การพลิกลิ้นของ “พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ” ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ด้วยการดอดเข้าประเทศก่อนครบกำหนดลาไปปฏิบัติภารกิจต่างประเทศถึง 7 วัน บ่งชัดถึงการตีรวน ไม่ปฏิบัติตามสัญญาสุภาพบุรุษที่มีไว้ระหว่างกันว่า
“จะลาไปปฏิบัติภารกิจต่างประเทศเป็นเวลา 11 วัน นับจากวันที่ 5–14 สิงหาคม และจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการจัดทำบัญชีโยกย้ายนายตำรวจระดับรองผู้บังคับการจนถึงสารวัตร”
เหตุผลที่ทำให้เมืองจีนร้อนระอุจน “บิ๊กป๊อด” ต้องจับเที่ยวบินด่วนกลับเมืองไทยในวันที่ 8 สิงหาคมที่ผ่านมา ก็ไม่มีอะไรมาก เพียงแค่แผนการที่คิดไว้อย่างแยบยล กำลังถูกตลบหลังโดยคนที่ตัวเองเลือก!!!
ชื่อ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ที่ปรึกษา สบ 10 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถูก “บิ๊กป๊อด” แอบยื่นใส่มือ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี และนาย นิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เพื่อใช้ต่อรองในการเดินทางไปต่างประเทศ ตามความต้องการของ “อภิสิทธิ์”
ที่ต้องการเปิดทางโล่งให้กับชุดสืบสวนสอบสวนคดีลอบยิง สนธิ ลิ้มทองกุล ได้หายใจโล่งในการทำคดี โดยไม่ต้องกังวลว่าจะได้รับผลกระทบต่อหน้าที่ราชการ จากอำนาจการโยกย้ายข้าราชการตำรวจที่อยู่ในมือของ “บิ๊กป๊อด”
เมื่อ “สุเทพ” จับมือ “นิพนธ์” เดินเกมจนทำให้ “อภิสิทธิ์” จรดปากกาลงนามให้ “พล.ต.อ.วิเชียร” เป็นผู้รักษาราชการแทน ผบ.ตร.คนใหม่ได้ “บิ๊กป๊อด” ก็สบายใจที่จะเดินทางไปประเทศจีน
แต่เกมกลับไม่เป็นไปตามที่คาดหมายไว้ จากเดิมที่หยิบชื่อ “พล.ต.อ.วิเชียร” มารักษาราชการแทน เพราะเล็งเห็นว่าขาดศักยภาพที่จะเขย่าเก้าอี้ ผบ.ตร. อีกทั้งยังไม่มีมือมีไม้ใน สตช. มากพอที่จะหักดิบโผนายพัน หรือโผเล็ก ที่มีการจัดทำไว้ล่วงหน้า
กลับกลายเป็นว่า คนนอกสายตาที่ “บิ๊กป๊อด” ไม่ให้ค่า กลับมีพิษสงรอบตัวที่พร้อมจะหัก “บิ๊กป๊อด” โดยไม่ห่วงอายุราชการอีก 4 ปีของตัวเอง
จริงอยู่ที่ “พล.ต.อ.วิเชียร” ห่างไกลจากอ้อมอก สตช.เข้าไปอยู่ในรั้วในวังนานหลายปี เมื่อกลับมา สตช.อีกครั้ง จึงไม่ง่ายที่จะเรียนรู้ระบบเส้นสนกลในของสำนักงานแห่งนี้ แต่สายสัมพันธ์ที่มีกับ พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเคยช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาถึงสองครั้งสองครา ทำให้ผ่านช่วงเวลายากลำบากบนเส้นทางสีกากีไปได้อย่างราบรื่น
ทำให้ “พล.ต.อ.วิเชียร” จับมือกับ “พล.ต.อ.ปทีป” จัดทำบัญชีโยกย้ายนายตำรวจระดับนายพันใหม่
หักดิบเอื้อมมือไปแตะโผเล็กจน “บิ๊กป๊อด” นั่งไม่ติด ต้องบินด่วนกลับมาทันที ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่า เหตุใดจึงห่วงโผนี้นักหนา หรือว่าคำครหาที่ว่าโผพันล้าน จะเป็นความจริง!
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็แล้วแต่ ความชัดเจนมีอยู่ว่านอกจาก “บิ๊กป๊อด” จะไม่ปฏิบัติตามสัญญาแล้ว ยังท้าทายอำนาจและภาวะความเป็นผู้นำของ “อภิสิทธิ์” ในฐานะนายกรัฐมนตรีอย่างยิ่ง
ด้วยการบินด่วนกลับก่อนกำหนด แถมวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ในวันอาทิตย์ ยังแอบร่อนหนังสือเวียนส่งไปถึงหน่วยงานในสังกัด สตช. มีเนื้อหายกเลิกคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ให้ “พล.ต.อ.วิเชียร” รักษาราชการแทน ด้วยการระบุว่าจะเข้าปฏิบัติหน้าที่ในวันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม
เหตุผลสำคัญที่ทำให้ “บิ๊กป๊อด” สวมหัวใจเสือ งัดข้อ “อภิสิทธิ์” เป็นเพราะต้องการตัดปัญหาเรื่องการจัดทำบัญชีโยกย้ายนายพัน ที่กำลังหลุดลอยไปจากมือ ซี่งมีวิธีเดียวที่จะเก็บโผเล็กเอาไว้ได้ คือ
การกลับเข้าสู่ตำแหน่ง ผบ.ตร.อีกครั้ง
อันจะทำให้ “พล.ต.อ.วิเชียร” หมดอำนาจในการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ทันที
แต่ข้อผูกมัดในคำสัญญาที่มีระหว่างกันของ “อภิสิทธิ์” ก็ทำให้ความคิดของ “บิ๊กป๊อด” ไม่ง่ายที่จะทำให้ประสบความสำเร็จดังหวัง เพราะในห้วงที่ให้สัญญาระหว่างกัน พูดชัดว่า “ถ้าไม่ลาไปปฏิบัติภารกิจต่างประเทศ ก็จะมีคำสั่งให้ไปช่วยราชการที่ทำเนียบรัฐบาล”
ค่ำคืนของวันที่ 9 สิงหาคม จึงเป็นคืนแห่งการเจรจาครั้งสำคัญ
ที่ฝ่าย “บิ๊กป๊อด” ยังเชื่อว่าตัวเองถือไพ่ในมือเหนือกว่า เพราะนอกจากสังคมที่ไม่รู้ข้อเท็จจริงยังสนับสนุนให้ดำรงตำแหน่งต่อ แล้วยังมีฝ่ายการเมืองทั้ง เนวิน ชิดชอบ-ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ชาย และ สุเทพ คอยถือหาง เลยทำให้“บิ๊กป๊อด”เข้าใจว่าแต้มเป็นต่อ
จนลืมนึกไปว่าไพ่ในมือ “อภิสิทธิ์” ที่ไม่เคยเผยให้เห็นนั้น อาจกลายเป็นจุดตายที่ทำให้ “บิ๊กป๊อด” สูญสิ้นอำนาจแม้อยู่ในตำแหน่งก็ได้
ข้อเท็จจริงที่ว่า คือการจัดทำบัญชีโยกย้ายทั้งโผนายพล และนายพัน เกี่ยวพันกับการประกาศโครงสร้างใหม่ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่ง กตร. แจ้งไปยังกองประกาศิต ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น สำนักอาลักษณ์และเครื่องราชอิสริยาภรณ์ สังกัดสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ว่าอยากให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ในวันที่ 15 สิงหาคมนั้น
ทางสำนักอาลักษณ์ยังไม่เคยตอบรับเลยแม้แต่ครั้งเดียวว่าจะประกาศในราชกิจจาตามวันดังกล่าว แต่เคยทำหนังสือ นร.05808/ท 4812 ลงวันที่ 20 ก.ค.52 ตีกลับโผนายพล ที่ตั้งเรื่องรอให้มีการนำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยหนังสือไปถึงกองทะเบียนพล สำนักกำลังพล สำนักงานตำรวจแห่งชาติในวันถัดมาคือ วันที่ 21 ก.ค. 52 พร้อมกับให้เหตุผลการส่งคืนโผนายพลครั้งนั้นว่า
“ส่งคืนรอรับการโปรดเกล้าฯ โครงสร้างใหม่”
ดังนั้น หากสำนักอาลักษณ์เห็นถึงความไม่พร้อมในการจัดทำบัญชีรายชื่อโยกย้ายครั้งนี้ จนเป็นเหตุให้ไปประกาศโครงสร้างใหม่ในราชกิจจานุเบกษา วันที่ 1 ตุลาคม แทนวันที่ 15 สิงหาคม อะไรจะเกิดขึ้น เพราะเรื่องนี้ ในการประชุม ก.ตร.วันที่ 8 สิงหาคม ที่ผ่านมา ก็มีการถกเถียงกันอย่างกว้างขวางว่า โครงสร้างใหม่จะประกาศได้ตามวันที่ทาง กตร.ได้ร้องขอไปจริงหรือไม่ และควรหรือไม่ที่จะต้องเร่งรัดจัดทำบัญชีโยกย้ายนายตำรวจระดับนายพัน เพื่อให้ทันภายในวันที่ 15 สิงหาคม
ทั้งๆ ที่ยังมีปัญหาเรื่องแต่งตั้งไปแล้วอาจขัดต่อระเบียบ ก.ตร.เองที่ระบุไว้ว่า กรณีจะโยกย้ายออกจากสังกัดเดิม จะทำได้ก็ต่อเมื่อปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานนั้นเป็นเวลา 2 ปี เว้นแต่จะสมัครใจ ซึ่งในการจัดทำบัญชีโผของ“บิ๊กป๊อด”มีผู้ไม่สมัครใจที่จะออกจากตำแหน่งเดิมเพื่อไปอยู่ในตำแหน่งใหม่จำนวนไม่น้อย
ดังนั้น เรื่องนี้ก็เป็นปัญหาที่จะต้องนำเข้าสู่ที่ประชุม ก.ตร.ชุดใหญ่อีกครั้ง เพื่อขอให้งดเว้นระเบียบนี้เป็นกรณีพิเศษ
นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่นายตำรวจซึ่งอยู่ในโผนายพันบางรายอาจจะเกษียณอายุราชการในปีนี้ ก็เท่ากับว่า จะต้องมีการขยับตำแหน่งใหม่อีกครั้งในการโยกย้ายประจำปี
เรื่องมันก็เลยซ้ำซ้อนกันอยู่ จน ก.ตร.ที่ไม่ได้เป็นคนของ “บิ๊กป๊อด” และเล็งเห็นถึงความไม่ชอบมาพากลในการเร่งรัดจัดทำโผ ทั้งที่สามารถรอจัดทำครั้งเดียวในการโยกย้ายประจำปีก็ได้
ง่ายกว่า แต่เลือกที่จะไม่ทำ เพราะอะไรคงพอเดากันได้
ดังนั้น ทางเดียวที่จะหยุดยั้งความพยายามผลักดันโผนายพันให้คลอดผิดท่าให้ได้ภายในวันที่ 15 สิงหาคม จึงต้องเลื่อนการประกาศใช้โครงสร้างใหม่ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติออกไปเป็นวันที่ 1 ตุลาคม ซึ่งมีการสู้กันไปแล้วยกหนึ่งในที่ประชุม ก.ตร. แต่ก็แพ้เสียงส่วนใหญ่ที่ดึงดันจะให้จัดทำทั้งสองโผให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 15 สิงหาคม ให้ได้
แต่ความเชื่อของ ก.ตร.เสียงส่วนใหญ่ที่ว่า สำนักอาลักษณ์จะประกาศโครงสร้างใหม่ในราชกิจจานุเบกษาให้มีผลบังคับใช้วันที่ 16 สิงหาคมนั้น ก็เป็นเพียงความเชื่อ เพราะสำนักอาลักษณ์ ยังไม่เคยตอบกลับมาว่าจะดำเนินการตามนั้น จึงยังเป็นช่องทางหนึ่งที่สามารถแก้ปัญหาการจัดทำบัญชีโยกย้ายที่ไม่ชอบมาพากลครั้งนี้ได้
อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง หากสำนักอาลักษณ์เลื่อนการประกาศใช้โครงสร้างใหม่ไปเป็นวันที่ 1 ตุลาคม ?
สิ่งที่เกิดขึ้นแน่ๆ ก็คือ “บิ๊กป๊อด” จะหมดสิทธิ์ทำโผนายพันทันที เพราะในเวลาที่โครงสร้างใหม่มีผลบังคับใช้ เขาก็พ้นจากตำแหน่ง ผบ.ตร.ไปแล้ว จากการเกษียณอายุราชการ
ส่วนโผนายพลที่ทำไปก่อนหน้านี้ก็อาจจะต้องถูกรื้อใหม่ด้วยเช่นเดียวกัน เพราะการจะนำรายชื่อนายพลใหม่ขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ ต้องรอให้โครงสร้างตำรวจใหม่ มีผลบังคับใช้ก่อน
ดังนั้น หากโครงสร้างใหม่มีผลในวันที่ 1 ตุลาคม การทำบัญชีนายพลก็ไม่ใช่สิ่งเร่งรีบอีกต่อไป รวมทั้งยังต้องคำนึงถึงการโยกย้ายประจำปีด้วย ซึ่งจะเป็นการดีกว่าหากนำทั้งสองส่วนมาดำเนินการไปในคราวเดียวกัน
ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นเพราะเหตุผลนี้หรือเปล่า ที่ทำให้ “บิ๊กป๊อด” เปลี่ยนใจ จากการเตรียมเข้าปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่ง ผบ.ตร. วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม มาเป็นการไม่สวมเครื่องแบบเดินทางเข้า สตช.เพียงห้านาทีแล้วเดินทางกลับออกไป
เป็นเกมกวนประสาทที่ต้องการทำสงครามทางจิตวิทยา ในสถานะที่รู้ว่าตัวเองเป็นรองแต่ยังไม่ยอมแพ้ เกมนี้จึงอำมหิตกว่าที่ “อภิสิทธิ์” คิดไว้มากนัก
การประนีประนอมเพื่อให้ได้คำตอบที่ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่ายที่ “อภิสิทธิ์” พยายามทำอยู่ตอนนี้ อาจกลายเป็นทางออกสำหรับ “บิ๊กป๊อด” แต่กลายเป็น “ทางตัน” ในภาวะความเป็นผู้นำของ “อภิสิทธิ์” ก็เป็นได้ เพราะหากงานนี้ยังปล่อยเสือเข้าป่า หรือตีงูแค่หลังหัก แน่นอนว่างูนั้นต้องหันมาพ่นพิษใส่เป็นแน่
ทางเลือกเดียวที่ “อภิสิทธิ์” ควรทำก่อนจะสายเกินไป คือ หากไม่อาจตัดใจหักหาญคนใกล้ตัวอย่าง สุเทพ–นิพนธ์ ด้วยการให้ “บิ๊กป๊อด” ไปช่วยราชการที่ทำเนียบรัฐบาลแล้ว ก็ควรเร่งตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่ให้เร็วที่สุด
ที่สำคัญคือ ผบ.ตร.คนใหม่ ต้องไม่ใช่ทายาทที่จะมาต่อยอดความพยายามในการสร้างรัฐตำรวจของฝ่ายสีน้ำเงิน!