“กาญจนา” น้ำตาไหล พันธมิตรฯแขนขาขาด ช่วยเหลือไม่ได้ เพราะไม่มีเครื่องมือ ระบุเสียสละ ยอมเหนื่อยเพื่อทุกคนในชาติ ด้าน “ชัชญา” ซึ้งใจพันธมิตรฯ ได้รับบาดเจ็บ แผลเหวอะหวะ แต่สู้ไม่ถอย ขณะที่ “ดร.ปริญญา” เปรียบ รบ.มือเปื้อนเลือด ดั่งสุนัขบ้า พยายามยุให้พันธมิตรฯใช้ความรุนแรง จะได้เข้าเงื่อนไขสลายชุมนุม ฝากถามมือยิง เป็นคนไทยหรือป่าว ส่วน “ดร.บรรลือ” ยันไม่ท้อ เดินหน้าทำความดี เชื่อ ทำดีย่อมได้ดี และด้าน “นพ.กุศล” สับ รบ.นอมินี ใช้ ปชช.เป็นเบี้ยแลกอำนาจทางการเมือง
รายการ “แอน จินดารัตน์” ออกอากาศทางเอเอสทีวี-ทีวีของประชาชน ช่วงเวลา 20.30-21.30 น.วันที่ 5 ตุลาคม 2552 โดยมี แอน จินดารัตน์ เจริญชัยชนะ ดำเนินรายการ ได้รับเกียรติจาก นางกาญจนา กาญจนเสวี, นางชัชชญา เจนศิริบุญญา, ดร.ปริญญา พุทธาภิบาล,ดร.บันลือ เอมอมรจิต, นพ.กุศล ประวิตรไพบูลย์, มาร่วมเล่าเรื่องราว กรณีเจ้าหน้าที่รัฐ สั่งสลายการชุมนุม 7 ต.ค.ผ่านมุมมองของแพทย์ พยาบาล ที่อาสาเขามาร่วม ในการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
กับคำถามที่ว่า ทำไมเข้ามาเป็นอาสาพยาบาล นางกาญจนา กาญจนเสวี กล่าวว่าตนเคยเข้าร่วมเป็นชุมนุมตั้งแต่ ปี 2548 ทุกครั้งที่มีการชุมนุมตนก็จะอาศัยเวลาว่างเข้าร่วมด้วยเสมอ พอมาช่วงหลังๆ มีประชาชนเข้าร่วมชุมนุมจำนวนมาก เห็นพี่น้องเหนื่อย เป็นลม ตนก็มานั่งคิดว่า เราก็มีพื้นฐานด้านพยาบาล น่าจะสามารถทำประโยชน์ให้ส่วนรวมได้มากกว่าที่จะนั่งถือมือตบฟังปราศรัยเฉยๆ จากนั้นจึงสมัครเข้ามาเป็นแพทย์อาสา คอยช่วยเหลือพี่น้องพันธมิตรฯที่เข้าร่วมชุมนุม ขับไล่รัฐบาลนอมินี ที่พยายามผูกขาดอำนาจ ระบอบทุนนิยม และกำลังขายชาติยกเขาวิหารให้เขมร ในขณะนั้น
นางกาญจนา กล่าวถึงช่วงที่รัฐบาลนอมินี บอกจะสลายการชุมนุมในช่วงกลางดึกวันที่ 6 ตนได้ตั้งหน้าตั้งตารอเฝ้าดูเหตุการณ์ อดหลับอดนอน เพราะกลัวว่าพี่น้องพันธมิตรฯ จะประสบอันตราย จนกระทั่งถึงเวลา 6 โมงเช้า ทุกอย่างยังสงบ ตนจึงเข้าไปนอน ด้วยความคิดที่ว่า สว่างแล้วไม่น่าจะมีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น จากนั้นก็ได้ยินเสียงระเบิด จึงออกมาดูที่เต็นท์พยาบาล เห็นคนเข้ามานั่งรอรักษาเป็นร้อย บาดเจ็บโดนสะเก็ดระเบิด มีเลือดไหล ในจำนวนนี้มีคุณลุงคนหนึ่งที่ตนเห็นแล้วสะเทือนใจอย่างมาก โดนแก๊สน้ำตา เข้าที่ดวงตาซึ่งตนเชื่อว่า ดวงตาต้องบออดอย่างแน่นอน เมื่อเห็นสภาพพี่น้องพันธมิตรฯทำให้ตนถึงกับน้ำตาไหล เพราะไม่สามารถช่วยอะไรได้ เนื่องจาก ยา และอุปกรณ์เครื่องมือที่มี สามารถทำได้แค่ปฐมพยาบาลขั้นพื้นฐานเท่านั้น
นางกาญจนา กล่าวว่า การการต่อสู้มา ยอมรับว่ามีท้อบ้าง แต่จะสู้ต่อไป ซึ่งการต่อสู้นี้ไม่ใช่ได้ประโยชน์เฉพาะแค่พันธมิตรฯ อย่างเดียว แต่ร่วมถึงประชาชนชาวไทยทุกคน เช่น ทวงเขาวิหาร หรือทวง ปตท.เพื่อให้ประชาชนได้ใช้น้ำมันถูกลง อย่างไรก็ตาม ช่วงเกิดเหตุการณ์ใช้ความรุนแรง ที่หน้ากอง บัญชาการตำรวจนครบาล แม้จะเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่อีกด้านตน ก็ดีใจและปลี้มใจเป็นที่สุด ที่พี่น้องพันธมิตรฯ ยึดมั่นในอุดมการณ์ โดนแก็สน้ำตา ก็วิงเข้ามาล้างตาที่เต็นท์พยาบาล แล้วก็วิ่งกลับไปร่วมชุมนุมอีก และหลังเกิดเหตุการณ์รุนแรงดังกล่าว แล้วทางเวทีได้ประกาศ ว่า พี่น้องเราโดนยิง ขออาสาสมัคร หมอ พยาบาล ด่วน จากนั้นมี หมอ พยาบาล เข้ามาขอเป็นอาสาสมัครจำนวนมาก
นางชัชญา กล่าวถึงความเป็นมาเป็นไปที่เข้าร่วมเป็นอาสาสมัครพยาบาล ว่า ช่วงชุมนุมแรกๆ จะมีเต็นท์พยาบาลหลังเวที เล็กๆ ตนเข้าอาสาทำหน้าที่จ่ายยา ดม ยาปฐมพยาบาลพื้นฐาน จากนั้นมวลชนขยายตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จึงประจำทำหน้าที่ ที่เต็นท์พยาบาลเป็นหลัก พร้อมกับกล่าวถึงเหตุการณ์ประทับใจ ช่วงรัฐสั่งสลายการชุมนุม มีผู้ได้รับบาดเจ็บ แผลเหวอะหวะ แต่ไม่ยอมให้หมอรักษา พวกเขาสู้มาก เอาแต่ร้องขอกระเป๋าคืน บอกจะออกไปร่วมชุมนุมต่อ
นางชัชญา กล่าวอีกว่ายอมรับว่าเหนื่อยกับการต่อสู้ที่ผ่านมา แต่เมื่อมองพระบรมฉายาลักษณ์พระองค์ท่าน ก็ทำให้มีแรงที่จะสู้ต่อไป อย่างไรก็ตาม เท่าที่ดูตอนนี้ เด็ก ๆ เยาวชน ยังไม่รู้ว่า พื้นที่ตรงไหนเป็นของประเทศไทย ตรงนี้อยากฝากให้ผู้ใหญ่เปลี่ยนสื่อการสอน ทำให้เด็กรักชาติ หวงแหนแผ่นดิน และเมื่อเขาเติบโตขึ้น หากเข้าทำหน้าที่ทางการเมือง จะได้มี ส.ส.ที่มีคุณธรรม จริยธรรมเข้ามา ไล่ ส.ส.ระบอบเก่าๆ ออกไป
นพ.นายกุศล กล่าวเสริม หลังตำรวจมาปิดหมาย แล้วทำให้การ์ด ได้รับบาดเจ็บ นิ้วหัก หัวแตก เราจึงเกิดแนวคิด อบรมปฐมพยาบาลเบื้องต้น แต่ขีดความสามารถทำได้แค่นั้น รับได้เต็มที่ แค่หัก กับแตก แต่ช่วงเหตุการณ์สลายชุมนุม คนที่เข้ามารับการรักษาพยาบาลมีทั้ง แขนขาด ขาขาด ทำให้ตนถึงกับอึ้งยืนนิ่งอยู่พักใหญ่ ทั้งที่เคยเป็นแพทย์ทหารมาก่อนหน้านี้ ส่วนที่บอกว่าพันธมิตรฯ มีอาวุธเข้าร่วมชุมนุม ถือเป็นการโกหกคำโค เพราะการชุมนุม มีผู้สื่อข่าวหลายสำนัก และอย่างน้อยต้องมีตำรวจ ทหาร ที่แอบแฝงเข้ามาร่วมในการชุมนุมอยู่แล้ว ที่ประเทศยังไม่เจริญ เพราะยังมีคนทีมีแนวคิด ทำรายประชาชนเพื่อเป็นทางผ่าน อย่างไรก็ตาม ตนเชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรม เพราะตัวอย่างให้เห็นมาแล้วมากมาย ถ้ากรรมไม่ตกกับคุณตอนแก่ ก็จะตกแก่ลูกหลานของคุณ
ดร.ปริญญา พุทธาภิบาล กล่าวว่าโดยนิสัยส่วนตัวสนใจเรื่องของบ้านเมืองพอควร ช่วงแรกๆที่พันธมิตรฯชุมนุม ปี 2548-2549 ตอนั้นตนได้ติดตามข่าวมาตลอด ต่อมาก็เป็นกลุ่มสนับสนุน เงิน สิ่งของต่างๆ จากนั้นก็เข้าร่วมชุมนุม โดยขันเป็นแพทย์อาสา เพราะเห็นว่ามี หมอ พยาบาล น้อยมาก พร้อมประณามการกระทำของรัฐบาลมือเปื้อนเลือด เหมือนสุนัขบ้า กัดไปเรื่อย ทำทุกวิธีทางให้พันธมิตรฯกลั้นไม่อยู่จนก่อความรุนแรง เพื่อจะได้ใช้เป็นเหตุผลสลายการชุมนุม ทั้งนี้ต้องชื่นชม นายจำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ ที่บอกว่า เลือดล้างด้วยเลือดไม่ได้ ไม่อย่างนั้นมันจะไม่จบ จึงต้องต่อสู้ด้วยแนวทาง สันติวิธี อหิงสา ซึ่งในที่สุดก็ได้เห็นถึงชัยชนะ
“คนพวกนี้ใจดำ นอกจากจะยิงแก็สน้ำตาใส่ประชาชนมือเปล่าแล้ว ยังปล่อยแก๊สน้ำตาผ่านตามาท่อ ตลอดถนนราชดำเนินนอก ส่งผลให้พี่น้องพันธมิตรฯบ่น แสบตา กันเป็นแถว ต้องเอากระสอบชุบน้ำไปเดินไล่ปิดตามท่อตลอดเส้นทางถนน” ดร.ปริญญา กล่าว
ดร.ปริญญา กล่าวถึงเหตุการณ์ช่วยคนไข้ที่ลืมไม่ลง มีลุงคนหนึ่ง เข้ามารับการรักษาพยาบาล ตนได้ถามว่ามีลูกหรือหลานหรือไม่ จะได้โทรไปบอกให้เขารับทราบ ลุงคนนี้ตอบว่าอย่าโทรศัพท์ไปบอกลูกลุงนะ เพราะลุงมาเอง ส่วนอีกท่านเป็นคนป้าอายุ 70 กว่า ตนถามป้าว่าจะไปไหนต่อ ป้าปอกว่าเดี๋ยวป้าขอกลับบ้านก่อนสักพัก ตนก็ถามว่าป้ามายังไง มีเงินค่ารถกลับหรือป่าวถ้าไม่มีเดี๋ยวตนจะออกค่ารถให้ ป้าบอกว่าไม่เป็นไร ตั้งป้ามีเยอะ นอกจากนี้ช่วงที่เข้าชุมนุมได้พบเพื่อนทั้ง คณะแพทย์ เพื่อนร่วมมหาวิทยาลัย แสดงให้เห็นว่า คนที่เข้าร่วมชุมนุม มีคนที่มีฐานะ มีความรู้ความสามารถ อยู่มาก
ดร.ปริญญา กล่าวทิ้งท้าย ว่า เชื่อว่าทุกอย่างจะดีขึ้น แต่ต้องใช้เวลา ตอนนี้ก็เริ่มมองเห็นอนาคตของประเทศมาบ้างแล้ว การที่พันธมิตรฯ เป็นเจ้าของพรรคการเมืองใหม่ ตรงนี้น่าจะเป็นอีกแรง ที่ทำให้ประเทศก้าวพ้นผ่าวิกฤติตรงนี้ไปได้
ดร.บันลือ กล่าวถึงแรกเริ่มเดิมที ถึงบทบาทในการชุมนุม 193 วัน ว่า มาร่วมชุมนุมหลัง ตีหนึ่ง และจะกลับหกโมงเช้า เพราะเห็นว่าช่วงนี้คนจะน้อย ช่วงดึกๆไม่รู้จะทำอะไรก็ได้เดินเก็บขยะไปเรื่อย จากนั้นก็มีความคิดผุดขึ้นมาว่า ที่จริงเราน่าจะทำประโยชน์ได้มากกว่าที่เป็นอยู่ จึงเข้าร่วมเป็นอาสาสมัครดังกล่าวจนจบการชุมนุม ทั้งนี้ขณะที่ทำหน้าที่อยู่ในเต็นท์ ตนได้ยินเสียงระเบิดขึ้น ก็คิดในใจว่า พันธมิตรฯชนะแล้ว เพราะการชุมนุม ผู้ใช้ความรุนแรงคือผู้แพ้ แต่ที่น่าเศร้า ต่อเหตุการณ์ในช่วงนั้นคือ มีประชาชนได้รับบาดเจ็บ สาหัส เยอะมาก
เมื่อถามว่า ท้อหรือไม่จากการร่วมชุมนุมกับพันธมิตรฯ ดร.บันลือ กล่าวว่าจะท้อไม่ได้ หากท้อเท่ากับแพ้ ทั้งนี้ตนเชื่อว่าหากคิดทำในสิ่งที่ดี น่าจะได้สิ่งที่ดีกลับคืนมา ดังนั้นที่ต่อสู้มาน่าจะเห็นผล ประสบความสำเร็จได้ในเร็ว ๆ นี้
นพ.นายกุศล ประวิตรไพบูลย์ กล่าวถึงเหตุที่ทำให้เข้าร่วมเป็นแพทย์อาสา ว่า เริ่มมาตั้งแต่การชุมนุมของพันธมิตรฯ ปี 48 ตนเคยไปช่วยงานในเต็นท์พยาบาลที่สนามหลวง ด้วยเหตุผลที่ว่า ตน ถูกสร้างให้เป็นหมอ มีหน้าที่รักษาคนเจ็บ ก็จริง แต่หากปล่อยให้ประเทศป่วย มันก็ไปไม่ได้ จากนั้นได้เข้าร่วมในการชุมนุมตลอดมา
“6 ต.ค. นักศึกษาออกมาเคลื่อนขบวนเพื่อต้องการให้บ้านเมืองสงบ เพราะมีนักการเมือง ใช้ประชาชนเป็นเบี้ยทางการเมือง ซึ่งตนคิดว่าน่าจะจบตั้งแต่ตรงนั้นแล้ว แต่ก็เกิดเหตุการณ์ทำนองเดิมในปี 51 อีก ตรงนี้ตนรับไม่ได้ที่คนไทยต้องมาฆ่ากันเอง เป็นการกระทำที่ล้าหลังมาก สั่งฆ่าคน เอาประชาชนเป็นเบี้ยในการแสวงหาอำนาจ อย่างไรก็ตาม บาปกรรมมีจริงและได้ตามทันแล้วในชาตินี้ กับโรงมะเร็ง หลังบอกว่า 6 ต.ค. มีคนตายแคคนเดียว ทั้งนี้หากไม่มาขอโทษประชาชนที่เสียชีวิตไป ตนเชื่อว่าจะไปในภพภูมิที่ไม่ดีแน่”นพ.นายกุศล กล่าว
นพ.นายกุศล กล่าวถึงเหตุการณ์สลายชุมนุม 7 ต.ค. ว่า อยากถามถึงคนที่ใช้อาวุธยิงใส่ประชาชน ว่า เป็นคนไทยหรือไม่ แม้จะรับคำสั่งมา แต่ด้วยความที่เป็นมนุษย์ มีสามัญสำนึก คุณย่อมรู้ว่าจะเกิดการสูญเสียเลือดเนื้อ และต้องไม่ทำ นอกจากนี้จากคลิปวีดีโอยังมีเสียงพูดของตำรวจคนหนึ่ง ว่า“มึงอยู่ได้ ให้มึงอยู่ไป”พร้อมกับใช้แก๊สน้ำตากระหน่ำยิงไม่หยุด ตรงนี้ไม่รู้ว่าถูกสั่งสอนมาอย่างไร ทั้งที่พันธมิตรฯเคลื่อนไหวเพราะเขาอยากเห็นประเทศเจริญ
นพ.นายกุศล กล่าวว่าเสียใจที่รัฐบาลในช่วงนั้น ใช้ความรุนแรงที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง และเสียใจกับญาติพี่น้องทั้งหลาย ที่บุคคลอันเป็นที่รักกับเหตุการณ์ 7 ต.ค. บนความเสียสละนี้ทำให้ประเทศไทยกำลังเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดี ทุกคนทนเหนื่อย ทนร้อน ไม่ได้ประโยชน์อะไรกับตัวเองเลย แต่ได้สิ่งที่ดี ๆ ต่อแผ่นดินในอนาคต
“พ่อตนบอกตนเสมอว่า พ่อเป็นคนจีน ลูกมีเชื้อสายคนจีนก็จริง แต่กินข้าวไทย ต้องสนองคุณแผนดิน เพราะคนไทยปลูกข้าวให้กิน อย่างไรก็ตาม น้องโบว์ ที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ 7 ต.ค. หากจิตใจท่านยังอยู่ ตนขอให้สัญญา ว่า จะทำหน้าที่ปกป้องแผ่นดิน จนกว่าชีวิตจะหาไม่”นพ.นายกุศล กล่าว
เมื่อถามถึงแนวคิดที่มีต่อ คอลัมน์นิส ของมติชน ในช่วงกู้ชาติได้กล่าวหาว่าพันธมิตรฯที่เข้าร่วมชุมนุมจะไปยิงนักการเมือง ที่ประชุมในราชวัง ประเด็นนี้ นายกุศล กล่าวถึงคนเขียน ว่า วุฒิไม่ถึง วิเคราะห์ไม่เป็น ชุมนุมพันธมิตรฯมีทหารระดับแม่ทับหลายท่าน หากจะไปยิงหัวหนักการเมือง เป็นเรื่องไม่ยากเลยสำหรับทหารที่ผ่านการสู้รบมาอย่างโชกโชน ทั้งนี้หากตนเป็นเจ้านายคนพวกนี้ ตนจะไล่ออกไปให้หมด เพราะอยู่ไปก็เสียสถาบันวิชาชีพ ด้านนางกาญจนา กล่าวว่าทุกคนนอนบนพื้นถนน ไม่มีใครล้ำเส้นไปยืนบนฟุตบาทเลย ดังนั้นจึงไม่มีทางเป็นไปได้อย่างเด็ดขาด การกระทำของคนเขียน คอลัมน์นิส ต้องการบิดเบือนข่าว ขณะที่ ดร.ปริญญา กล่าวว่า เป็นไปไม่ได้ หากทำ ต้องทำตั้งแต่ที่อยู่รัฐสภาแล้ว ในเหตุการณ์วันนั้นขอชุม คุณ “ต้ำ” ที่ดึงมวลชนให้สงบ ใจเย็น ๆ เราอย่าต่อสู้ ให้นั่งลงกับพื้นนิ่งๆ ส่วน นายปริญญา กล่าวว่า คนเขียนเป็นพวกที่ไม่ได้รับรู้ข่าวสาร หรืออาจมีส่วนในผลประโยชน์ หนังสือพิมพ์ฉบับดังกล่าว ไม่ได้ให้ความเป็นธรรมกับพวกเรา