สถานการณ์บ้านเมืองกำลังตึงเครียดเข้าทุกที เพราะอยู่ดีๆ คนมีอาวุธ ถืออำนาจในบ้านเมืองออกมาข่มขู่อาณาราษฎรว่าอดทนไม่ได้แล้ว จะต่อสู้อย่างเต็มที่ จะใช้ทั้งวิธีการตามกฎหมาย แม้นอกกฎหมายก็จะยอมทำ
วิธีการนอกกฎหมายจะหมายถึงตีหัวชาวบ้าน อุ้มฆ่าชาวบ้าน หรือปฏิวัติรัฐประหาร หรืออย่างไร หรือว่าจะต่อสู้กับใคร กลับไม่บอกกล่าวแถลงไขออกมาให้ชัด ดังนั้นความหวาดหวั่นพรั่นพรึงจึงแผ่ซ่านไปทั้งบ้านทั้งเมือง
เพราะการกล่าวอย่างนั้นไม่ใช่วิสัยของทหาร ที่ต้องยึดมั่นในวินัย ดังที่ผู้บังคับบัญชาทั้งหลายได้อบรมสั่งสอนต่อเนื่องกันมาว่า ทหารเป็นผู้ถืออาวุธ เป็นผู้ทำหน้าที่ปกปักรักษาเอกราชอธิปไตยของชาติ ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ และยอมพลีแม้ชีวิตเพื่อพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งพระบรมเดชานุภาพ
ดังนั้นทหารจึงต้องมีวินัย และต้องตระหนักด้วยสติให้มั่นอยู่เสมอว่า วินัยนั่นแล้วคือสิ่งบ่งบอกและคุ้มครองป้องกันตนให้เป็นทหารที่สมบูรณ์ มีความด่างพร้อยตกหล่นหรือหมดสิ้นไปวันไหน ก็หมดความเป็นทหารในวันนั้น
การกล่าวความอย่างนั้นแน่นอนว่าสะท้อนถึงอารมณ์และการเผอเรอของสติจึงย่อมไม่เกิดผลดีต่อผู้บังคับบัญชาและตนเอง หากกลับกลายเป็นผลร้ายใหญ่หลวงยิ่งนัก เพราะเมื่อคนทั้งหลายได้ยินได้ฟังดังนั้นแล้ว ก็จะมีความรู้สึกนึกคิดต่างๆ นานาอันไม่เป็นผลดีแก่กองทัพและทหารเลย
สถานการณ์บ้านเมืองถึงยามตึงเครียดก็เพราะผู้มีอำนาจในวันนี้กำลังมีความสับสน แยกไม่ออกระหว่างเรื่องส่วนตน ส่วนตัว หรือเรื่องครอบครัวกับเรื่องประเทศชาติ เอามาสับสนปนเปจนมั่วกันไปหมด
เมื่อผู้มีอำนาจในบ้านเมืองมีความสับสน ประชาชนก็ต้องสับสน จนเกิดอลหม่านวุ่นวายกันไปทั่ว กลายเป็นความแตกแยกแตกสามัคคีที่มุ่งร้ายหมายขวัญต่อกันประหนึ่งว่าเป็นศัตรู ในขณะที่อริราชศัตรูตัวจริงหรือกับผู้ที่เป็นศัตรูของชาติ กลับไม่มีความรู้สึกนึกคิดร้อนหนาวประการใดตอบโต้เลย
นี่จะเรียกว่าเป็นอาเพศอย่างหนึ่งที่กำลังเกิดขึ้นในบ้านเมืองก็ได้
บ้านเมืองตึงเครียด ความรู้สึกนึกคิดของคนก็ตึงเครียด แล้วจะเอาอย่างไรกันดีเล่า? ประเทศไทยจะลงเอยอย่างไรเล่า?
มันจะลงเอยอย่างไร ก็ย่อมเกิดจากเหตุปัจจัยที่ก่อขึ้น เมื่อสร้างเวรสร้างกรรมไว้กับชาติบ้านเมืองอย่างไร ก็ต้องรับผลและชะตากรรมอย่างนั้นโดยไม่มีวันหลีกเลี่ยงหลบหนีได้
และเวรกรรมที่ทำกับบ้านเมืองนั้นเป็นกรรมหนัก วิบากกรรมจึงสนองเอาทั้งแก่ผู้คนในยุคเราท่านและตกทอดไปถึงลูกหลานเหลนโหลนโดยไม่ต้องสงสัย ดังนั้นจึงมีแต่ต้องหยุดยั้งกรรมชั่วทั้งหลาย หันมาสร้างกรรมดีไว้กับบ้านเมืองเท่านั้น จึงจะช่วยลูกหลานเหลนโหลนในภายหน้าไม่ให้ต้องรับวิบากกรรมที่คนรุ่นเราท่านได้ก่อขึ้น
ในปลายสมัยราชวงศ์ฮั่นในยุคสามก๊ก แผ่นดินเป็นจลาจล เล่าปี่เชื้อพระวงศ์แห่งราชวงศ์ฮั่นเป็นเชื้อสายรุ่นที่ 17 ของพระเจ้าฮั่นเกงเต้ เป็นทุกข์ร้อนด้วยแผ่นดิน คิดจะกอบกู้ฟื้นฟูบ้านเมืองให้กลับสู่ความสงบสุข ต่อมาได้รับคำแนะนำจากผู้เป็นปราชญ์ซึ่งปลีกวิเวกแล้ว แนะนำให้ไปหาฮกหลงหรือฮองซูเพื่อเชื้อเชิญให้มาเป็นที่ปรึกษาคิดอ่านกอบกู้แผ่นดิน
ในระหว่างออกเดินทางเพื่อเชื้อเชิญขงเบ้งมาทำราชการนั้น เล่าปี่ได้พบกับปราชญ์คนหนึ่งชื่อว่าซุยเป๋ง เห็นท่วงท่าถ้อยคำต้องด้วยลักษณะผู้ทรงปัญญาวิชาคุณ เล่าปี่จึงออกปากเชิญให้มาช่วยทำราชการ โดยกล่าวกับซุยเป๋งว่า
“แผ่นดินบัดนี้เป็นจลาจล ขุนศึกต่างๆ พากันแก่งแย่งแข่งอำนาจทำสงครามกันไม่หยุดหย่อน อาณาประชาราษฎรได้รับความเดือดร้อนตกอยู่ในทุกข์เข็ญทุกหย่อมหญ้า ตัวข้าพเจ้าเป็นเชื้อพระวงศ์ ไม่อาจดูดายด้วยเอ็นดูราษฎรนัก จึงตั้งปณิธานที่จะช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินให้เป็นสุข แต่ข้าพเจ้ามีสติปัญญาน้อย คิดอ่านทำการไม่ตลอด จึงเดินทางมาบ้านนี้ หวังจะคำนับเชิญขงเบ้งไปอยู่ช่วยทำราชการ ปราบปรามยุคเข็ญให้เป็นสุขสืบไป”
ซุยเป๋งได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ แล้วกล่าวว่า “เป็นธรรมดาแห่งสรรพสิ่ง มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป ความหมุนเวียนเปลี่ยนไปเป็นธรรมชาติ ที่ไม่อาจมีผู้ใดยับยั้งแปรผันให้เป็นอย่างอื่น แต่กระนั้นน้ำใจท่านที่เอ็นดูราษฎร ยอมยากลำบากมาหาขงเบ้งถึงบ้านนี้ ต้องนับว่าเป็นน้ำใจอันดีงามควรแก่ความเป็นเชื้อพระวงศ์
แต่ทว่าการจะฝืนกฎแห่งฟ้าดินเป็นการใหญ่หลวงนัก แผ่นดินแต่ก่อนมาตั้งแต่ครั้งพระเจ้าฮั่นโกโจก็เป็นสุข เป็นสุขแล้วก็เป็นศึก กลายเป็นจลาจลเพราะอองมังเป็นกบฎ แย่งชิงเอาแผ่นดิน จนพระเจ้าฮั่นกองบู๊ปราบปรามกบฎได้สำเร็จ ชิงแผ่นดินกลับคืน เสร็จศึกแล้วแผ่นดินก็เป็นสุข สงครามแลสันติภาพ การศึกแลสันติเกิดขึ้นหมุนเวียนเปลี่ยนไปดังนี้สี่ร้อยปีแล้ว
บัดนี้แผ่นดินถึงคราวเป็นจลาจล ซึ่งท่านจะคิดอ่านปราบปรามการจลาจลยามที่จะต้องเป็นจลาจลให้เป็นสุขนั้นเป็นการขัดต่อวิถีแห่งฟ้า เกลือกไม่สมปรารถนาก็จะป่วยการเสียเปล่า อันเกิดมาเป็นคนทุกวันนี้ พึงพิจารณาเห็นสัจธรรมแลความผันแปรนั้น บุญธรรมกรรมแต่งประการใดย่อมเป็นไปตามนั้น จะหักห้ามหรือฝืนวาสนาอันเป็นลิขิตฟ้าดินนั้นมิได้”
ในที่สุดซุยเป๋งก็ไม่ยอมปลีกวิเวกไปช่วยทำราชการกับเล่าปี่ ส่วนขงเบ้งมีน้ำใจอาทรราษฎรและเห็นแก่ความศรัทธามั่นของเล่าปี่จึงยอมละวิเวก เคลื่อนตัวออกจากแดนมังกรหลับไปด้วยเล่าปี่ แล้วทุ่มเทใช้ภูมิปัญญาวิชาคุณอันแจ้งฟ้าจบดิน ใช้เวลาสิบกว่าปีก็สามารถแบ่งแผ่นดินให้เล่าปีได้ครองก๊กหนึ่งในสามก๊ก แต่ในที่สุดขงเบ้งก็ต้องกรำงานหนักจนตัวตาย และท้ายสุดทุกก๊กก็ล่มสลาย
วันเวลาผ่านไปพันกว่าปี นามของขงเบ้งยังกระเดื่องเลื่องชื่อลือชาเป็นที่นับถือทั่วไปในสากลโลกว่าเป็นผู้รับผิดชอบต่อการบ้านเมือง ในขณะที่เกือบทั้งหมดแทบไม่มีใครจะรู้จักหรือจำชื่อซุยเป๋ง ซึ่งแม้เป็นปราชญ์แต่ก็เป็นปราชญ์จำพวกเกิดมาแล้วตายเปล่า เหมือนหมูหมาเท่านั้น
ส่วนผู้ที่รู้จักและจำชื่อซุยเป๋งได้ก็จะจำและรู้สึกในทางประณามหยามเหยียดว่าเป็นคนเกิดมาเสียชาติเกิด ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ไม่รู้รับผิดชอบต่อประเทศชาติและราษฎร
ดังนั้นใครจะเลือกเป็นแบบขงเบ้งหรือจะเลือกเป็นแบบซุยเป๋งก็สุดแท้แต่ใจจะเลือก แต่ทว่าเหตุการณ์ที่เป็นไปในบ้านเมืองของเราทุกวันนี้ คงมีคนแบบซุยเป๋งเกิดขึ้นเป็นอันมาก โดยเฉพาะคนที่มีอำนาจในบ้านเมือง จึงไม่รู้ร้อนรู้หนาว รู้สุขรู้ทุกข์ในแผ่นดิน
พี่น้องทหาร ตำรวจ และประชาชน ถูกฆ่าฟันบาดเจ็บล้มตายลงเป็นเบือทุกเมื่อเชื่อวันในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ก็ไม่มีใครรู้สึกรู้สา
เขมรกล่าวหาเหยียดหยามเกียรติศักดิ์ของเหล่าทหารแห่งกองทัพไทยว่าไร้น้ำยา ไม่มีคุณค่าอะไร ต่อให้สามคนก็สู้ทหารเขมรคนเดียวไม่ได้ อันกระทบต่อพระบรมเดชานุภาพขององค์จอมทัพไทย ก็ไม่มีใครรู้สึกรู้สา
เขมรส่งกำลังทหารเข้าไปยึดที่ดินรอบปราสาทเขาพระวิหารเพิ่มเติมไปอีก 4.6 กิโลเมตร ขับไล่ทหารไทยออกนอกพื้นที่ แล้วยึดครองอย่างสมบูรณ์ก็ไม่มีใครพูดจาว่ากล่าว และบัดนี้ก็มาถึงขั้นที่ห้ามทหารไทยแต่งเครื่องแบบและพกอาวุธไปในพื้นที่แถบนั้นแล้ว
เขมรแย่งยึดดินแดนอันเป็นอธิปไตยในอ่าวไทยเอาไปให้ชาติอื่นสัมปทานสำรวจขุดเจาะก๊าซและน้ำมัน ก็ไม่มีใครรู้สึกรู้สา ที่มีปากบ้างก็อ้างว่าไม่กระทบไทย
พวกอริราชศัตรูจาบจ้วงล่วงละเมิดพระมหากษัตริย์ก็ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ไม่รู้สึกนึกคิดใดๆ
เพราะเป็นอย่างนั้น บ้านเมืองจึงเป็นอย่างนี้ คือทำให้ประชาชนเสียขวัญ หมดกำลัง ทอดอาลัยตายอยาก เพราะไม่รู้ว่าจะลงเอยอย่างไร จะไปทางไหน
แต่ถึงกระนั้นก็ยังต้องมีทางออกอยู่ร่ำไป สุดแท้แต่จะออกทางไหนเท่านั้น หากคิดไม่ออกก็จะบอกให้สักทางหนึ่ง คือเตรียมอพยพกลับไปสู่ภูเขาอัลไตกันเถิด เพราะหากเป็นไปอย่างนี้ คนไทยจะไม่มีแผ่นดินอยู่อีกต่อไป
เพื่อเตรียมความพร้อม ก็ต้องเชิญชวนพี่น้องประชาชนทั้งที่เป็นทหาร ตำรวจ ข้าราชการ และชาวบ้านอย่างเราท่านให้ช่วยกันเตรียมปี๊บไว้สำหรับคลุมหัวในระยะต้น เพราะไม่สามารถมองหน้าสายตาเพื่อนร่วมชาติและชาวโลก เนื่องจากอัปยศอดสูใจยิ่งนัก
ครั้นถึงคราวอพยพไปสู่ภูเขาอัลไต ก็สามารถใช้ปี๊บนั้นตักน้ำตักท่าระหว่างทาง หรือใช้คลุมหัวกันแดดกันฝนได้อีกด้วย และถ้าจะให้ดีก็ให้หาผ้านุ่งสตรีไว้ประจำตัวทุกตัวคน จะได้ไม่ต้องคิดคำนึงถึงศักดิ์ศรีเกียรติภูมิใดๆ อีกต่อไป จิตใจจะได้สบายกว่าที่เป็นอยู่.
วิธีการนอกกฎหมายจะหมายถึงตีหัวชาวบ้าน อุ้มฆ่าชาวบ้าน หรือปฏิวัติรัฐประหาร หรืออย่างไร หรือว่าจะต่อสู้กับใคร กลับไม่บอกกล่าวแถลงไขออกมาให้ชัด ดังนั้นความหวาดหวั่นพรั่นพรึงจึงแผ่ซ่านไปทั้งบ้านทั้งเมือง
เพราะการกล่าวอย่างนั้นไม่ใช่วิสัยของทหาร ที่ต้องยึดมั่นในวินัย ดังที่ผู้บังคับบัญชาทั้งหลายได้อบรมสั่งสอนต่อเนื่องกันมาว่า ทหารเป็นผู้ถืออาวุธ เป็นผู้ทำหน้าที่ปกปักรักษาเอกราชอธิปไตยของชาติ ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ และยอมพลีแม้ชีวิตเพื่อพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งพระบรมเดชานุภาพ
ดังนั้นทหารจึงต้องมีวินัย และต้องตระหนักด้วยสติให้มั่นอยู่เสมอว่า วินัยนั่นแล้วคือสิ่งบ่งบอกและคุ้มครองป้องกันตนให้เป็นทหารที่สมบูรณ์ มีความด่างพร้อยตกหล่นหรือหมดสิ้นไปวันไหน ก็หมดความเป็นทหารในวันนั้น
การกล่าวความอย่างนั้นแน่นอนว่าสะท้อนถึงอารมณ์และการเผอเรอของสติจึงย่อมไม่เกิดผลดีต่อผู้บังคับบัญชาและตนเอง หากกลับกลายเป็นผลร้ายใหญ่หลวงยิ่งนัก เพราะเมื่อคนทั้งหลายได้ยินได้ฟังดังนั้นแล้ว ก็จะมีความรู้สึกนึกคิดต่างๆ นานาอันไม่เป็นผลดีแก่กองทัพและทหารเลย
สถานการณ์บ้านเมืองถึงยามตึงเครียดก็เพราะผู้มีอำนาจในวันนี้กำลังมีความสับสน แยกไม่ออกระหว่างเรื่องส่วนตน ส่วนตัว หรือเรื่องครอบครัวกับเรื่องประเทศชาติ เอามาสับสนปนเปจนมั่วกันไปหมด
เมื่อผู้มีอำนาจในบ้านเมืองมีความสับสน ประชาชนก็ต้องสับสน จนเกิดอลหม่านวุ่นวายกันไปทั่ว กลายเป็นความแตกแยกแตกสามัคคีที่มุ่งร้ายหมายขวัญต่อกันประหนึ่งว่าเป็นศัตรู ในขณะที่อริราชศัตรูตัวจริงหรือกับผู้ที่เป็นศัตรูของชาติ กลับไม่มีความรู้สึกนึกคิดร้อนหนาวประการใดตอบโต้เลย
นี่จะเรียกว่าเป็นอาเพศอย่างหนึ่งที่กำลังเกิดขึ้นในบ้านเมืองก็ได้
บ้านเมืองตึงเครียด ความรู้สึกนึกคิดของคนก็ตึงเครียด แล้วจะเอาอย่างไรกันดีเล่า? ประเทศไทยจะลงเอยอย่างไรเล่า?
มันจะลงเอยอย่างไร ก็ย่อมเกิดจากเหตุปัจจัยที่ก่อขึ้น เมื่อสร้างเวรสร้างกรรมไว้กับชาติบ้านเมืองอย่างไร ก็ต้องรับผลและชะตากรรมอย่างนั้นโดยไม่มีวันหลีกเลี่ยงหลบหนีได้
และเวรกรรมที่ทำกับบ้านเมืองนั้นเป็นกรรมหนัก วิบากกรรมจึงสนองเอาทั้งแก่ผู้คนในยุคเราท่านและตกทอดไปถึงลูกหลานเหลนโหลนโดยไม่ต้องสงสัย ดังนั้นจึงมีแต่ต้องหยุดยั้งกรรมชั่วทั้งหลาย หันมาสร้างกรรมดีไว้กับบ้านเมืองเท่านั้น จึงจะช่วยลูกหลานเหลนโหลนในภายหน้าไม่ให้ต้องรับวิบากกรรมที่คนรุ่นเราท่านได้ก่อขึ้น
ในปลายสมัยราชวงศ์ฮั่นในยุคสามก๊ก แผ่นดินเป็นจลาจล เล่าปี่เชื้อพระวงศ์แห่งราชวงศ์ฮั่นเป็นเชื้อสายรุ่นที่ 17 ของพระเจ้าฮั่นเกงเต้ เป็นทุกข์ร้อนด้วยแผ่นดิน คิดจะกอบกู้ฟื้นฟูบ้านเมืองให้กลับสู่ความสงบสุข ต่อมาได้รับคำแนะนำจากผู้เป็นปราชญ์ซึ่งปลีกวิเวกแล้ว แนะนำให้ไปหาฮกหลงหรือฮองซูเพื่อเชื้อเชิญให้มาเป็นที่ปรึกษาคิดอ่านกอบกู้แผ่นดิน
ในระหว่างออกเดินทางเพื่อเชื้อเชิญขงเบ้งมาทำราชการนั้น เล่าปี่ได้พบกับปราชญ์คนหนึ่งชื่อว่าซุยเป๋ง เห็นท่วงท่าถ้อยคำต้องด้วยลักษณะผู้ทรงปัญญาวิชาคุณ เล่าปี่จึงออกปากเชิญให้มาช่วยทำราชการ โดยกล่าวกับซุยเป๋งว่า
“แผ่นดินบัดนี้เป็นจลาจล ขุนศึกต่างๆ พากันแก่งแย่งแข่งอำนาจทำสงครามกันไม่หยุดหย่อน อาณาประชาราษฎรได้รับความเดือดร้อนตกอยู่ในทุกข์เข็ญทุกหย่อมหญ้า ตัวข้าพเจ้าเป็นเชื้อพระวงศ์ ไม่อาจดูดายด้วยเอ็นดูราษฎรนัก จึงตั้งปณิธานที่จะช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินให้เป็นสุข แต่ข้าพเจ้ามีสติปัญญาน้อย คิดอ่านทำการไม่ตลอด จึงเดินทางมาบ้านนี้ หวังจะคำนับเชิญขงเบ้งไปอยู่ช่วยทำราชการ ปราบปรามยุคเข็ญให้เป็นสุขสืบไป”
ซุยเป๋งได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ แล้วกล่าวว่า “เป็นธรรมดาแห่งสรรพสิ่ง มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป ความหมุนเวียนเปลี่ยนไปเป็นธรรมชาติ ที่ไม่อาจมีผู้ใดยับยั้งแปรผันให้เป็นอย่างอื่น แต่กระนั้นน้ำใจท่านที่เอ็นดูราษฎร ยอมยากลำบากมาหาขงเบ้งถึงบ้านนี้ ต้องนับว่าเป็นน้ำใจอันดีงามควรแก่ความเป็นเชื้อพระวงศ์
แต่ทว่าการจะฝืนกฎแห่งฟ้าดินเป็นการใหญ่หลวงนัก แผ่นดินแต่ก่อนมาตั้งแต่ครั้งพระเจ้าฮั่นโกโจก็เป็นสุข เป็นสุขแล้วก็เป็นศึก กลายเป็นจลาจลเพราะอองมังเป็นกบฎ แย่งชิงเอาแผ่นดิน จนพระเจ้าฮั่นกองบู๊ปราบปรามกบฎได้สำเร็จ ชิงแผ่นดินกลับคืน เสร็จศึกแล้วแผ่นดินก็เป็นสุข สงครามแลสันติภาพ การศึกแลสันติเกิดขึ้นหมุนเวียนเปลี่ยนไปดังนี้สี่ร้อยปีแล้ว
บัดนี้แผ่นดินถึงคราวเป็นจลาจล ซึ่งท่านจะคิดอ่านปราบปรามการจลาจลยามที่จะต้องเป็นจลาจลให้เป็นสุขนั้นเป็นการขัดต่อวิถีแห่งฟ้า เกลือกไม่สมปรารถนาก็จะป่วยการเสียเปล่า อันเกิดมาเป็นคนทุกวันนี้ พึงพิจารณาเห็นสัจธรรมแลความผันแปรนั้น บุญธรรมกรรมแต่งประการใดย่อมเป็นไปตามนั้น จะหักห้ามหรือฝืนวาสนาอันเป็นลิขิตฟ้าดินนั้นมิได้”
ในที่สุดซุยเป๋งก็ไม่ยอมปลีกวิเวกไปช่วยทำราชการกับเล่าปี่ ส่วนขงเบ้งมีน้ำใจอาทรราษฎรและเห็นแก่ความศรัทธามั่นของเล่าปี่จึงยอมละวิเวก เคลื่อนตัวออกจากแดนมังกรหลับไปด้วยเล่าปี่ แล้วทุ่มเทใช้ภูมิปัญญาวิชาคุณอันแจ้งฟ้าจบดิน ใช้เวลาสิบกว่าปีก็สามารถแบ่งแผ่นดินให้เล่าปีได้ครองก๊กหนึ่งในสามก๊ก แต่ในที่สุดขงเบ้งก็ต้องกรำงานหนักจนตัวตาย และท้ายสุดทุกก๊กก็ล่มสลาย
วันเวลาผ่านไปพันกว่าปี นามของขงเบ้งยังกระเดื่องเลื่องชื่อลือชาเป็นที่นับถือทั่วไปในสากลโลกว่าเป็นผู้รับผิดชอบต่อการบ้านเมือง ในขณะที่เกือบทั้งหมดแทบไม่มีใครจะรู้จักหรือจำชื่อซุยเป๋ง ซึ่งแม้เป็นปราชญ์แต่ก็เป็นปราชญ์จำพวกเกิดมาแล้วตายเปล่า เหมือนหมูหมาเท่านั้น
ส่วนผู้ที่รู้จักและจำชื่อซุยเป๋งได้ก็จะจำและรู้สึกในทางประณามหยามเหยียดว่าเป็นคนเกิดมาเสียชาติเกิด ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ไม่รู้รับผิดชอบต่อประเทศชาติและราษฎร
ดังนั้นใครจะเลือกเป็นแบบขงเบ้งหรือจะเลือกเป็นแบบซุยเป๋งก็สุดแท้แต่ใจจะเลือก แต่ทว่าเหตุการณ์ที่เป็นไปในบ้านเมืองของเราทุกวันนี้ คงมีคนแบบซุยเป๋งเกิดขึ้นเป็นอันมาก โดยเฉพาะคนที่มีอำนาจในบ้านเมือง จึงไม่รู้ร้อนรู้หนาว รู้สุขรู้ทุกข์ในแผ่นดิน
พี่น้องทหาร ตำรวจ และประชาชน ถูกฆ่าฟันบาดเจ็บล้มตายลงเป็นเบือทุกเมื่อเชื่อวันในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ก็ไม่มีใครรู้สึกรู้สา
เขมรกล่าวหาเหยียดหยามเกียรติศักดิ์ของเหล่าทหารแห่งกองทัพไทยว่าไร้น้ำยา ไม่มีคุณค่าอะไร ต่อให้สามคนก็สู้ทหารเขมรคนเดียวไม่ได้ อันกระทบต่อพระบรมเดชานุภาพขององค์จอมทัพไทย ก็ไม่มีใครรู้สึกรู้สา
เขมรส่งกำลังทหารเข้าไปยึดที่ดินรอบปราสาทเขาพระวิหารเพิ่มเติมไปอีก 4.6 กิโลเมตร ขับไล่ทหารไทยออกนอกพื้นที่ แล้วยึดครองอย่างสมบูรณ์ก็ไม่มีใครพูดจาว่ากล่าว และบัดนี้ก็มาถึงขั้นที่ห้ามทหารไทยแต่งเครื่องแบบและพกอาวุธไปในพื้นที่แถบนั้นแล้ว
เขมรแย่งยึดดินแดนอันเป็นอธิปไตยในอ่าวไทยเอาไปให้ชาติอื่นสัมปทานสำรวจขุดเจาะก๊าซและน้ำมัน ก็ไม่มีใครรู้สึกรู้สา ที่มีปากบ้างก็อ้างว่าไม่กระทบไทย
พวกอริราชศัตรูจาบจ้วงล่วงละเมิดพระมหากษัตริย์ก็ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ไม่รู้สึกนึกคิดใดๆ
เพราะเป็นอย่างนั้น บ้านเมืองจึงเป็นอย่างนี้ คือทำให้ประชาชนเสียขวัญ หมดกำลัง ทอดอาลัยตายอยาก เพราะไม่รู้ว่าจะลงเอยอย่างไร จะไปทางไหน
แต่ถึงกระนั้นก็ยังต้องมีทางออกอยู่ร่ำไป สุดแท้แต่จะออกทางไหนเท่านั้น หากคิดไม่ออกก็จะบอกให้สักทางหนึ่ง คือเตรียมอพยพกลับไปสู่ภูเขาอัลไตกันเถิด เพราะหากเป็นไปอย่างนี้ คนไทยจะไม่มีแผ่นดินอยู่อีกต่อไป
เพื่อเตรียมความพร้อม ก็ต้องเชิญชวนพี่น้องประชาชนทั้งที่เป็นทหาร ตำรวจ ข้าราชการ และชาวบ้านอย่างเราท่านให้ช่วยกันเตรียมปี๊บไว้สำหรับคลุมหัวในระยะต้น เพราะไม่สามารถมองหน้าสายตาเพื่อนร่วมชาติและชาวโลก เนื่องจากอัปยศอดสูใจยิ่งนัก
ครั้นถึงคราวอพยพไปสู่ภูเขาอัลไต ก็สามารถใช้ปี๊บนั้นตักน้ำตักท่าระหว่างทาง หรือใช้คลุมหัวกันแดดกันฝนได้อีกด้วย และถ้าจะให้ดีก็ให้หาผ้านุ่งสตรีไว้ประจำตัวทุกตัวคน จะได้ไม่ต้องคิดคำนึงถึงศักดิ์ศรีเกียรติภูมิใดๆ อีกต่อไป จิตใจจะได้สบายกว่าที่เป็นอยู่.