การพลิกลิ้นของ “พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ” ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ด้วยการดอดเข้าประเทศก่อนครบกำหนดลาไปปฏิบัติภารกิจต่างประเทศถึง 7 วัน บ่งชัดถึงการตีรวน ไม่ปฏิบัติตามสัญญาสุภาพบุรุษที่มีไว้ระหว่างกันว่า
"จะลาไปปฏิบัติภารกิจต่างประเทศเป็นเวลา 11 วัน นับจากวันที่ 5–14 สิงหาคม และจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการจัดทำบัญชีโยกย้ายนายตำรวจระดับรองผู้บังคับการจนถึงสารวัตร”
เหตุผลที่ทำให้เมืองจีนร้อนระอุจน “บิ๊กป๊อด” ต้องจับเที่ยวบินด่วนกลับเมืองไทยในวันที่ 8 สิงหาคมที่ผ่านมา ก็ไม่มีอะไรมาก เพียงแค่แผนการที่คิดไว้อย่างแยบยล กำลังถูกตลบหลังโดยคนที่ตัวเองเลือก!!!
ชื่อ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ที่ปรึกษา สบ.10 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถูก“บิ๊กป๊อด” แอบยื่นใส่มือ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี และนายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เพื่อใช้ต่อรองในการเดินทางไปต่างประเทศ ตามความต้องการของ “อภิสิทธิ์”
ที่ต้องการเปิดทางโล่งให้กับชุดสืบสวนสอบสวนคดีลอบยิง สนธิ ลิ้มทองกุล ได้หายใจโล่งในการทำคดี โดยไม่ต้องกังวลว่าจะได้รับผลกระทบต่อหน้าที่ราชการ จากอำนาจการโยกย้ายข้าราชการตำรวจที่อยู่ในมือของ “บิ๊กป๊อด”
เมื่อ“สุเทพ”จับมือ“นิพนธ์”เดินเกมจนทำให้“อภิสิทธิ์”จรดปากกาลงนามให้“พล.ต.อ.วิเชียร” เป็นผู้รักษาราชการแทน ผบ.ตร.คนใหม่ได้ “บิ๊กป๊อด” ก็สบายใจที่จะเดินทางไปประเทศจีน
แต่เกมกลับไม่เป็นไปตามที่คาดหมายไว้ จากเดิมที่หยิบชื่อ“พล.ต.อ.วิเชียร”มารักษาราชการแทน เพราะเล็งเห็นว่าขาดศักยภาพที่จะเขย่าเก้าอี้ ผบ.ตร. อีกทั้งยังไม่มีมือมีไม้ในสตช. มากพอที่จะหักดิบโผนายพัน หรือโผเล็ก ที่มีการจัดทำไว้ล่วงหน้า
กลับกลายเป็นว่า คนนอกสายตาที่“บิ๊กป๊อด”ไม่ให้ค่า กลับมีพิษสงรอบตัวที่พร้อมจะหัก “บิ๊กป๊อด” โดยไม่ห่วงอายุราชการอีก 4 ปีของตัวเอง
จริงอยู่ที่“พล.ต.อ.วิเชียร”ห่างไกลจากอ้อมอก สตช. เข้าไปอยู่ในรั้วในวังนานหลายปี เมื่อกลับมาสตช.อีกครั้ง จึงไม่ง่ายที่จะเรียนรู้ระบบเส้นสนกลในของสำนักงานแห่งนี้ แต่สายสัมพันธ์ที่มีกับ พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเคยช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาถึงสองครั้งสองครา ทำให้ผ่านช่วงเวลายากลำบากบนเส้นทางสีกากีไปได้อย่างราบรื่น
ทำให้“พล.ต.อ.วิเชียร”จับมือกับ“พล.ต.อ.ปทีป”จัดทำบัญชีโยกย้ายนายตำรวจระดับนายพันใหม่
หักดิบเอื้อมมือไปแตะโผเล็กจน“บิ๊กป๊อด”นั่งไม่ติด ต้องบินด่วนกลับมาทันที ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่า เหตุใดจึงห่วงโผนี้นักหนา หรือว่าคำครหาที่ว่าโผพันล้าน จะเป็นความจริง !
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็แล้วแต่ ความชัดเจนมีอยู่ว่านอกจาก“บิ๊กป๊อด”จะไม่ปฏิบัติตามสัญญาแล้ว ยังท้าทายอำนาจและภาวะความเป็นผู้นำของ“อภิสิทธิ์”ในฐานะนายกรัฐมนตรีอย่างยิ่ง
ด้วยการบินด่วนกลับก่อนกำหนด แถมวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ในวันอาทิตย์ ยังแอบร่อนหนังสือเวียนส่งไปถึงหน่วยงานในสังกัดสตช. มีเนื้อหายกเลิกคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ให้ “พล.ต.อ.วิเชียร” รักษาราชการแทน ด้วยการระบุว่า จะเข้าปฏิบัติหน้าที่ในวันจันทร์ที่10 สิงหาคม
เหตุผลสำคัญที่ทำให้“บิ๊กป๊อด”สวมหัวใจเสือ งัดข้อ“อภิสิทธิ์”เป็นเพราะต้องการตัดปัญหาเรื่องการจัดทำบัญชีโยกย้ายนายพัน ที่กำลังหลุดลอยไปจากมือ ซี่งมีวิธีเดียวที่จะเก็บโผเล็กเอาไว้ได้ คือ
การกลับเข้าสู่ตำแหน่ง ผบ.ตร.อีกครั้ง
อันจะทำให้“พล.ต.อ.วิเชียร”หมดอำนาจในการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ทันที
แต่ข้อผูกมัดในคำสัญญาที่มีระหว่างกันของ“อภิสิทธิ์”ก็ทำให้ความคิดของ“บิ๊กป๊อด”ไม่ง่ายที่จะทำให้ประสบความสำเร็จดังหวัง เพราะในห้วงที่ให้สัญญาระหว่างกัน พูดชัดว่า “ถ้าไม่ลาไปปฏิบัติภารกิจต่างประเทศ ก็จะมีคำสั่งให้ไปช่วยราชการที่ทำเนียบรัฐบาล”
ค่ำคืนของวันที่ 9 สิงหาคม จึงเป็นคืนแห่งการเจรจาครั้งสำคัญ
ที่ฝ่าย“บิ๊กป๊อด”ยังเชื่อว่าตัวเองถือไพ่ในมือเหนือกว่า เพราะนอกจากสังคมที่ไม่รู้ข้อเท็จจริงยังสนับสนุนให้ดำรงตำแหน่งต่อ แล้วยังมีฝ่ายการเมืองทั้ง เนวิน ชิดชอบ–ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ชาย และ สุเทพ คอยถือหาง เลยทำให้“บิ๊กป๊อด”เข้าใจว่าแต้มเป็นต่อ
จนลืมนึกไปว่าไพ่ในมือ“อภิสิทธิ์”ที่ไม่เคยเผยให้เห็นนั้น อาจกลายเป็นจุดตายที่ทำให้“บิ๊กป๊อด”สูญสิ้นอำนาจแม้อยู่ในตำแหน่งก็ได้
ข้อเท็จจริงที่ว่า คือการจัดทำบัญชีโยกย้ายทั้งโผนายพล และนายพัน เกี่ยวพันกับการประกาศโครงสร้างใหม่ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่ง กตร. แจ้งไปยังกองประกาศิต ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น สำนักอาลักษณ์และเครื่องราชอิสริยาภรณ์ สังกัดสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ว่าอยากให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ในวันที่ 15 สิงหาคมนั้น
ทางสำนักอาลักษณ์ยังไม่เคยตอบรับเลยแม้แต่ครั้งเดียวว่าจะประกาศในราชกิจจาตามวันดังกล่าว แต่เคยทำหนังสือ นร.05808/ท 4812 ลงวันที่ 20 ก.ค. 52 ตีกลับโผนายพล ที่ตั้งเรื่องรอให้มีการนำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยหนังสือไปถึงกองทะเบียนพล สำนักกำลังพล สำนักงานตำรวจแห่งชาติในวันถัดมาคือ วันที่ 21 ก.ค. 52 พร้อมกับให้เหตุผลการส่งคืนโผนายพลครั้งนั้นว่า
“ส่งคืนรอรับการโปรดเกล้าฯโครงสร้างใหม่”
ดังนั้น หากสำนักอาลักษณ์เห็นถึงความไม่พร้อมในการจัดทำบัญชีรายชื่อโยกย้ายครั้งนี้ จนเป็นเหตุให้ไปประกาศโครงสร้างใหม่ในราชกิจจานุเบกษา วันที่ 1 ตุลาคม แทนวันที่ 15 สิงหาคม อะไรจะเกิดขึ้น เพราะเรื่องนี้ ในการประชุม กตร. วันที่ 8 สิงหาคม ที่ผ่านมา ก็มีการถกเถียงกันอย่างกว้างขวางว่า โครงสร้างใหม่จะประกาศได้ตามวันที่ทาง กตร.ได้ร้องขอไปจริงหรือไม่ และควรหรือไม่ที่จะต้องเร่งรัดจัดทำบัญชีโยกย้ายนายตำรวจระดับนายพัน เพื่อให้ทันภายในวันที่ 15 สิงหาคม
ทั้งๆ ที่ยังมีปัญหาเรื่องแต่งตั้งไปแล้วอาจขัดต่อระเบียบ ก.ตร.เอง ที่ระบุไว้ว่า กรณีจะโยกย้ายออกจากสังกัดเดิม จะทำได้ก็ต่อเมื่อปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานนั้นเป็นเวลา 2 ปี เว้นแต่จะสมัครใจ ซึ่งในการจัดทำบัญชีโผของ“บิ๊กป๊อด”มีผู้ไม่สมัครใจที่จะออกจากตำแหน่งเดิมเพื่อไปอยู่ในตำแหน่งใหม่จำนวนไม่น้อย
ดังนั้นเรื่องนี้ก็เป็นปัญหาที่จะต้องนำเข้าสู่ที่ประชุม กตร.ชุดใหญ่อีกครั้ง เพื่อขอให้งดเว้นระเบียบนี้เป็นกรณีพิเศษ
นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่นายตำรวจซึ่งอยู่ในโผนายพันบางรายอาจจะเกษียณอายุราชการในปีนี้ ก็เท่ากับว่า จะต้องมีการขยับตำแหน่งใหม่อีกครั้งในการโยกย้ายประจำปี
เรื่องมันก็เลยซ้ำซ้อนกันอยู่ จน ก.ตร.ที่ไม่ได้เป็นคนของ“บิ๊กป๊อด”และเล็งเห็นถึงความไม่ชอบมาพากลในการเร่งรัดจัดทำโผ ทั้งที่สามารถรอจัดทำครั้งเดียวในการโยกย้ายประจำปีก็ได้
ง่ายกว่า แต่เลือกที่จะไม่ทำ เพราะอะไรคงพอเดากันได้
ดังนั้นทางเดียวที่จะหยุดยั้งความพยายามผลักดันโผนายพันให้คลอดผิดท่าให้ได้ภายในวันที่ 15 สิงหาคม จึงต้องเลื่อนการประกาศใช้โครงสร้างใหม่ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติออกไปเป็นวันที่ 1 ตุลาคม ซึ่งมีการสู้กันไปแล้วยกหนึ่งในที่ประชุม ก.ตร. แต่ก็แพ้เสียงส่วนใหญ่ที่ดึงดันจะให้จัดทำทั้งสองโผให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 15 สิงหาคม ให้ได้
แต่ความเชื่อของ ก.ตร. เสียงส่วนใหญ่ที่ว่า สำนักอาลักษณ์จะประกาศโครงสร้างใหม่ในราชกิจจานุเบกษาให้มีผลบังคับใช้วันที่ 16 สิงหาคมนั้น ก็เป็นเพียงความเชื่อ เพราะสำนักอาลักษณ์ ยังไม่เคยตอบกลับมาว่าจะดำเนินการตามนั้น จึงยังเป็นช่องทางหนึ่งที่สามารถแก้ปัญหาการจัดทำบัญชีโยกย้ายที่ไม่ชอบมาพากลครั้งนี้ได้
อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง หากสำนักอาลักษณ์เลื่อนการประกาศใช้โครงสร้างใหม่ไปเป็นวันที่ 1 ตุลาคม ?
สิ่งที่เกิดขึ้นแน่ๆก็คือ“บิ๊กป๊อด”จะหมดสิทธิ์ทำโผนายพันทันที เพราะในเวลาที่โครงสร้างใหม่มีผลบังคับใช้ เขาก็พ้นจากตำแหน่ง ผบ.ตร.ไปแล้ว จากการเกษียณอายุราชการ
ส่วนโผนายพลที่ทำไปก่อนหน้านี้ ก็อาจจะต้องถูกรื้อใหม่ด้วยเช่นเดียวกัน เพราะการจะนำรายชื่อนายพลใหม่ขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ ต้องรอให้โครงสร้างตำรวจใหม่ มีผลบังคับใช้ก่อน
ดังนั้นหากโครงสร้างใหม่มีผลในวันที่ 1 ตุลาคม การทำบัญชีนายพล ก็ไม่ใช่สิ่งเร่งรีบอีกต่อไป รวมทั้งยังต้องคำนึงถึงการโยกย้ายประจำปีด้วย ซึ่งจะเป็นการดีกว่าหากนำทั้งสองส่วนมาดำเนินการไปในคราวเดียวกัน
ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นเพราะเหตุผลนี้หรือเปล่า ที่ทำให้“บิ๊กป๊อด”เปลี่ยนใจ จากการเตรียมเข้าปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่ง ผบ.ตร. วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม มาเป็นการไม่สวมเครื่องแบบเดินทางเข้า สตช.เพียงห้านาที แล้วเดินทางกลับออกไป
เป็นเกมกวนประสาทที่ต้องการทำสงครามทางจิตวิทยา ในสถานะที่รู้ว่าตัวเองเป็นรองแต่ยังไม่ยอมแพ้ เกมนี้จึงอำมหิตกว่าที่“อภิสิทธิ์”คิดไว้มากนัก
การประนีประนอม เพื่อให้ได้คำตอบที่ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่ายที่“อภิสิทธิ์”พยายามทำอยู่ตอนนี้ อาจกลายเป็นทางออกสำหรับ“บิ๊กป๊อด”แต่กลายเป็น“ทางตัน”ในภาวะความเป็นผู้นำของ“อภิสิทธิ์”ก็เป็นได้ เพราะหากงานนี้ยังปล่อยเสือเข้าป่า หรือตีงูแค่หลังหัก แน่นอนว่างูนั้นต้องหันมาพ่นพิษใส่เป็นแน่
ทางเลือกเดียวที่“อภิสิทธิ์”ควรทำก่อนจะสายเกินไปคือ หากไม่อาจตัดใจหักหาญคนใกล้ตัวอย่าง สุเทพ–นิพนธ์ ด้วยการให้“บิ๊กป๊อด”ไปช่วยราชการที่ทำเนียบรัฐบาลแล้ว ก็ควรเร่งตั้ง ผบ.ตร. คนใหม่ให้เร็วที่สุด
ที่สำคัญคือ ผบ.ตร.คนใหม่ ต้องไม่ใช่ทายาทที่จะมาต่อยอดความพยายามในการสร้างรัฐตำรวจของฝ่ายสีน้ำเงิน !
"จะลาไปปฏิบัติภารกิจต่างประเทศเป็นเวลา 11 วัน นับจากวันที่ 5–14 สิงหาคม และจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการจัดทำบัญชีโยกย้ายนายตำรวจระดับรองผู้บังคับการจนถึงสารวัตร”
เหตุผลที่ทำให้เมืองจีนร้อนระอุจน “บิ๊กป๊อด” ต้องจับเที่ยวบินด่วนกลับเมืองไทยในวันที่ 8 สิงหาคมที่ผ่านมา ก็ไม่มีอะไรมาก เพียงแค่แผนการที่คิดไว้อย่างแยบยล กำลังถูกตลบหลังโดยคนที่ตัวเองเลือก!!!
ชื่อ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ที่ปรึกษา สบ.10 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถูก“บิ๊กป๊อด” แอบยื่นใส่มือ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี และนายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เพื่อใช้ต่อรองในการเดินทางไปต่างประเทศ ตามความต้องการของ “อภิสิทธิ์”
ที่ต้องการเปิดทางโล่งให้กับชุดสืบสวนสอบสวนคดีลอบยิง สนธิ ลิ้มทองกุล ได้หายใจโล่งในการทำคดี โดยไม่ต้องกังวลว่าจะได้รับผลกระทบต่อหน้าที่ราชการ จากอำนาจการโยกย้ายข้าราชการตำรวจที่อยู่ในมือของ “บิ๊กป๊อด”
เมื่อ“สุเทพ”จับมือ“นิพนธ์”เดินเกมจนทำให้“อภิสิทธิ์”จรดปากกาลงนามให้“พล.ต.อ.วิเชียร” เป็นผู้รักษาราชการแทน ผบ.ตร.คนใหม่ได้ “บิ๊กป๊อด” ก็สบายใจที่จะเดินทางไปประเทศจีน
แต่เกมกลับไม่เป็นไปตามที่คาดหมายไว้ จากเดิมที่หยิบชื่อ“พล.ต.อ.วิเชียร”มารักษาราชการแทน เพราะเล็งเห็นว่าขาดศักยภาพที่จะเขย่าเก้าอี้ ผบ.ตร. อีกทั้งยังไม่มีมือมีไม้ในสตช. มากพอที่จะหักดิบโผนายพัน หรือโผเล็ก ที่มีการจัดทำไว้ล่วงหน้า
กลับกลายเป็นว่า คนนอกสายตาที่“บิ๊กป๊อด”ไม่ให้ค่า กลับมีพิษสงรอบตัวที่พร้อมจะหัก “บิ๊กป๊อด” โดยไม่ห่วงอายุราชการอีก 4 ปีของตัวเอง
จริงอยู่ที่“พล.ต.อ.วิเชียร”ห่างไกลจากอ้อมอก สตช. เข้าไปอยู่ในรั้วในวังนานหลายปี เมื่อกลับมาสตช.อีกครั้ง จึงไม่ง่ายที่จะเรียนรู้ระบบเส้นสนกลในของสำนักงานแห่งนี้ แต่สายสัมพันธ์ที่มีกับ พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเคยช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาถึงสองครั้งสองครา ทำให้ผ่านช่วงเวลายากลำบากบนเส้นทางสีกากีไปได้อย่างราบรื่น
ทำให้“พล.ต.อ.วิเชียร”จับมือกับ“พล.ต.อ.ปทีป”จัดทำบัญชีโยกย้ายนายตำรวจระดับนายพันใหม่
หักดิบเอื้อมมือไปแตะโผเล็กจน“บิ๊กป๊อด”นั่งไม่ติด ต้องบินด่วนกลับมาทันที ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่า เหตุใดจึงห่วงโผนี้นักหนา หรือว่าคำครหาที่ว่าโผพันล้าน จะเป็นความจริง !
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็แล้วแต่ ความชัดเจนมีอยู่ว่านอกจาก“บิ๊กป๊อด”จะไม่ปฏิบัติตามสัญญาแล้ว ยังท้าทายอำนาจและภาวะความเป็นผู้นำของ“อภิสิทธิ์”ในฐานะนายกรัฐมนตรีอย่างยิ่ง
ด้วยการบินด่วนกลับก่อนกำหนด แถมวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ในวันอาทิตย์ ยังแอบร่อนหนังสือเวียนส่งไปถึงหน่วยงานในสังกัดสตช. มีเนื้อหายกเลิกคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ให้ “พล.ต.อ.วิเชียร” รักษาราชการแทน ด้วยการระบุว่า จะเข้าปฏิบัติหน้าที่ในวันจันทร์ที่10 สิงหาคม
เหตุผลสำคัญที่ทำให้“บิ๊กป๊อด”สวมหัวใจเสือ งัดข้อ“อภิสิทธิ์”เป็นเพราะต้องการตัดปัญหาเรื่องการจัดทำบัญชีโยกย้ายนายพัน ที่กำลังหลุดลอยไปจากมือ ซี่งมีวิธีเดียวที่จะเก็บโผเล็กเอาไว้ได้ คือ
การกลับเข้าสู่ตำแหน่ง ผบ.ตร.อีกครั้ง
อันจะทำให้“พล.ต.อ.วิเชียร”หมดอำนาจในการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ทันที
แต่ข้อผูกมัดในคำสัญญาที่มีระหว่างกันของ“อภิสิทธิ์”ก็ทำให้ความคิดของ“บิ๊กป๊อด”ไม่ง่ายที่จะทำให้ประสบความสำเร็จดังหวัง เพราะในห้วงที่ให้สัญญาระหว่างกัน พูดชัดว่า “ถ้าไม่ลาไปปฏิบัติภารกิจต่างประเทศ ก็จะมีคำสั่งให้ไปช่วยราชการที่ทำเนียบรัฐบาล”
ค่ำคืนของวันที่ 9 สิงหาคม จึงเป็นคืนแห่งการเจรจาครั้งสำคัญ
ที่ฝ่าย“บิ๊กป๊อด”ยังเชื่อว่าตัวเองถือไพ่ในมือเหนือกว่า เพราะนอกจากสังคมที่ไม่รู้ข้อเท็จจริงยังสนับสนุนให้ดำรงตำแหน่งต่อ แล้วยังมีฝ่ายการเมืองทั้ง เนวิน ชิดชอบ–ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ชาย และ สุเทพ คอยถือหาง เลยทำให้“บิ๊กป๊อด”เข้าใจว่าแต้มเป็นต่อ
จนลืมนึกไปว่าไพ่ในมือ“อภิสิทธิ์”ที่ไม่เคยเผยให้เห็นนั้น อาจกลายเป็นจุดตายที่ทำให้“บิ๊กป๊อด”สูญสิ้นอำนาจแม้อยู่ในตำแหน่งก็ได้
ข้อเท็จจริงที่ว่า คือการจัดทำบัญชีโยกย้ายทั้งโผนายพล และนายพัน เกี่ยวพันกับการประกาศโครงสร้างใหม่ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่ง กตร. แจ้งไปยังกองประกาศิต ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น สำนักอาลักษณ์และเครื่องราชอิสริยาภรณ์ สังกัดสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ว่าอยากให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ในวันที่ 15 สิงหาคมนั้น
ทางสำนักอาลักษณ์ยังไม่เคยตอบรับเลยแม้แต่ครั้งเดียวว่าจะประกาศในราชกิจจาตามวันดังกล่าว แต่เคยทำหนังสือ นร.05808/ท 4812 ลงวันที่ 20 ก.ค. 52 ตีกลับโผนายพล ที่ตั้งเรื่องรอให้มีการนำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยหนังสือไปถึงกองทะเบียนพล สำนักกำลังพล สำนักงานตำรวจแห่งชาติในวันถัดมาคือ วันที่ 21 ก.ค. 52 พร้อมกับให้เหตุผลการส่งคืนโผนายพลครั้งนั้นว่า
“ส่งคืนรอรับการโปรดเกล้าฯโครงสร้างใหม่”
ดังนั้น หากสำนักอาลักษณ์เห็นถึงความไม่พร้อมในการจัดทำบัญชีรายชื่อโยกย้ายครั้งนี้ จนเป็นเหตุให้ไปประกาศโครงสร้างใหม่ในราชกิจจานุเบกษา วันที่ 1 ตุลาคม แทนวันที่ 15 สิงหาคม อะไรจะเกิดขึ้น เพราะเรื่องนี้ ในการประชุม กตร. วันที่ 8 สิงหาคม ที่ผ่านมา ก็มีการถกเถียงกันอย่างกว้างขวางว่า โครงสร้างใหม่จะประกาศได้ตามวันที่ทาง กตร.ได้ร้องขอไปจริงหรือไม่ และควรหรือไม่ที่จะต้องเร่งรัดจัดทำบัญชีโยกย้ายนายตำรวจระดับนายพัน เพื่อให้ทันภายในวันที่ 15 สิงหาคม
ทั้งๆ ที่ยังมีปัญหาเรื่องแต่งตั้งไปแล้วอาจขัดต่อระเบียบ ก.ตร.เอง ที่ระบุไว้ว่า กรณีจะโยกย้ายออกจากสังกัดเดิม จะทำได้ก็ต่อเมื่อปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานนั้นเป็นเวลา 2 ปี เว้นแต่จะสมัครใจ ซึ่งในการจัดทำบัญชีโผของ“บิ๊กป๊อด”มีผู้ไม่สมัครใจที่จะออกจากตำแหน่งเดิมเพื่อไปอยู่ในตำแหน่งใหม่จำนวนไม่น้อย
ดังนั้นเรื่องนี้ก็เป็นปัญหาที่จะต้องนำเข้าสู่ที่ประชุม กตร.ชุดใหญ่อีกครั้ง เพื่อขอให้งดเว้นระเบียบนี้เป็นกรณีพิเศษ
นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่นายตำรวจซึ่งอยู่ในโผนายพันบางรายอาจจะเกษียณอายุราชการในปีนี้ ก็เท่ากับว่า จะต้องมีการขยับตำแหน่งใหม่อีกครั้งในการโยกย้ายประจำปี
เรื่องมันก็เลยซ้ำซ้อนกันอยู่ จน ก.ตร.ที่ไม่ได้เป็นคนของ“บิ๊กป๊อด”และเล็งเห็นถึงความไม่ชอบมาพากลในการเร่งรัดจัดทำโผ ทั้งที่สามารถรอจัดทำครั้งเดียวในการโยกย้ายประจำปีก็ได้
ง่ายกว่า แต่เลือกที่จะไม่ทำ เพราะอะไรคงพอเดากันได้
ดังนั้นทางเดียวที่จะหยุดยั้งความพยายามผลักดันโผนายพันให้คลอดผิดท่าให้ได้ภายในวันที่ 15 สิงหาคม จึงต้องเลื่อนการประกาศใช้โครงสร้างใหม่ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติออกไปเป็นวันที่ 1 ตุลาคม ซึ่งมีการสู้กันไปแล้วยกหนึ่งในที่ประชุม ก.ตร. แต่ก็แพ้เสียงส่วนใหญ่ที่ดึงดันจะให้จัดทำทั้งสองโผให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 15 สิงหาคม ให้ได้
แต่ความเชื่อของ ก.ตร. เสียงส่วนใหญ่ที่ว่า สำนักอาลักษณ์จะประกาศโครงสร้างใหม่ในราชกิจจานุเบกษาให้มีผลบังคับใช้วันที่ 16 สิงหาคมนั้น ก็เป็นเพียงความเชื่อ เพราะสำนักอาลักษณ์ ยังไม่เคยตอบกลับมาว่าจะดำเนินการตามนั้น จึงยังเป็นช่องทางหนึ่งที่สามารถแก้ปัญหาการจัดทำบัญชีโยกย้ายที่ไม่ชอบมาพากลครั้งนี้ได้
อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง หากสำนักอาลักษณ์เลื่อนการประกาศใช้โครงสร้างใหม่ไปเป็นวันที่ 1 ตุลาคม ?
สิ่งที่เกิดขึ้นแน่ๆก็คือ“บิ๊กป๊อด”จะหมดสิทธิ์ทำโผนายพันทันที เพราะในเวลาที่โครงสร้างใหม่มีผลบังคับใช้ เขาก็พ้นจากตำแหน่ง ผบ.ตร.ไปแล้ว จากการเกษียณอายุราชการ
ส่วนโผนายพลที่ทำไปก่อนหน้านี้ ก็อาจจะต้องถูกรื้อใหม่ด้วยเช่นเดียวกัน เพราะการจะนำรายชื่อนายพลใหม่ขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ ต้องรอให้โครงสร้างตำรวจใหม่ มีผลบังคับใช้ก่อน
ดังนั้นหากโครงสร้างใหม่มีผลในวันที่ 1 ตุลาคม การทำบัญชีนายพล ก็ไม่ใช่สิ่งเร่งรีบอีกต่อไป รวมทั้งยังต้องคำนึงถึงการโยกย้ายประจำปีด้วย ซึ่งจะเป็นการดีกว่าหากนำทั้งสองส่วนมาดำเนินการไปในคราวเดียวกัน
ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นเพราะเหตุผลนี้หรือเปล่า ที่ทำให้“บิ๊กป๊อด”เปลี่ยนใจ จากการเตรียมเข้าปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่ง ผบ.ตร. วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม มาเป็นการไม่สวมเครื่องแบบเดินทางเข้า สตช.เพียงห้านาที แล้วเดินทางกลับออกไป
เป็นเกมกวนประสาทที่ต้องการทำสงครามทางจิตวิทยา ในสถานะที่รู้ว่าตัวเองเป็นรองแต่ยังไม่ยอมแพ้ เกมนี้จึงอำมหิตกว่าที่“อภิสิทธิ์”คิดไว้มากนัก
การประนีประนอม เพื่อให้ได้คำตอบที่ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่ายที่“อภิสิทธิ์”พยายามทำอยู่ตอนนี้ อาจกลายเป็นทางออกสำหรับ“บิ๊กป๊อด”แต่กลายเป็น“ทางตัน”ในภาวะความเป็นผู้นำของ“อภิสิทธิ์”ก็เป็นได้ เพราะหากงานนี้ยังปล่อยเสือเข้าป่า หรือตีงูแค่หลังหัก แน่นอนว่างูนั้นต้องหันมาพ่นพิษใส่เป็นแน่
ทางเลือกเดียวที่“อภิสิทธิ์”ควรทำก่อนจะสายเกินไปคือ หากไม่อาจตัดใจหักหาญคนใกล้ตัวอย่าง สุเทพ–นิพนธ์ ด้วยการให้“บิ๊กป๊อด”ไปช่วยราชการที่ทำเนียบรัฐบาลแล้ว ก็ควรเร่งตั้ง ผบ.ตร. คนใหม่ให้เร็วที่สุด
ที่สำคัญคือ ผบ.ตร.คนใหม่ ต้องไม่ใช่ทายาทที่จะมาต่อยอดความพยายามในการสร้างรัฐตำรวจของฝ่ายสีน้ำเงิน !