“โฆษกพรรคประชาธิปัตย์” ยันพรรคเห็นดีทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญตามข้อเสนอกรรมการสมานฉันท์ เย้ย “เพื่อไทย”เร่งเคลียร์ปัญหารอยร้าวภายใน หวั่นกระทบความคืบหน้า ดักคอลิ่วล้อแม้วหวังฟื้นรัฐธรรมนูญ 40 ช่วยคืนอำนาจ “พ่อแม้ว” ลบล้างความผิด ยัน นายกฯ พร้อมลงทุกพื้นที่ แม้เสื้อแดงประกาศขวาง
วันนี้ (10 ต.ค.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการประชุมวิป 3 ฝ่ายเพื่อผลักดันแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า ถือว่ามีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยมีความเห็นร่วมกันว่าให้แก้ไขรัฐธรรมนูญตามแนวทางของคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ส่วนการทำประชามติ พรรคประชาธิปัตย์ เห็นว่าสำคัญ เพราะการแก้ไขรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดควรได้รับฉันทามติจากอำนาจสูงสุดของประชาชน ส่วนกรณีพรรคเพื่อไทยที่มีข่าว ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ลาออกจากประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์เห็นว่าเป็นเรื่องภายในของพรรคเพื่อไทย ซึ่งต้องมีการแสวงหาความเห็นร่วมกัน โดยสาเหตุเกิดจากความเห็นต่างของ ส.ส.กับกลุ่มที่มีบทบาทในการกำหนดแนวทางพรรค ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์รู้สึกเห็นใจ เพราะจะทำให้ระบบพรรคการเมืองทำงานยากขึ้น และหวังว่าจะได้ข้อยุติโดยเร็วเพราะพรรคเพื่อไทยมีส่วนร่วมการปฏิรูปการเมือง การทอดเวลาให้ล่าช้าออกไปจะสะท้อนถึงการขับเคลื่อนหลายหน้า เพราะแกนนำบางส่วนก็ประสานงานกับแนวร่วมกลุ่ม นปช. ซึ่งปฏิเสธและขัดขวางการสมานฉันท์ในสภา แต่อาศัยการขับเคลื่อนนอกสภา
ทั้งนี้ นพ.บุรณัชย์ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ห่วงจุดที่มีการเรียกร้องรัฐธรรมนูญปี 2540 ที่กลุ่มเสื้อแดงเรียกร้อง โดยอ้างว่ามีประชาธิปไตยมากกว่า แต่เจตนาที่ชัดเจนคือการหวังผลที่จะให้คดีอาญาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มีผลเป็นโมฆะ และเปิดทางให้พ.ต.ท.ทักษิณ กลับสู่อำนาจโดยไม่ต้องรับโทษ สอดรับกับการโฟนอินของพ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อวันที่ 9 ต.ค.ที่อ้างว่ารัฐธรรมนูญปี 2540 มีประชาธิปไตยมากกว่า จึงอยากให้คนที่สนับสนุนรัฐธรรมนูญปี 2540 ระบุออกมาว่าการใช้รัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวเพื่อให้มีผลต่อคดีอาญาเป็นโมฆะจริงหรือไม่ เพราะการแก้ปัญหาให้คนเดียวเคยเกิดมาแล้วและทำให้บ้านเมืองถึงทางตัน จึงอยากให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมคืนอำนาจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญกับประชาชน โดยพรรคประชาธิปัตย์จะมีการประชุมนัดพิเศษในเรื่องนี้ในวันอังคารที่ 13 ต.ค.นี้
นอกจากนี้ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ยังได้กล่าวถึงกรณีที่นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช อดีต รมช.การคลัง ออกมาระบุว่า การบริหารงานของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เกิดข้อผิดพลาดทำให้เศรษฐกิจไทยติดลบ 6 เปอร์เซ็นต์ว่า ก่อนหน้าที่รัฐบาลประชาธิปัตย์จะเข้ามาบริหารประเทศมีนักวิชาการตลอดจนผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนได้พยากรณ์ไว้ว่าเศรษฐกิจไทยจะติดลบอยู่ระหว่าง 8-12 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งการพาดพิงเช่นนี้เมื่อเทียบตัวเลขแล้วจะพบว่ามีความแตกต่างถึงครึ่งหนึ่ง อีกทั้งในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ก็เริ่มมีดัชนีชี้วัดทั้งด้านการลงทุน ส่งออก บริโภค และท่องเที่ยว เริ่มกระเตื้องขึ้น และคาดว่าจะเพิ่มเป็นบวกในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้
ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่าการที่เศรษฐกิจไม่ฟื้นตัวก็เกิดจากการชุมนุมสร้างความวุ่นวายของกลุ่มเสื้อแดงที่พยายามบั่นทอนความเชื่อมั่นทั้งในการลงทุนรวมถึงการท่องเที่ยว ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าสะท้อนถึงภาพลบในสายตาในสังคมโลก จึงขอให้นายสุชาติกลับย้อนไปดูพวกเดียวกันเองก่อนว่า ทำถูกต้องแล้วหรือไม่ เพราะถ้าหากไม่มีการชุมนุมเพื่อสร้างความวุ่นวายปั่นป่วน และลดความน่าเชื่อถือคาดว่าเศรษฐกิจก็จะสามารถดำเนินไปตามที่คาดไว้ ทั้งนี้ ยังถือว่าประเทศไทยโชคดีกว่าอีกหลายแประเทศที่ไม่มีภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งหากเศรษฐกิจฟื้นตัวเป็นบวกขึ้น ก็จะขยายตัวทางเศรษฐกิจได้มากยิ่งขึ้น ยันภาคเอกชนถือเป็นหุ้นส่วนรัฐช่วยชาติ ส่วนกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ โฟนอินพาดพิงถึงการบริหารงานของรัฐบาลว่าเป็นการแยกภาคธุรกิจออกเป็นกลุ่มสีเหลือง สีแดงนั้น
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ขอชี้แจงว่ารัฐบาลนี้ไม่เคยมองภาคธุรกิจเอกชนว่าเป็นกลุ่มสีเหลือง หรือ สีแดง ซึ่งเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือและบั่นทอนในการลงทุน แต่เรามองว่าเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่จะร่วมกันพัฒนาและฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยรวมของชาติ และไม่มีพฤติกรรมเช่นที่รัฐบาลในอดีตสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ที่เคยใช้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เข้าตรวจสอบในภาคเอกชน ตลอดจนคู่แข่งขันทางการเมือง จึงขอให้ย้อนกลับไปดูพฤติกรรมตัวเองก่อน ที่สำคัญคนที่มีส่วนในการทำลายและบั่นทอนความน่าเชื่อถือเศรษฐกิจภาพลักษณ์ของชาติในสายตาของนานาชาติมากที่สุดก็คือ พ.ต.ท.ทักษิณที่ยังคงมีความพยายามดำเนินการทุกวิถีทางใช่หรือไม่ ขอให้ย้อนกลับไปดูตัวเองส่วนการชุนนุมของกลุ่มเสื้อแดงวันที่ 11 ต.ค.ว่า พรรคประชาธิปัตย์มีความกังวล และอยากร้องขอด้วยความห่วงใยว่าไม่อยากให้บ้านเมืองกลับไปสู่ความวุ่นวาย เกิดการจลาจลแตกแยกอีก หลังจากที่บ้านเมืองอยู่ในความสงบระยะหนึ่ง จึงอยากวิงวอนให้เสื้อแดงเห็นแก่ประโยชน์ของชาติ ซึ่งนายกฯ และครม.ยังต้องแก้วิกฤตของประเทศโดยการลงพื้นที่ทั้ง จ.อุบลราชธานี อุดรธานี และจ.เชียงใหม่ ที่รัฐบาลยืนยันว่าจะต้องไปเยี่ยมเยียน