xs
xsm
sm
md
lg

“บิ๊กจิ๋ว”เข้าคอกเพื่อไทย แค่“โครงกระดูกในบ้าน”

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวการเมือง


แล้วก็เป็นอย่างที่ "ทีมข่าวการเมือง ASTVผู้จัดการรายวัน" ได้ชี้ไว้ตั้งแต่เมื่อหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. ลงมติว่า

“บิ๊กจิ๋ว” พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ มีความผิดอาญา กรณีเหตุการณ์ 7 ตุลาทมิฬ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงในเวลานั้น

ซึ่งเราได้บอกไว้ในทันทีว่า นี่คือสิ่งที่ผลักดันให้พลเอกชวลิต ต้องหา “เกราะป้องกันตัว”

และสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับอดีตขงเบ้งแห่งกองทัพ คงไม่มีอะไรดีกว่าต้องลงเล่นการเมืองอย่างเต็มตัว

ตอนนั้นเราบอกไว้แล้วว่า พรรคที่พลเอกชวลิตต้องการไปอยู่มากที่สุดก็คือ

พรรคเพื่อไทย

เพียงแต่การจะเข้าพรรคเพื่อไทยแล้วไปอยู่ในสถานะอะไร ต้องให้เจ้าของพรรคตัวจริง นช.(พ.ต.ท.)ทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้เห็นชอบและอนุมัติ ออก“คำสั่งดูไบ”มายังที่ทำการพรรคเพื่อไทย เพื่อเปิดทางให้พลเอกชวลิต

เหตุที่ต้องให้ทักษิณเห็นชอบ ก็เพราะก่อนหน้านี้ทักษิณและแกนนำพรรคเพื่อไทย ต้องผิดหวังในตัว พลเอกชวลิต ที่ทิ้งเพื่อนเอาตัวรอดในเหตุการณ์ 7 ตุลาทมิฬแต่สุดท้ายก็ไม่รอดเงื้อมมือ ป.ป.ช.ไปได้

ดังนั้นการเดินเข้าพรรคเพื่อไทยที่ ทักษิณ มอบเก้าอี้ “ประธานที่ปรึกษาพรรค”ให้ เพื่อรอการขึ้นเป็น “หัวหน้าพรรค”ในเร็ววันนี้ นั่นย่อมสะท้อนด้วยว่า ทักษิณ และแกนนำพรรคได้ลืมเลือนสิ่งที่ บิ๊กจิ๋ว สร้างไว้แล้ว

บนเป้าหมายทางการเมืองที่ใหญ่กว่า หลังจากทักษิณ ไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้สำหรับการหา"ผู้นำพรรค"ที่ดีมากไปกว่า พลเอกชวลิต หลังจากพยายามเสาะหาผู้นำพรรคเพื่อไทยมาหลายเดือน

แต่ก็ไม่มีใครเข้าตาสักคน

ไม่ว่าจะเป็น พลเอกเชษฐา ฐานะจาโร , พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ,ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง,มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ , เสนาะ เทียนทอง, พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย, ปานปรีย์ พหิทธานุกร,โอฬาร ไชยประวัติ หรือแม้แต่ “น้องปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งแต่ละคนมีจุดเด่นและด้อยแตกต่างกันไป โดยข้อด้อยสำคัญของแคนดิเดตข้างต้นก็คือ

“ขาดบารมี”

แม้ว่า พลเอกชวลิตในยามนี้จะอยู่ในช่วงนับถอยหลังรอวันรูดม่านปิดฉากทางการเมือง แต่พลเอกชวลิต ก็มีประสบการณ์และความเก๋าในการบริหารอำนาจ และผ่านการเมืองมาอย่างโชกโชน ทั้งการทำพรรคการเมืองของตัวเองอย่างพรรคความหวังใหม่ ที่เคยมี ส.ส.มากที่สุดหลังการเลือกตั้ง จนทำให้ได้เป็นนายกรัฐมนตรี

และต้องไม่ลืมว่า แกนนำคนสำคัญในเพื่อไทยที่ไม่ได้ติดโทษแบนการเมืองล้วนเคยเป็นลูกน้องเก่าอยู่กับพลเอกชวลิต ด้วยกันทั้งสิ้น

ไม่ว่าจะเป็นเสนาะ เทียนทอง ที่กำลังจะย้ายเข้าเพื่อไทย หรือเฉลิม อยู่บำรุง , พล.ต.ศรชัย มนตริวัต, พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี, สุพล ฟองงาม , พิเชษฐ สถิรชวาล , สันติ พร้อมพัฒน์,วิรุฬ เตชะไพบูลย์ เป็นต้น

ผนวกกับการเป็นทหารแก่ ซึ่งยังมีบารมีที่น้องๆในกองทัพยังให้ความเคารพอยู่เสมอ แถมยังเป็นคนที่มีสายสัมพันธ์ในอดีตอันดีกับผู้ใหญ่ในบ้านเมืองจำนวนมาก

อาทิ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ที่แม้ระยะหลังจะเหินห่างกันไป แต่น้องจิ๋ว ก็ยังพยายามแวะเวียนสานสัมพันธ์กับอดีตผู้บังคับบัญชาอย่างป๋าเปรม ผู้ยิ่งใหญ่แห่งบ้านสี่เสาเทเวศร์ อย่างต่อเนื่อง แม้จะไม่ได้รับการตอบรับจากป๋าเปรมเท่าใดนัก

จึงทำให้ทักษิณ เชื่อว่า “จุดแข็ง” ของพลเอกชวลิต น่าจะเป็นประโยชน์กับตัวทักษิณ และพรรคเพื่อไทยอยู่บ้าง

แต่อย่างไรก็ตาม บิ๊กจิ๋วประกาศทันที เมื่อกรอกใบสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย ว่าต้องการ

"สร้างความสมานฉันท์ ภายใต้หลักอโหสิกรรมให้แก่กัน"

ซึ่งเป็นแนวคิดที่พลเอกชวลิตนำเสนอมาตลอด กับบทบาท “โซ่ข้อกลาง” แต่ถูกมองเป็นภารกิจที่พลเอกชวลิต ต้องทำตามคำสั่งของทักษิณ จึงทำให้สังคมไม่ไว้วางใจในตัวบิ๊กจิ๋วเท่าใดนัก และตั้งแง่ทันทีว่ามันอาจเป็น

“โซ่ข้อเสื่อมเคลือบวาระซ่อนเร้น เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับทักษิณ”

เพราะด้วยการเดินเข้าพรรคเพื่อไทยในยามที่พลเอกชวลิตแทบไม่มีเส้นทางให้เลือกเดินอีกต่อไปแล้ว จึงย่อมทำให้พลเอกชวลิต ที่แม้จะแก่พรรษาการเมืองกว่าทักษิณ แต่เมื่อต้องมาอาศัยบ้านคนอื่นอยู่ คนอย่างพลเอกชวลิต ก็ย่อมต้องเกรงใจเจ้าของบ้าน ที่ให้ที่พักหลบแดดหลบฝนในยามที่กำลังลำบาก

สถานะของพลเอกชวลิตในยามนี้ย่อมแตกต่างกับวันที่เจ้าตัวยื่นเงื่อนไขหลายเรื่องให้กับทักษิณ ยามที่ถูกทักษิณส่งเทียบเชิญมาให้นั่งเก้าอี้หัวหน้าพรรคพลังประชาชนในช่วงก่อนการเลือกตั้ง ธันวาคม 2550 โดยเฉพาะเงื่อนไขที่ พลเอกชวลิตต้องการขอ

“มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในการเป็นผู้นำพรรค”

ทั้งเรื่องค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้ง การคัดเลือกผู้สมัครลงเลือกตั้ง การคัดเลือกคนเป็นรัฐมนตรี โดยไม่ต้องให้ทักษิณเห็นชอบ อันเป็นเงื่อนไขที่ทักษิณยอมไม่ได้ เพราะทักษิณก็รู้ดีว่าการเลือกตั้งครั้งนั้น พรรคพลังประชาชนต้องเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลแน่นอน แล้วทำไมจะต้องยอมให้ พี่จิ๋ว มา “ชุบมือเปิบ”ได้ทั้งตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรค ยึดกุมอำนาจเบ็ดเสร็จทั้งหมดในพรรค

ทักษิณจึงพลิกเกมไปส่งเทียบเชิญสมัคร สุนทรเวช มารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคแทน แล้วสมัคร ก็ได้ในสิ่งที่พลเอกชวลิตอยากได้

ซึ่งบทเรียนครั้งนั้นพลเอกชวลิตคงเห็นแล้วว่า เขาประเมินทักษิณ และพลังประชาชนที่คือเพื่อไทยในยามนี้ผิดไป

วันนี้พลเอกชวลิต ที่เหลือเวลาทางการเมืองอีกไม่นาน และเจ้าตัว ก็อยู่ในสภาพ ต้องการกลับมาเป็นคนสำคัญ มีอำนาจ มีบารมี อีกครั้ง เพราะความที่ “เสพติดอำนาจ” อันเป็นสิ่งที่นักการเมืองเป็นกันทุกคน และไม่มีใครเลิกมันได้ บนเป้าหมาย

“นายกรัฐมนตรีรอบสอง”

พลเอกชวลิต ย่อมอ่านศักยภาพพรรคเพื่อไทยออกว่า ยามนี้ถ้ามีการเลือกตั้ง พรรคที่พร้อมมากที่สุด ก็คือพรรคเพื่อไทย และมีโอกาสจะกลับมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลอีกครั้ง อันหมายถึงว่า พลเอกชวลิต ก็มีสิทธิ์จะฝันถึงเก้าอี้นายกรัฐมนตรี

จึงทำให้พลเอกชวลิตไม่ต้องการให้โอกาสที่ลอยมาอยู่ตรงหน้าหลุดลอยไป และตัดสินใจพลาดเป็นครั้งที่สอง

การเล่นบทแบบแทงกั๊ก ที่พลเอกชวลิตถนัด จึงไม่เห็นในครั้งนี้ และเมื่อถูกทาบทามให้เข้าเพื่อไทย พลเอกชวลิต ก็ตอบรับทันทีแบบไม่ต้องเสียเวลาคิด

หลังจากก่อนหน้านั้นเพียงแค่วันเดียว พลเอกชวลิต เพิ่งจะมีข่าวดี เมื่อรอดพ้นความผิดในคดีหวยบนดิน บนการเดินเข้ามาจับมือ และแสดงความยินดีร่วมกันของพลเอกชวลิต กับอดีตขุนพลทรท.-พปช. ที่หน้าห้องพิจารณาคดีทั้ง นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ,นพ.สุรพงษ์ สืบวงษ์ลี, จาตุรนต์ ฉายแสง

เหมือนกับเป็นการจับมือที่บอกว่า นับแต่นี้จะกลับมาอยู่ร่วมกันที่พรรคเพื่อไทย อีกครั้ง และจะทำให้อดีตครม.ที่ต้องไปรอลุ้นคำตัดสินว่า จะติดคุกหรือไม่ติดคุก ในคดีหวยบนดิน ได้กลับมานั่งอยู่ในห้องเดียวกันอีกครั้ง ไม่ใช่ห้องพิจารณาคดีในศาล แต่เป็น

”ห้องประชุมแกนนำพรรคเพื่อไทย” และ”ห้องประชุมครม.ในทำเนียบรัฐบาล” ตามลำดับด้วยฝีมือของพลเอกชวลิต คนนี้

เพียงแต่กว่าจะไปถึงเป้าหมายนั้น พลเอกชวลิต ในสังกัดพรรคเพื่อไทย วันนี้ ซึ่งในทางการเมืองก็ไม่ต่างอะไรกับ

“โครงกระดูกอันเก่า วางในที่ตั้งใหม่”

จะทำให้การกลับมาเดินบนถนนการเมืองอีกครั้ง อันเชื่อได้ว่า นี่คือครั้งสุดท้ายแล้ว หลังจากเดินมาแล้วหลายแสนกิโลเมตร ภายใต้จุดยืนที่ประกาศเสียสวยหรูว่า ต้องการสร้างความสมานฉันท์ของคนในชาติ พลเอกชวลิต จะต้องพิสูจน์ตัวเองให้ได้ก่อนกับข้อเคลือบแคลงสงสัยของสังคมว่าเมื่อ

“จอมวางแผน”อย่างเขากำลังคิดอะไรอยู่ ต่อชาติบ้านเมือง ถึงได้ยอมเป็นเบี้ยล่างให้ทักษิณ เพียงเพื่อแลกกับอำนาจที่อยู่ใต้เงาของทักษิณ คนที่ครั้งหนึ่งพลเอกชวลิต เคยหันหลังให้

และพลเอกชวลิต ต้องตอบให้ได้ว่า การขอให้สังคมอโหสิกรรมให้แก่กันอย่างที่พลเอกชวลิตต้องการ หมายถึงการ “ไม่ให้ทักษิณต้องรับโทษ” ใช่หรือไม่ ถ้าแบบนี้รับรองได้ว่า ไม่มีใครยอมแน่นอน

หากตอบไม่ได้ เคลียร์ข้อสงสัยไม่ผ่าน ก็มีหวังบิ๊กจิ๋ว แทนที่จะกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ อาจต้องเดินคอตกกลับบ้านอย่างหมดสภาพ เหมือนสมัคร สุนทรเวช ก็เป็นได้
กำลังโหลดความคิดเห็น