"สนธิ" ถามจิตสำนึก หากเสียเขาพระวิหาร 4.6 ตารางกิโลเมตร คนอย่าง "มาร์ค-กษิต-ประวิตร-อนุพงษ์-ขรก.ต่างประเทศ" ที่อยู่ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และจะทำพระองค์เจ็บช้ำ จนประวัติศาสตร์จะต้องจารึกตรงนี้ ว่าเราจะสูญเสียดินแดนในสมัยพระองค์หรือ? อัดคนกระทรวงต่างประเทศห่วงตำแหน่ง เปิดทางล้างความผิดตัวเอง ยกหนังสือปฏิญญาข้าวเที่ยง "ฮอ นัม ฮอง" ไม่รับยกเลิกแถลงการณ์ฝ่ายไทย อ้างเอกสารสมัย "นพดล ปัทมะ" ยังมีความผูกพัน
คลิกที่จอภาพเพื่อรับชม
รายการ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ทางเอเอสทีวี ช่วงเวลา 20.30-22.00 น.วันที่ 4 ก.ย.นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มาร่วมรายการโดยได้กล่าวถึง เรื่อง “การเสียดินแดนเขาพระวิหาร” ว่า เราสูญเสียไม่ได้ หมายความว่า เราโง่ แต่กลายเป็นว่า คนของเรากลับชั่วร้ายที่จงใจให้เราเสียอธิปไตย ปัญหาเขาพระวิหารหลายฝ่าย มองว่าสลับซับซ้อน บางคนบอกว่า มีองค์ประกอบมาก มีปัญหามากมาย โดยเฉพาะข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ ทหารบางคน และนักการเมือง
ทั้งนี้ เขาพระวิหารถือเป็นเรื่องธรรมดาสามัญไม่ซับซ้อน แต่เพราะมีคนต้องการขายชาติ ปกปิดความผิดของตัวเอง ต้องการแลกกับผลประโยชน์ในอนาคต และทำให้เรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง กลายมาเป็นเรื่อง จากการสูญเสียพื้นที่บริเวณเขาพระวิหาร เข้าไป 4.6 ตารางกิโลเมตร คนเหล่านี้เขาไม่มองถึงแผ่นดิน กลับไปร่วมกับทหารเลว ๆบางคนที่ทำมาค้าขายชายแดน เห็นด้วยและเปิดทางให้เขมรเข้ามา
นายสนธิ กล่าวว่า หากมองไปลึกๆหลายเรื่องในแผ่นดินไทย ที่มีเวรกรรมเพราะมีคนชั่ว ไม่รักชาติ ไม่ทำตัวให้เท่ากับอำนาจที่ได้รับมอบหมายมา ทำให้แผ่นดินไทยมีเวร มีกรรม ให้กับคนพวกนี้ที่เกิดมาชั่ว จนทำให้สังคมไทยล่มสลาย
“เขาพระวิหาร เหมือนกับกรณีที่ดินอัลไพน์ เป็นเรื่องธรรมดาที่สุด ที่ยายเนื่อง ยกที่ให้วัด มัคทายกนำไปขายให้นายเสนาะ(เทียนทอง) ขายให้พ.ต.ท.ทักษิณ (ชินวัตร) เมื่อผิดกฎหมายเขาก็เรียกคืน แต่ที่เรียกคืนกลับไม่ยอมคืน ทั้งที่กฤษฎีกาวินิจฉัยว่าผิด เรื่องถูกส่งไปกระทรวงมหาดไทย 1 ปี แต่เรื่องนี้ปลัดกระทรวงฯที่เป็นคนของนายสุเทพ (เทือกสุบรรณ) กลับนำไปใส่ลิ้นชัก ดังนั้นจะเห็นว่า 2 เรื่องนี้ง่ายนิดเดียว”
นายสนธิกล่าวว่า สนธิสัญญาในปี 1907 มีความชัดเจนว่า พื้นที่นี้เป็นของคนไทยตามสันปันน้ำเขตแดน ขณะที่ปี 2005 ศาลโลกพิพากษาเพียงอธิปไตยตัวปราสาท ว่าเป็นของเขมร และมีมติ 3 ข้อประกอบด้วย 1.ฝ่ายต้องไทยถอนทหาร ยาม ตำรวจ บนปราสาทออกมา 2. ให้ถอนออกจากพื้นที่รอบ ๆ และ 3. ถอนวัตถุโบราณที่ไทยครอบครอง จะเห็นได้ว่า ตรงนี้เขมรจงใจโกง ในปี 1908 ศาลโลกไม่พิจารณาเรื่องพื้นที่ทับซ้อน พิจารณาเพียงอธิปไตยตัวปราสาท
“แต่จู่ๆเรื่องที่เนิ่นนานมากว่า 50 ปี ลูกหลานพระยาละแวกกลับออกมาพูดในปี 2546 พูดสมัยรัฐบาลไทยรักไทย มีพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกฯ ที่จะนำเงินมาลงทุน มาแปรรูป กฟผ. และมีนอมินี ที่ขายชาติ ซื้อหุ้น ปตท.เก็บเอาไว้ และเงินที่ขายหุ้น บริษัทชินคอร์ป จะไปลงทุนพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลที่มีแก๊ซมีน้ำมัน ตามแผนที่จะเห็นว่า ทักษิณมีความต้องการ ที่เขาต้องคุยกับนายฮุนเซน ที่กำลังสู้ศึกการเมืองกับ สม รังสี ลูกของเจ้านโรดมสีหนุ เขาต้องทำให้ได้คะแนนเสียง ดังนั้นถ้าพรรคไทยรักไทยก็หลับตาข้างนึง ยกเขาพระวิหารให้ฮุนเซน”
นายสนธิ กล่าวว่า การเจรจาปี 2546 จึงเป็นปีแรกและเป็นจุดเริ่มตัน ที่นักการเมือง ร่วมกับคนขายชาติบ้านเมือง แลกผลประโยชน์ทางทะเลโดยไม่ใส่ใจ
ทั้งนี้ นายสนธิยกตัวอย่าง กรณีปัญหาบ้านร่มเกล้า บริเวณชายแดนลาว ที่มีพ่อค้าไม้ชาติชั่ว ต้องการไปตัดไม้ในฝั่งลาว แต่ถูกทหารลาวไล่ออกมา ซึ่งพ่อค้าไม้มีผลประโยชน์กับกองทัพภาค 3 จึงต้องการที่จะให้ไทยไปรบที่ร่มเกล้า ซึ่งเป็นการสนองตัณหาพ่อค้าไม้ชาติชั่วเท่านั้น
นายสนธิ กล่าวต่อว่า ชายแดนเขมรนั้นมีผลประโยชน์ทั้งหมด โดยเฉพาะการค้าของเถื่อน สิ่งผิดกฏหมาย ทั้ง รถที่ผ่านเขมร ออกชายแดน ทำให้หลายคนร่ำรวย ถือเป็นเรื่องหน้าเศร้า เพราะคนที่สร้างบ้านให้เขมรหลังละ 5 หมื่นบาทก็เป็น ทหารผู้ใหญ่ไทยบางคน โดยมีการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ แลกเปลี่ยนมาตั้งแต่สมัยพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็น ผบ.ทบ. ทหารบางคนสมัยชวลิต มียศร้อยเอก เป็นลูกน้องพันตรี พันโท จนปัจจุบันกลายเป็นพล.ต. ก็ยังค้าขายชายแดนตลอด
นายสนธิ กล่าวว่า เราถอยออกจากปราสาทเขาพระวิหารมาถึง 5 ครั้ง ตามคำสั่งศาลโลก ที่ยกปราสาทให้เขมร ในปี 2505 นายถนัด คอมันตร์ รมว.ต่างประเทศสมัยนั้น ทำหนังสือถึง นายอูทัน เลขาธิการสหประชาชาติ สมัยนั้น ว่าผิดต่อหลักข้อเท็จจริง และระบุว่า นอกการถอนออกจากปราสาท ฝ่ายไทยของสงวนสิทธิทุกประการที่จะโต้แย้งด้านกฎหมาย ด้วยข้อมูลที่มีอยู่ จนถึงปี 2546 ครั้งที่สอง ฝ่ายไทยถอยมายังบันไดนาคราช ขั้นที่ 196 ที่ถอยเพราะรัฐบาลชาติชั่วครั้งนั้นหลับตาข้างหนึ่ง เรากั้นรั้วครั้งแรก พอครั้งที่ 3-4 ก็ถอยมาถึงคู และครั้งที่ 5 ก็ถอยออกจากเขต 4.6 ตร.กม. เมื่อเขมรยื่นเป็นมรดกโลก ในปี 2548 ที่ตนเคยพูดเรื่องเขตทับซ้อนในทะเล มีหลายคนบอกว่า ตนสร้างจินตนาการ แต่ทุกคนก็ยอมรับทุกวันนี้ เพราะทำนายไม่เคยผิด เมื่อเขมรยื่นเป็นมรดกโลก ตนบอกว่ารัฐบาลไทยต้องยื่นคัดค้านหรือยื่นร่วม ถ้ายื่นเป็นมรดกโลก เราจะต้องยื่นของเรา จากวันนั้นถึงวันนี้ทำไมรัฐบาลไม่ยื่น เพราะมีกระบวนการปล้นชาติขายแผ่นดิน ถ้าไทยยื่นร่วมเข้าไป ฝรั่งเศสเขาก็ไม่สามารถที่จะหนุนได้ เพราะถ้ายื่นไป แล้วก็จะเป็นพื้นที่ที่ตกลงกันไม่ได้ มรดกโลกก็จะไม่รับจดทะเบียนมรดกโลก แต่จุดเริ่มต้นกลับมีการฉ้อฉล มาตั้งแต่นายสมัคร สมชาย มาขณะนี้พรรคประชาธิปัตย์ ที่บอกได้ว่าชอบขายแผ่นดิน ขายทรัพย์สิน ยกแผ่นดิน ครั้งแรกที่ดิน สปก.4-01 ที่ยกให้คนรวย เรื่องที่สอง ยก ปรส.ขายเหมาเข่งให้ต่างชาติ และงวดที่สาม ที่ประชาธิปัตย์ต้องรับผิดชอบ ต่ออนาคต ต่อการเสียดินแดนของเขาพระวิหาร และที่น่าตกใจอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ที่ไปต่อสู้ศาลโลกก็แพ้มา หรือจะกลายเป็นว่า หากมีสัญลักษณ์พระแม่ธรณีบีบมวยผม พรรคนี้ก็ปล่อยให้หมด ตรงนี้ตนมีหลักฐานพิสูจน์ชัด
ต่อมามีข้อเสนอ จนรอบการตกลง เอดีซี แต่ข้าราชการกระทรวงกับลีลาไปหมด บางคนบอกว่า ถ้าไปสู้และเรื่องขึ้นสู่ศาลโลก ถ้าแพ้จะเสียดินแดน 1.5 ล้านไร่ เรื่องนี้ควรไปพูดกับเสื้อแดงดีกว่า อย่ามาพูดกับเรา เพราะกี่ปีที่ศาลโลกมีคดีความ เพราะกติกาที่เมื่อเราไม่ขึ้นด้วย เขาก็ทำอะไรเราไม่ได้ กรณีอิสราเอล ถล่มปาเลสไตน์ ศาลโลกไปนอนที่ไหน อเมริกาถล่มอีรัก ศาลโลกอยู่ไหน ทุกคนบุกอัฟกานิสถาน ฆ่าตาลีบัน ศาลโลกไปอยู่ทีไหน หากมาตัดสินเราแต่เราไม่ทำตาม บังคับไม่ได้ ตรงนี้คนกระทรวงการต่างประเทศกำลังโกหก เพราะเขากำลังจะหนีความผิด จากกรณีที่ไปรับใช้พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคไทยรักไทยอย่างไม่ลืมหูลืมตาจุดเริ่มต้นเกิดจากกระทรวงต่างประเทศ โดยเฉพาะนายนภดล (ปัทมะ) ที่ออกแถลงการณ์ร่วมผิด
ทั้งนี้นายสนธิ ได้เปิดคลิปวีดีโอ ช่วงที่นายกษิต ภิรมย์ กล่าวบนเวทีพันธมิตรฯ ระบุว่า “ถ้าเป็นเขา รบ.จะขอยกเลิกแถลงการณ์ไทย-กัมพูชาทันที”
จากนั้นนายสนธิ กล่าวว่า สมัยนี้บอกว่าไม่มีผล สมัยก่อนบอกว่าต้องยกเลิก พอคุยกับคนกระทรวงต่างประเทศ เพราะเขาพูดภาษาการทูต อย่างยียวนกวนประสาท เจ้าเหล่ แสนกล เหมือนกับสมัยนายเตช บุนนาค รมว.ต่างประเทศในรัฐบาลนายสมัคร ไปกินข้าวเที่ยงกับนายฮอ นัม ฮง รองนายกฯและรมว.ต่างประเทศเขมร ตอนนั้นศาลรัฐธรรมนูญไทย วินิจฉัยว่า กระบวนการผิด แต่กลับไปปกป้องตัวเองจากความผิด ในวันที่ 1 ก.ย.51 เดือนเดียว กระทรวงต่างประเทศเขมร ตอบกลับว่า มันไม่ใช้สนธิสัญญาระหว่างประเทศ และยังระบุว่า”คุณค่าของมัน เป็นตามที่มันเป็น” จุดเปลี่ยนเกิดตรงวันที่ 28 ก.ค. 51 ที่
นายเตช ไปพบนายฮอ นัมฮง ไปกินข้าวเที่ยง ได้คุยว่าแถลงการณ์ร่วมที่ลงนามวันที่ 18 มิ.ย.51 เขมรจะไม่นำมาพิจารณาในสนธิสัญญาระหว่างประเทศ ขณะที่วันที่ 15 ส.ค.51 นายเตชไปยืนยันการเจราจาเดิม และ 8 วันต่อมาเขมร ตอบมาว่า กรณีที่รำลึกมื้อเที่ยงที่เมืองเสียมราช ไม่บอกว่าจะสนธิสัญญาระหว่างประเทศมาพิจารณา ตรงนี้นายฮอ นัมฮง กำลังส่งสัญญาณว่า “อะไรที่บอกว่า แถลงการณ์ร่วมมีการผูกพัน เราไปบอกว่าไม่มีผล สำหรับนายฮอ นัมฮง เขายืนยันว่า เอกสารมีผลผูกพัน ไม่ได้ยอมรับว่าจะยกเลิก ตรงนี้จึงถือว่าเป็นแผนการฟอกผิด โดยแลกแผ่นดินกับการฟอกผิด
นายสนธิ ยังแสดงความประหลาดใจ ว่าที่บอกว่า มีการยกเลิกแถลงการณ์ร่วม เมื่อศาลรัฐธรรมนูญไทยบอกว่าผิด และไทยก็มีสิทธิอันชอบธรรมว่า แถลงการณ์ร่วมที่ออกไปนั้น เป็นโมฆะที่ศาลฯชี้ว่าผิด แต่กระทรวงการต่างประเทศ ไม่ยอมทำเพราะต้องการปกป้อง คนที่ร่วมมือกับนายนพดล กับนายสมัคร ในการทำแถลงการณ์ร่วมอัปยศออกมา ทำให้ ไทยสูญเสียดินแดนอย่างเป็นทางการ
“สำหรับนายกษิต ยังมีความเคารพกัน ก่อนเป็นรัฐมนตรีพูดว่าอย่างไรส่วนตัวยังเคารพรัก แต่ผมอยาก ให้รัฐบาลมาออกแถลงว่า ได้สั่งให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งยกเลิกแถลงการณ์ อย่ามาพูดว่ามันสิ้นผล เพราะ ว่าแถลงการณ์ยังมีผลอยู่ ทำให้กระทรวงต่างประเทศในสายตาผม ไม่ได้เหนือไปจากนายจตุพรกับนายณัฐวุติ อายหรือเปล่าที่พวกท่านเวลาคลานเข้าเฝ้าฯ ในหลวง ท่านเอาใบไม้ให้ทัดหู เหมือนพระองค์บอกว่า พวกเธอเป็นตัวแทนคนไทย ปกป้องผลประโยชน์ชาติ แสดงเดชานุภาพของในหลวงและประเทศไทย เมื่อกลับมาเป็นอธิบดี รองปลัด เป็นปลัด ยังจำใบไม้ที่ทัดหูเหล่านั้นได้ไหม พวกคุณทำอะไรให้กับชาติบ้านเมืองไหม หรือยังดิ้นรนหาทางออกไม่ให้ผิดกฎหมาย ป.ป.ช. เพราะคุณกังวล กลัวจะติดคุก แต่คุณกลับไปรับใช้ทักษิณแบบผิด เหตุใดจึงไม่คิดในช่วงนั้น เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องของบ้านเมือง ทำไมไม่บอกว่า แถลงการณ์ร่วมนี้ออกไม่ได้ตั้งแต่ต้น แต่กลับเห็นลาภยศสรรเสริญยิ่งใหญ่ว่าแผ่นดินไทย สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าการเข้าเฝ้าในหลวงของคุณเทียบกับ ทักษิณ นพดล สมัคร สมชาย หรือมันใหญ่กว่าตรงนั้นเหรอ”
นายสนธิ กล่าวว่า วันนี้เขมรบุกมาสร้างวัดในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร นายกฯกับกระทรวงต่างประเทศ บอกว่ามีนโยบายที่จะประท้วงทุกครั้ง และยังจะประท้วงต่อไปหรือ และทหารก็ไม่ทำอะไร พล.อ.อนุพงษ์ ออกมาบอก นายกฯให้เน้นนโยบายสร้างสันติภาพ ไม่ให้กระทบกัน อยากถามนายกฯว่า เมื่อ พล.อ.อนุพงษ์ บอกพวกเขาไม่ผิด ว่าทำตามนโยบาย นายกฯ มีจุดยืนอย่างไร แต่มาบอกว่าให้เจรจาปักเขตแดนใหม่ ถ้าผมหรือคนขายชาติตายไปกี่ชาติ การเจรจาปักเขตแดนก็ไม่จบ
คลิกที่จอภาพเพื่อรับชม
รายการ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ทางเอเอสทีวี ช่วงเวลา 20.30-22.00 น.วันที่ 4 ก.ย.นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มาร่วมรายการโดยได้กล่าวถึง เรื่อง “การเสียดินแดนเขาพระวิหาร” ว่า เราสูญเสียไม่ได้ หมายความว่า เราโง่ แต่กลายเป็นว่า คนของเรากลับชั่วร้ายที่จงใจให้เราเสียอธิปไตย ปัญหาเขาพระวิหารหลายฝ่าย มองว่าสลับซับซ้อน บางคนบอกว่า มีองค์ประกอบมาก มีปัญหามากมาย โดยเฉพาะข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ ทหารบางคน และนักการเมือง
ทั้งนี้ เขาพระวิหารถือเป็นเรื่องธรรมดาสามัญไม่ซับซ้อน แต่เพราะมีคนต้องการขายชาติ ปกปิดความผิดของตัวเอง ต้องการแลกกับผลประโยชน์ในอนาคต และทำให้เรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง กลายมาเป็นเรื่อง จากการสูญเสียพื้นที่บริเวณเขาพระวิหาร เข้าไป 4.6 ตารางกิโลเมตร คนเหล่านี้เขาไม่มองถึงแผ่นดิน กลับไปร่วมกับทหารเลว ๆบางคนที่ทำมาค้าขายชายแดน เห็นด้วยและเปิดทางให้เขมรเข้ามา
นายสนธิ กล่าวว่า หากมองไปลึกๆหลายเรื่องในแผ่นดินไทย ที่มีเวรกรรมเพราะมีคนชั่ว ไม่รักชาติ ไม่ทำตัวให้เท่ากับอำนาจที่ได้รับมอบหมายมา ทำให้แผ่นดินไทยมีเวร มีกรรม ให้กับคนพวกนี้ที่เกิดมาชั่ว จนทำให้สังคมไทยล่มสลาย
“เขาพระวิหาร เหมือนกับกรณีที่ดินอัลไพน์ เป็นเรื่องธรรมดาที่สุด ที่ยายเนื่อง ยกที่ให้วัด มัคทายกนำไปขายให้นายเสนาะ(เทียนทอง) ขายให้พ.ต.ท.ทักษิณ (ชินวัตร) เมื่อผิดกฎหมายเขาก็เรียกคืน แต่ที่เรียกคืนกลับไม่ยอมคืน ทั้งที่กฤษฎีกาวินิจฉัยว่าผิด เรื่องถูกส่งไปกระทรวงมหาดไทย 1 ปี แต่เรื่องนี้ปลัดกระทรวงฯที่เป็นคนของนายสุเทพ (เทือกสุบรรณ) กลับนำไปใส่ลิ้นชัก ดังนั้นจะเห็นว่า 2 เรื่องนี้ง่ายนิดเดียว”
นายสนธิกล่าวว่า สนธิสัญญาในปี 1907 มีความชัดเจนว่า พื้นที่นี้เป็นของคนไทยตามสันปันน้ำเขตแดน ขณะที่ปี 2005 ศาลโลกพิพากษาเพียงอธิปไตยตัวปราสาท ว่าเป็นของเขมร และมีมติ 3 ข้อประกอบด้วย 1.ฝ่ายต้องไทยถอนทหาร ยาม ตำรวจ บนปราสาทออกมา 2. ให้ถอนออกจากพื้นที่รอบ ๆ และ 3. ถอนวัตถุโบราณที่ไทยครอบครอง จะเห็นได้ว่า ตรงนี้เขมรจงใจโกง ในปี 1908 ศาลโลกไม่พิจารณาเรื่องพื้นที่ทับซ้อน พิจารณาเพียงอธิปไตยตัวปราสาท
“แต่จู่ๆเรื่องที่เนิ่นนานมากว่า 50 ปี ลูกหลานพระยาละแวกกลับออกมาพูดในปี 2546 พูดสมัยรัฐบาลไทยรักไทย มีพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกฯ ที่จะนำเงินมาลงทุน มาแปรรูป กฟผ. และมีนอมินี ที่ขายชาติ ซื้อหุ้น ปตท.เก็บเอาไว้ และเงินที่ขายหุ้น บริษัทชินคอร์ป จะไปลงทุนพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลที่มีแก๊ซมีน้ำมัน ตามแผนที่จะเห็นว่า ทักษิณมีความต้องการ ที่เขาต้องคุยกับนายฮุนเซน ที่กำลังสู้ศึกการเมืองกับ สม รังสี ลูกของเจ้านโรดมสีหนุ เขาต้องทำให้ได้คะแนนเสียง ดังนั้นถ้าพรรคไทยรักไทยก็หลับตาข้างนึง ยกเขาพระวิหารให้ฮุนเซน”
นายสนธิ กล่าวว่า การเจรจาปี 2546 จึงเป็นปีแรกและเป็นจุดเริ่มตัน ที่นักการเมือง ร่วมกับคนขายชาติบ้านเมือง แลกผลประโยชน์ทางทะเลโดยไม่ใส่ใจ
ทั้งนี้ นายสนธิยกตัวอย่าง กรณีปัญหาบ้านร่มเกล้า บริเวณชายแดนลาว ที่มีพ่อค้าไม้ชาติชั่ว ต้องการไปตัดไม้ในฝั่งลาว แต่ถูกทหารลาวไล่ออกมา ซึ่งพ่อค้าไม้มีผลประโยชน์กับกองทัพภาค 3 จึงต้องการที่จะให้ไทยไปรบที่ร่มเกล้า ซึ่งเป็นการสนองตัณหาพ่อค้าไม้ชาติชั่วเท่านั้น
นายสนธิ กล่าวต่อว่า ชายแดนเขมรนั้นมีผลประโยชน์ทั้งหมด โดยเฉพาะการค้าของเถื่อน สิ่งผิดกฏหมาย ทั้ง รถที่ผ่านเขมร ออกชายแดน ทำให้หลายคนร่ำรวย ถือเป็นเรื่องหน้าเศร้า เพราะคนที่สร้างบ้านให้เขมรหลังละ 5 หมื่นบาทก็เป็น ทหารผู้ใหญ่ไทยบางคน โดยมีการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ แลกเปลี่ยนมาตั้งแต่สมัยพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็น ผบ.ทบ. ทหารบางคนสมัยชวลิต มียศร้อยเอก เป็นลูกน้องพันตรี พันโท จนปัจจุบันกลายเป็นพล.ต. ก็ยังค้าขายชายแดนตลอด
นายสนธิ กล่าวว่า เราถอยออกจากปราสาทเขาพระวิหารมาถึง 5 ครั้ง ตามคำสั่งศาลโลก ที่ยกปราสาทให้เขมร ในปี 2505 นายถนัด คอมันตร์ รมว.ต่างประเทศสมัยนั้น ทำหนังสือถึง นายอูทัน เลขาธิการสหประชาชาติ สมัยนั้น ว่าผิดต่อหลักข้อเท็จจริง และระบุว่า นอกการถอนออกจากปราสาท ฝ่ายไทยของสงวนสิทธิทุกประการที่จะโต้แย้งด้านกฎหมาย ด้วยข้อมูลที่มีอยู่ จนถึงปี 2546 ครั้งที่สอง ฝ่ายไทยถอยมายังบันไดนาคราช ขั้นที่ 196 ที่ถอยเพราะรัฐบาลชาติชั่วครั้งนั้นหลับตาข้างหนึ่ง เรากั้นรั้วครั้งแรก พอครั้งที่ 3-4 ก็ถอยมาถึงคู และครั้งที่ 5 ก็ถอยออกจากเขต 4.6 ตร.กม. เมื่อเขมรยื่นเป็นมรดกโลก ในปี 2548 ที่ตนเคยพูดเรื่องเขตทับซ้อนในทะเล มีหลายคนบอกว่า ตนสร้างจินตนาการ แต่ทุกคนก็ยอมรับทุกวันนี้ เพราะทำนายไม่เคยผิด เมื่อเขมรยื่นเป็นมรดกโลก ตนบอกว่ารัฐบาลไทยต้องยื่นคัดค้านหรือยื่นร่วม ถ้ายื่นเป็นมรดกโลก เราจะต้องยื่นของเรา จากวันนั้นถึงวันนี้ทำไมรัฐบาลไม่ยื่น เพราะมีกระบวนการปล้นชาติขายแผ่นดิน ถ้าไทยยื่นร่วมเข้าไป ฝรั่งเศสเขาก็ไม่สามารถที่จะหนุนได้ เพราะถ้ายื่นไป แล้วก็จะเป็นพื้นที่ที่ตกลงกันไม่ได้ มรดกโลกก็จะไม่รับจดทะเบียนมรดกโลก แต่จุดเริ่มต้นกลับมีการฉ้อฉล มาตั้งแต่นายสมัคร สมชาย มาขณะนี้พรรคประชาธิปัตย์ ที่บอกได้ว่าชอบขายแผ่นดิน ขายทรัพย์สิน ยกแผ่นดิน ครั้งแรกที่ดิน สปก.4-01 ที่ยกให้คนรวย เรื่องที่สอง ยก ปรส.ขายเหมาเข่งให้ต่างชาติ และงวดที่สาม ที่ประชาธิปัตย์ต้องรับผิดชอบ ต่ออนาคต ต่อการเสียดินแดนของเขาพระวิหาร และที่น่าตกใจอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ที่ไปต่อสู้ศาลโลกก็แพ้มา หรือจะกลายเป็นว่า หากมีสัญลักษณ์พระแม่ธรณีบีบมวยผม พรรคนี้ก็ปล่อยให้หมด ตรงนี้ตนมีหลักฐานพิสูจน์ชัด
ต่อมามีข้อเสนอ จนรอบการตกลง เอดีซี แต่ข้าราชการกระทรวงกับลีลาไปหมด บางคนบอกว่า ถ้าไปสู้และเรื่องขึ้นสู่ศาลโลก ถ้าแพ้จะเสียดินแดน 1.5 ล้านไร่ เรื่องนี้ควรไปพูดกับเสื้อแดงดีกว่า อย่ามาพูดกับเรา เพราะกี่ปีที่ศาลโลกมีคดีความ เพราะกติกาที่เมื่อเราไม่ขึ้นด้วย เขาก็ทำอะไรเราไม่ได้ กรณีอิสราเอล ถล่มปาเลสไตน์ ศาลโลกไปนอนที่ไหน อเมริกาถล่มอีรัก ศาลโลกอยู่ไหน ทุกคนบุกอัฟกานิสถาน ฆ่าตาลีบัน ศาลโลกไปอยู่ทีไหน หากมาตัดสินเราแต่เราไม่ทำตาม บังคับไม่ได้ ตรงนี้คนกระทรวงการต่างประเทศกำลังโกหก เพราะเขากำลังจะหนีความผิด จากกรณีที่ไปรับใช้พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคไทยรักไทยอย่างไม่ลืมหูลืมตาจุดเริ่มต้นเกิดจากกระทรวงต่างประเทศ โดยเฉพาะนายนภดล (ปัทมะ) ที่ออกแถลงการณ์ร่วมผิด
ทั้งนี้นายสนธิ ได้เปิดคลิปวีดีโอ ช่วงที่นายกษิต ภิรมย์ กล่าวบนเวทีพันธมิตรฯ ระบุว่า “ถ้าเป็นเขา รบ.จะขอยกเลิกแถลงการณ์ไทย-กัมพูชาทันที”
จากนั้นนายสนธิ กล่าวว่า สมัยนี้บอกว่าไม่มีผล สมัยก่อนบอกว่าต้องยกเลิก พอคุยกับคนกระทรวงต่างประเทศ เพราะเขาพูดภาษาการทูต อย่างยียวนกวนประสาท เจ้าเหล่ แสนกล เหมือนกับสมัยนายเตช บุนนาค รมว.ต่างประเทศในรัฐบาลนายสมัคร ไปกินข้าวเที่ยงกับนายฮอ นัม ฮง รองนายกฯและรมว.ต่างประเทศเขมร ตอนนั้นศาลรัฐธรรมนูญไทย วินิจฉัยว่า กระบวนการผิด แต่กลับไปปกป้องตัวเองจากความผิด ในวันที่ 1 ก.ย.51 เดือนเดียว กระทรวงต่างประเทศเขมร ตอบกลับว่า มันไม่ใช้สนธิสัญญาระหว่างประเทศ และยังระบุว่า”คุณค่าของมัน เป็นตามที่มันเป็น” จุดเปลี่ยนเกิดตรงวันที่ 28 ก.ค. 51 ที่
นายเตช ไปพบนายฮอ นัมฮง ไปกินข้าวเที่ยง ได้คุยว่าแถลงการณ์ร่วมที่ลงนามวันที่ 18 มิ.ย.51 เขมรจะไม่นำมาพิจารณาในสนธิสัญญาระหว่างประเทศ ขณะที่วันที่ 15 ส.ค.51 นายเตชไปยืนยันการเจราจาเดิม และ 8 วันต่อมาเขมร ตอบมาว่า กรณีที่รำลึกมื้อเที่ยงที่เมืองเสียมราช ไม่บอกว่าจะสนธิสัญญาระหว่างประเทศมาพิจารณา ตรงนี้นายฮอ นัมฮง กำลังส่งสัญญาณว่า “อะไรที่บอกว่า แถลงการณ์ร่วมมีการผูกพัน เราไปบอกว่าไม่มีผล สำหรับนายฮอ นัมฮง เขายืนยันว่า เอกสารมีผลผูกพัน ไม่ได้ยอมรับว่าจะยกเลิก ตรงนี้จึงถือว่าเป็นแผนการฟอกผิด โดยแลกแผ่นดินกับการฟอกผิด
นายสนธิ ยังแสดงความประหลาดใจ ว่าที่บอกว่า มีการยกเลิกแถลงการณ์ร่วม เมื่อศาลรัฐธรรมนูญไทยบอกว่าผิด และไทยก็มีสิทธิอันชอบธรรมว่า แถลงการณ์ร่วมที่ออกไปนั้น เป็นโมฆะที่ศาลฯชี้ว่าผิด แต่กระทรวงการต่างประเทศ ไม่ยอมทำเพราะต้องการปกป้อง คนที่ร่วมมือกับนายนพดล กับนายสมัคร ในการทำแถลงการณ์ร่วมอัปยศออกมา ทำให้ ไทยสูญเสียดินแดนอย่างเป็นทางการ
“สำหรับนายกษิต ยังมีความเคารพกัน ก่อนเป็นรัฐมนตรีพูดว่าอย่างไรส่วนตัวยังเคารพรัก แต่ผมอยาก ให้รัฐบาลมาออกแถลงว่า ได้สั่งให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งยกเลิกแถลงการณ์ อย่ามาพูดว่ามันสิ้นผล เพราะ ว่าแถลงการณ์ยังมีผลอยู่ ทำให้กระทรวงต่างประเทศในสายตาผม ไม่ได้เหนือไปจากนายจตุพรกับนายณัฐวุติ อายหรือเปล่าที่พวกท่านเวลาคลานเข้าเฝ้าฯ ในหลวง ท่านเอาใบไม้ให้ทัดหู เหมือนพระองค์บอกว่า พวกเธอเป็นตัวแทนคนไทย ปกป้องผลประโยชน์ชาติ แสดงเดชานุภาพของในหลวงและประเทศไทย เมื่อกลับมาเป็นอธิบดี รองปลัด เป็นปลัด ยังจำใบไม้ที่ทัดหูเหล่านั้นได้ไหม พวกคุณทำอะไรให้กับชาติบ้านเมืองไหม หรือยังดิ้นรนหาทางออกไม่ให้ผิดกฎหมาย ป.ป.ช. เพราะคุณกังวล กลัวจะติดคุก แต่คุณกลับไปรับใช้ทักษิณแบบผิด เหตุใดจึงไม่คิดในช่วงนั้น เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องของบ้านเมือง ทำไมไม่บอกว่า แถลงการณ์ร่วมนี้ออกไม่ได้ตั้งแต่ต้น แต่กลับเห็นลาภยศสรรเสริญยิ่งใหญ่ว่าแผ่นดินไทย สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าการเข้าเฝ้าในหลวงของคุณเทียบกับ ทักษิณ นพดล สมัคร สมชาย หรือมันใหญ่กว่าตรงนั้นเหรอ”
นายสนธิ กล่าวว่า วันนี้เขมรบุกมาสร้างวัดในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร นายกฯกับกระทรวงต่างประเทศ บอกว่ามีนโยบายที่จะประท้วงทุกครั้ง และยังจะประท้วงต่อไปหรือ และทหารก็ไม่ทำอะไร พล.อ.อนุพงษ์ ออกมาบอก นายกฯให้เน้นนโยบายสร้างสันติภาพ ไม่ให้กระทบกัน อยากถามนายกฯว่า เมื่อ พล.อ.อนุพงษ์ บอกพวกเขาไม่ผิด ว่าทำตามนโยบาย นายกฯ มีจุดยืนอย่างไร แต่มาบอกว่าให้เจรจาปักเขตแดนใหม่ ถ้าผมหรือคนขายชาติตายไปกี่ชาติ การเจรจาปักเขตแดนก็ไม่จบ