ผีแห้งกับโลงผุ บิ๊กจิ๋วกับพรรคเพื่อไทย

สำนวนไทย มีคำว่า ผีแห้ง กับโลงพุก หรือโลงผุ

โลงผุๆ ใส่ของหนัก โลงก็พัง แต่ โลงผุๆพังๆ รับน้ำหนักผีแห้งไหว เพราะเนื้อหนัง เน่าเปื่อย หลุดร่อน น้ำเหลือง น้ำหนองเหือดแห้งหมดแล้ว เหลือแต่โครงกระดูกเบาๆ

ผีแห้งกับโลงผุ มีความหมายเปรียบเทียบ คนที่มีพฤติกรรมเป็นที่เอือมระอา ไม่มีใครคบค้าสมาคมด้วย ต้องหันมาสุงสิงกันเอง หรือ หมายถึง ของเน่าๆ ที่อยู่ด้วยกันได้ เข้ากันได้ดี

“ บิ๊ก จิ๋ว” พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ถูกบริวารจับแห่ไปเข้าพรรคเพื่อไทย ของ นช.ทักษิณ ชินวัตร ดูตามกระแสข่าวแล้ว ทำให้พรรคเพื่อไทยดูดี น่าเกรงขามขึ้นมาทันที เพราะได้ขงเบ้งแห่งกองทัพบก ซึ่งมีบารมี ใครๆก็เคารพยกย่อง จะมานำทัพ เขย่าบัลลังก์ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และพรรคประชาธิปัตย์ ชูป้าย สมานฉันท์ เพื่อช่วย นช. ทักษิณ ที่กำลังจนตรอก เหมือนคนลอยคออยู่กลางสายธารอันเชี่ยวกราก มีขอนไม้ หรือ หมาเน่าลอยน้ำมาก็คว้าไว้ก่อน

แต่ถ้าดูความเป็นมาในอดีต และความเป็นจริงในวันนี้ นี่แหละ คู่แท้ ผีแห้งกับโลงผุ ของจริง

นับตั้งแต่ พลเอกชวลิต ลาออกจากกองทัพมาเล่นการเมือง ตั้งแต่ปี 2533 ก็ล้มเหลวมาโดยตลอด ออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ.2533 เพื่อมาเป็นรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในรัฐบาลพลตรีชาติชาย ชุณหะวัณ

เป็นอยู่แค่ 81 วัน ขงเบ้งแห่งกองทัพบก ถึงรู้ตัวว่า ถูกหลอกให้ทิ้งตำแหน่งที่มีอำนาจมากที่สุดในประเทศไทย เมื่อถูก ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น เล่นของสูง เสียดสีเมียรักว่า เป็นตู้เพชรเคลื่อนที่ ทนไม่ได้ต้องขอลาออกจากตำแหน่ง

หลังเหตุการณ์ พฤษภาทมิฬ 2535 ที่ บิ๊กจิ๋ว มีบทบาทอย่างสูง ทั้งในทางเปิดและในทางลับ ในศึก สายเลือด นอกรั้วแดงกำแพงเหลือง จปร. รุ่น 7 โค่นรุ่น 5 พรรคความหวังใหม่ก็ถือกำเนิดขึ้นมา โดยมีพลเอกชวลิต เป็นหัวหน้าพรรค ได้เข้าร่วมรัฐบาล ชวน 1 และรัฐบาลที่มีนายบรรหาร ศิลปอาชา เป็นนายกรัฐมนตรี

ทั้ง2 รัฐบาล มีเศรษฐีใหม่ที่รวยมาจากสัมปทานดาวเทียมในยุค รสช. ชื่อ ทักษิณ ชินวัตร เป็นรัฐมนตรี กระเป๋าหนัก จากพรรคพลังธรรมร่วมรัฐบาลด้วย

เดือนกันยายน 2539 นายบรรหาร ดัดหลัง พรรคร่วมรัฐบาล ประกาศยุบสภา แทนที่จะลาออก หลังโดนพรรคประชาธิปัตย์อภิรายไม่ไว้วางใจเรื่อง สัญชาติปลอม พรรคความหวังใหม่ ชนะการเลือกตั้ง เฉือน พรรคประชาธิปัตย์ไปเพียง 2 คะแนน ได้เป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล พ่อใหญ่จิ๋ว เดินทางไกล 2 แสนกิโลเมตร มาถึงเส้นชัยที่ทำเนียบพอดี ได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 22 ของประเทศไทย เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2539

อีกครึ่งปีต่อมา ประเทศไทยเกิดวิกฤติฟองสบู่แตก ที่ลุกลามเป็นวิกฤติต้มยำกุ้ง ไปทั่วเอเชีย รัฐบาลต้องประกาศให้ค่าเงินบาทลอยตัว ปิดสถาบันการเงิน และจำใจยกอธิปไตยทางเศรษฐกิจให้ไอเอ็มเอฟ เพื่อแลกกับเงินกู้

บิ๊กจิ๋ว ถูกชนชั้นกลางเดินขบวนขับไล่ที่ถนนสีลม เพราะไม่พอใจที่แก้ไขปัญหาไม่ได้ อีกไม่กี่วัน จะอยู่ในตำแหน่งครบปี ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ให้พรรคประชาธิปัตย์เข้ามาจัดตั้งรัฐบาล

นับจากนั้น ชีวิตทางการเมืองก็ตกต่ำลงมาเรื่อยๆ เมื่อพรรคไทยรักไทย ชนะการเลือกตั้ง ในพ.ศ. 2544 นช. ทักษิณ ได้เป็นนายกรัฐมนตรี พลเอกชวลิตก็เซ้งพรรคความหวังใหม่ให้กับ ทักษิณ ตัวเองลดชั้นลงมาเป็นรองนายกรัฐมนตรี.

เมื่อ นช. ทักษิณ ถูกยึดอำนาจไปแล้ว หลายครั้งหลายครา บิ๊กจิ๋ว พยายามเล่นบทคนกลาง ขายโซ่ข้อกลาง เรียกร้องให้สังคมไทยหันหน้าเข้าหากัน แต่ลึกๆแล้ว พยายามเสนอตัวให้ นช.ทักษิณ เลือกใช้บริการ เป็นผู้นำพรรคพลังประชาชน สู้ศึกเลือกตั้ง แต่ นช.ทักษิณ ไม่ไว้ใจ หรืออาจะเป็นเพราะ ตั้งเงื่อนไขสูงเกินไป ในที่สุดจึงเลือกเอาสมัคร สุนทรเวช เป็นหัวหน้าพรรคพลังประชาชน และได้เป็นนายกรัฐมนตรีในที่สุด

เดือนพฤษภาคม 2551 ขณะที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ยึดทำเนียบรัฐบาล ชุมนุมขับไล่นายสมัคร พล.อ.ชวลิต ไปพูดเรื่อง ยุทธศาสตร์กู้ชาติ และเข็มทิศใหม่เพื่อผ่าทางตันการเมืองไทย ที่มหาวิทยาลัย ราชภัฏสวนดุสิต มีเนื้อหาตอนหนึ่งว่า

“ เมืองไทยจริงๆ มันมีกระบวนการไม่หวังดี กระบวนการล้มปืน ล้มทุน ล้มเจ้า มีมากน้อยเท่าไร ไม่รู้ ไม่พูดกันดีกว่า ขบวนการสาธารณรัฐยังมีอยู่ และยังมีกระบวนการอื่นๆที่เราห้ามไม่ได้”

บิ๊กจิ๋วหมายถึงใคร น่าจะรู้กันดีอยู่แล้ว

เมื่อ นายสมัคร ถูก นช.ทักษิณ หักหลัง ไม่ให้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป หลังจากถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า มีผลประโยชน์ทับซ้อน แล้วเชิดเอาน้องเขย นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ขึ้นเป็นนายกฯ แทน บิ๊กจิ๋วถูกเลือกมาเป็นรองนายกรัฐมนตรี แต่เป็นได้แค่ 2 สัปดาห์ ก็ลาออก เพื่อหนีความรับผิดชอบ กรณีมีส่วนรับผิดชอบ ในการออกคำสั่งปราบปรามประชาชน เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม

แต่ก็หนีไม่พ้น เมื่อถูก ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามมาตรา 157 ของประมวลกฎหมายอาญา

วันที่กลุ่มเสื้อแดงชุมนุมยื่นฎีกาไถ่โทษให้ นช.ทักษิณที่ท้องสนามหลวง หาผู้นำไม่ได้ มีข่าวว่า เสธฯ คนสนิทของบิ๊กจิ๋ว อาสาไปทาบทามพลเอกชวลิต ให้มานำอ่านฎีกา แต่เจ้าตัวไม่เล่นด้วย เพราะงานนี้ได้มากเท่าไร ก็ไม่คุ้มเสีย

วันที่ หนีความรับผิดชอบ ลาออกจากรัฐบาลนายสมชายไปนั้น ใครๆก็นึกว่า บิ๊กจิ๋วคงวางมือจากการเมืองแล้ว แต่ที่ไหนได้ แค่ปีเดียว ก็กลับมาอีกแล้ว

สุดท้าย บิ๊กจิ๋วก็กลับมารับใช้ นช.ทักษิณจนได้ ด้วยการเป็นประธานที่ปรึกษาของพรรคเพื่อไทย โดยอ้างว่า ทนเห็นบ้านเมืองแตกแยกไม่ได้ จึงมาร่วมกับพรรคเพื่อไทยเพื่อผลักดันแนวทางสมานฉันท์

นักข่าวถามว่า ยังมีแนวความคิดเรื่องล้มปืน ล้มทุน ล้มเจ้าในสังคมไทยอยู่หรือไม่ บิ๊กจิ๋วตอบว่า ในเชิงความคิดอุดมการณ์ยังมีอยู่ แต่วันนี้ประชาชนรู้แล้วว่า เราต้องปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

นี่แหละ บิ๊กจิ๋วตัวจริง เวลาผ่านไปแค่ปีเดียว ลืมเสียแล้วว่าตัวเองพูดอะไรไว้

มีแต่บิ๊กจิ๋วคนนี้ ที่เอารัดเอาเปรียบทักษิณได้ ขายพรรคให้ทักษิณไปแล้ว ก็ยังวนเวียนมารับจ็อบอยู่ไม่ขาด เพราะยังลด ละ เลิก ความอยากมีอำนาจ และผลประโยชน์ไม่ได้

สำหรับโลงผุ พรรคเพื่อไทยนั้น ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ทั้งในการทำหน้าที่ฝ่ายค้าน และการเป็นเครื่องมือของทักษิณในระบบ เพราะทักษิณไม่ไว้ใจให้ใครเป็นผู้นำ จึงเลือกเอา 2 อำมาตย์ที่หมดสภาพแล้ว คือ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ และนายปลอดประสบ สุรัสวดี มารับใช้ ทำให้เป็นพรรคหัวขาด ไม่มีเอกภาพ ไม่มีทิศทาง สมาชิกแต่ละคนคิดแต่ว่า จะสร้างสีสัน ให้เป็นข่าวได้อย่างไร เพื่อให้ นช.ทักษิณเห็นความจงรักภักดี

บทบาทของพรรคเพื่อไทยที่ผ่านมา ทั้ง การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล การตั้งกระทู้ถาม การพยายามใช้ข้อกฎหมายมาเป็นอาวุธรุกรัฐบาล การแถลงข่าว ให้สัมภาษณ์ ล้วนสะท้อนถึงความอ่อนหัด และไม่ขยันทำการบ้านของสมาชิกพรรค

นช. ทักษิณ รู้ดีว่า เวลาของตัวเองใกล้หมดแล้ว เพราะยิ่งสู้ ก็ยิ่งแพ้ในทุกแนวรบที่ตัวเองเปิดขึ้นมา เวลาที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะปิดคดี ยึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาท ก็ใกล้เข้ามาทุกขณะ เขาจึงต้องดิ้นรนทุกวิถีทาง เพื่อแย่งชิงสมบัติก้อนนี้กลับมาให้ได้ แม้จะรู้ว่า แต่ละคนที่ตัวเองเลือกใช้นั้น ไม่ได้มาด้วยใจ แต่มาเพราะเงิน

คนอย่าง นช.ทักษิณ มีหรือจะไม่รู้จักพลเอกชวลิต แต่ก็ไม่มีทางเลือก เพราะมีผีแห้งเท่านั้น จึงจะเข้ากับโลงผุได้