือก่อวินาศกรรมกันมากขึ้น พล.อ.ชวลิตก็คงเหมือนเดิมอย่างที่ใครๆ ก็เรียกว่า “พ่อใหญ่ลา” ดังนั้น ครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสสุดท้ายแล้วสำหรับ พล.อ.ชวลิตว่า จะทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองหรือไม่?