“เพื่อแม้ว” ขนแกนนำพรรคลงพื้นที่ขอนแก่น สัมมนา “ล้างหนี้ประเทศ สร้างรายได้ประชาชน” ต่างยินดี “บิ๊กจิ๋ว” ร่วมทีม คุยจะทำอีสานเขียว ด้าน “ปานปรีย์” ชี้ปฏิวัติ 3 ปีไม่มีอะไรที่ดีขึ้น ชาวบ้านเข้าไม่ถึงแหล่งทุน เสนอเปลี่ยนหนี้นอกระบบเป็นหนี้ในระบบ พักหนี้ไม่เกิน 5 แสนบาท ฟุ้งเอารายได้ในอนาคตมากู้เงินลงทุนในปัจจุบัน เชื่อ “แม้ว” ขนเพื่อนดูไบลงทุนในไทยทำเศรษฐกิจโต 6% ขณะที่ “ปลอดประสพ” จวกเด็ก 3 คนทำประเทศพัง
วันนี้ (3 ก.ย.) ที่โรงแรมเจริญธานี จ.ขอนแก่น เมื่อเวลา 09.00 น. พรรคเพื่อไทยจัดสัมมนา “ล้างหนี้ประเทศ สร้างรายได้ประชาชน” โดยมีแกนนำพรรคและส.ส.ภาคอีสานเข้าร่วมการสัมมนาอย่างคึกคัก อาทิ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ ส.ส.สัดส่วน นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ส.ส.ขอนแก่น และว่าที่ ร.ต.พงษ์พันธ์ สุนทรชัย ส.ส.หนองคาย นอกจานี้ยังมีนักธุรกิจและชาวบ้านเข้าร่วมฟังการสัมมนาด้วย
นายยงยุทธกล่าวเปิดการสัมมนาว่า วันนี้ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี มาอยู่กับเราแล้ว ซึ่งท่านบอกกับตนว่าเคยทำอีสานเขียวหมดแล้ว ต่อไปนี้จะทำอีสานให้แดงทั้งอีสาน ภาคอีสานนั้นเราจะไม่สรรหา แต่จะรักษาความนิยมในพรรคไทยรักไทย พลังประชาชน และเพื่อไทยเอาไว้ เราไม่ต้องแสวงหาอีกแล้ว การแสวงหาต้องใช้เวลามาก ไม่มีประโยชน์ พรรคจะทุ่มเทเวลารักษาความนิยมเอาไว้ การแสวงหาเป็นเรื่องของพรรคอื่น พรรคเราจะรักษาความเชื่อมั่นที่มีอยู่เดิมให้อยู่ตลอดไปเท่านั้น พรรคเราจะเป็นรัฐบาล และ พ.ต.ท.ทักษิณจะมาเป็นนายกรัฐมนตรีให้เรา
ด้าน นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวช่วงหนึ่งว่า หลังจากการปฎิวัติผ่านมา 3 ปี ไม่ได้ทำให้ชีวิตคนอีสานดีขึ้นและเชื่อว่าภาคอื่นๆก็เช่นกัน จากการลงพื้นที่รับฟังปัญหาจากประชาชนพบว่าปัญหาใหญ่ของประเทศ คือ เรื่องเศรษฐกิจ ปากท้อง มีปัญหา 2 ระดับคือปัญหาระดับประเทศที่กำลังประสบจากการบริหารงานของรัฐบาล และ ปัญหาหนี้สินครัวเรือนของประชาชนโดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ถือเป็นภาคที่มีความสำคัญ แต่สัดส่วนความยากจนสูงกว่าภาคอื่น แม้หลายรัฐบาลจะมีนโยบายในการแก้ไขปัญหา มีนโยบาย แต่ไม่มีการปฏิบัติ จึงไม่เกิดผล ดังนั้นพรรคเห็นว่าควรจะเริ่มต้นจากให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมโดยตรงเพื่อนำไปสู่นโยบายต่อไป
นายปานปรีย์กล่าวอีกว่า ปัญหาที่ประชาชนประสบคือราคาสินค้าเกษตร โดยเฉพาะข้าว มันสำปะหลัง อ้อย และยางพารา ส่วนใหญ่มีปัญหาต้นทุนการผลิต ราคาปุ๋ย น้ำมันแพง และค่าขนส่งที่สูงขึ้น รวมทั้งผลผลิตต่อไร่ต่ำ ส่วนหนี้ภาคประชาชนพบปัญหาชาวบ้านเข้าไม่ถึงแหล่งการเงินของภาครัฐ การเซ็นสัญญากระดาษเปล่า แล้วยังมีอัตราดอกเบี้ยสูงร้อยละ 2 ต่อวัน จนมีแก๊งค์หมวกกันน็อคไปตามทวงหนี้ ขณะนี้มีข้อมูลกรมตรวจสอบบัญชีสหกรณ์ พบว่ามีสมาชิกเป็นหนี้ในระบบ ร้อยละ 67 และหนี้นอกระบบ 33 ซึ่งบุคคลที่มีหนี้ส่วนใหญ่จะต้องผ่อนชำระ 8,280.80 บาทต่อเดือน แบ่งชำระหนี้ในระบบ 7,612.52 บาท และนอกระบบ 3,591,64 บาท จึงอยากให้ภาครัฐช่วยเหลือดูแลในเรื่องของการลดต้นทุนการผลิต ให้ความรู้ทักษะในการผลิต มีการลงทะเบียนเกษตรกร และเข้าถึงแหล่งเงินทุน เพื่อให้มีศักยภาพในการแข่งขันกับภูมิภาคอื่นๆ ได้ มีกองทุนเกษตรกร โดยในอีสานจะต้องมีการสร้างแหล่งน้ำและสร้างรายได้ รวมทั้งขอให้ภาครัฐดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน รวมถึงดูแลเรื่องปัญหาหนี้สินทั้งในและนอกระบบ ปัญหาหนี้สินถือเป็นปัญหาใหญ่ของคนอีสาน เรารู้ปัญหาทุกอย่างและพร้อมเข้ามาแก้ไข หากมีการวางแผนที่ดีจะนำไปสู่การปฎิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งพรรคจะนำไปต่อยอดต่อไป
นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง อภิปรายช่วงหนึ่งว่า เรื่องหนี้สินทั้งในระบบและนอกระบบนั้น ในส่วนของหนี้นอกระบบเราจะนำมาลงทะเบียนใหม่ โดยจะช่วยประนอมหนี้ แล้วให้นักกฎหมายเข้าไปช่วยดูในส่วนของหนี้ที่เกิดจาการเป็นหนี้โดยไม่เป็นธรรม จากนั้นจะเปลี่ยนหนี้นอกระบบนั้นให้กลายเป็นหนี้ในระบบ แล้วใช้ธนาคารของรัฐเข้าไปช่วยดูแล สำหรับหนี้ในระบบนั้นจะพักหนี้ให้กับคนที่เป็นหนี้ไม่เกิน 5 แสนบาทเป็นระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งรัฐบาลจะจ่ายดอกเบี้ยให้แทน จากนั้นจะเพิ่มรายได้ให้ประชาชน โดยมีหน่วยงานของรัฐเข้าไปดูแลว่าประชาชนผลิตอะไร พอกินหรือไม่ แล้วจะมีกองทุนร่วมทุนขึ้นในทุกจังหวัด เพื่อมาช่วยประชาชนไม่ให้ต้องไปกู้เงินนอกระบบ รวมไปถึงดูแลค่าเงินบาทให้มีความเหมาะสมด้วย
นายสุชาติกล่าวอีกว่า เราจะแปลงหนี้เป็นทุน โดยหนี้เอกชนเราจะแปลงให้เป็นหนี้ของรัฐแล้วเปลี่ยนหนี้นั้นให้กลายเป็นทุน ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการฟื้นตัวขึ้นมาได้ นอกจากนี้ยังจะมีโครงการที่เอารายได้ที่จะได้ในอนาคตมากู้เงินเพื่อไปลงทุนในปัจจุบันได้ โดยจะทำเป็นสมาร์ทการ์ดขึ้นซึ่งป็นบัตรที่รัฐบาลรับประกันให้ว่าสามารถนำไปซื้อของต่างๆ เช่น ปุ๋ย เพื่อนำมาลงทุนได้ และในจำนวนนี้จะเผื่อเอาไว้ 10 เปอร์เซ็นต์ด้วยว่า สำหรับเอาไว้ให้ซื้อของกินของใช้ได้ด้วย ทั้งนี้ เราจะแนะนำในเรื่องของการสร้างมาตรฐานการประกอบการกิจการให้ด้วย จากนั้นจะนำเข้าตลาดหลักทรัพย์ ทำให้ทุนกลายเป็นเรื่องที่หาได้ไม่ยาก จะออกเป็นหุ้นกู้ก็ได้จะได้ไม่ต้องไปกู้เงินจากธนาคาร ซึ่งจะทำให้ภายในเวลาไม่นาน หนี้นอกระบบก็จะหายไป
“พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เวลานี้เป็นความหวังเดียวที่จะฟื้นฟูประเทศและเศรษฐกิจได้ เลือกตั้งใหม่พรรคเพื่อไทยได้ส.ส.มา เกินครึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณก็จะเอาเพื่อนๆที่ดูไบมา 2-3 คน การลงทุนโดยตรงก็จะมาอย่างมากมายเพราะเขาจะเชื่อมั่นเรา เศรษฐกิจก็จะเติบโตมากขึ้น ทำให้เศรษฐกิจกลับมาโต 6 เปอร์เซ็นต์ จากที่วันนี้ติดลบอยู่ 6 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นสิ่งต่างๆ จะกลับไปเหมือนต้นปี 2544” นายสุชาติ กล่าว
ขณะที่ นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า รัฐบาลอ้างว่าเศรษฐกิจโลกตกทำให้เศรษฐกิจเราตกด้วย ต้องบอกว่ามันไม่ใช่ แต่เป็นเพราะเราปล่อยให้เด็ก 2 คน ตอนนี้เป็น 3 คนแล้ว เข้ามาบริหารแต่บริหารไม่เป็น แล้วประเทศจะไม่เจ๊งได้อย่างไร เห็นได้จากรายได้การเกษตรที่ลดลง การบริโภคสินค้าการเกษตรลดลง ทำให้การขยายตัวของเศรษฐกิจลดลง ราคาสินค้าการเกษตรตกต่ำกันถ้วนหน้า ทั้งมันสัมปะหลัง ข้าวโพด ข้าวเจ้า รวมทั้งรายได้จากการค้าตามแนวชายแดนที่ลดลงเพราะรัฐบาลไม่สนใจแก้ไข สนใจแต่การกู้เงิน กู้มาใช้มากิน การจะแก้ไขปัญหาความยากจนนั้นต้องลดรายจ่ายเพิ่มรายได้อย่างจริงจัง เป็นรูปธรรม ไม่ใช่ปาฐกถาไปทั่ว
นายปลอดประสพกล่าวด้วยว่า ปัญหาด้านการเกษตรของพื้นที่อีสานคือเรื่องน้ำ ต้องเพิ่มน้ำเพิ่มพื้นที่การชลประทาน สมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช มีแนวคิดและศึกษาไว้แล้ว ถ้าจะเพิ่มระบบชลประทานต้องเพิ่มน้ำต้นทุน ซึ่งแหล่งที่มาคือแม่น้ำโขงจากประเทศลาว ผันน้ำจากเขื่อนน้ำงึมซึ่งจะได้น้ำมาใช้ครอบคลุมพื้นที่อีสาน ใช้งบ 1.5 หมื่นล้านบาทดีกว่าโครงการไทยเข้มแข็งเสียอีก และโครงการนี้ไม่เกิน 2-3 ปีก็เสร็จ น้ำจะเข้ามาช่วยให้การเกษตรดีขึ้นและถ้าพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลเราจะเพิ่มทุนให้เกษตรกรมีเงินไปลงทุน จะพัฒนากองทุนหมู่บ้านไปสู่ธนาคารชุมชน มีสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแก่พี่น้องเกษตรกร ธนาคารเพื่อการเกษตรฯ ที่มีก็อยู่กับกระทรวงการคลังไม่ได้ช่วยเกษตรกรอย่างแท้จริง ประชุมบอร์ดเมื่อไหร่ก็มีแต่เรื่องทำกำไร ทั้งๆที่การตั้งธกส.ขึ้นมานั้นก็เพื่อช่วยเกษตร ดังนั้นจะต้องปฏิรูป ธ.ก.ส.เปลี่ยนตั้งแต่ประธานยันกรรมการ
“เราคิดจะต่อยอดโครงการ ส.ป.ก.ให้มีธนาคารที่ดิน ถ้าคนรุ่นพ่อเป็นเกษตรกรแล้วคนรุ่นลูกไม่อยากทำก็นำที่ดินเข้าธนาคาร ต่อไปใครอยากจะกลับมาทำก็ไปเอาที่ดินมาทำกินได้ นี่เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายท่านทักษิณ คือแปลงสินทรัพย์เป็นทุน” นายปลอดประสพ กล่าว
วันนี้ (3 ก.ย.) ที่โรงแรมเจริญธานี จ.ขอนแก่น เมื่อเวลา 09.00 น. พรรคเพื่อไทยจัดสัมมนา “ล้างหนี้ประเทศ สร้างรายได้ประชาชน” โดยมีแกนนำพรรคและส.ส.ภาคอีสานเข้าร่วมการสัมมนาอย่างคึกคัก อาทิ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ ส.ส.สัดส่วน นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ส.ส.ขอนแก่น และว่าที่ ร.ต.พงษ์พันธ์ สุนทรชัย ส.ส.หนองคาย นอกจานี้ยังมีนักธุรกิจและชาวบ้านเข้าร่วมฟังการสัมมนาด้วย
นายยงยุทธกล่าวเปิดการสัมมนาว่า วันนี้ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี มาอยู่กับเราแล้ว ซึ่งท่านบอกกับตนว่าเคยทำอีสานเขียวหมดแล้ว ต่อไปนี้จะทำอีสานให้แดงทั้งอีสาน ภาคอีสานนั้นเราจะไม่สรรหา แต่จะรักษาความนิยมในพรรคไทยรักไทย พลังประชาชน และเพื่อไทยเอาไว้ เราไม่ต้องแสวงหาอีกแล้ว การแสวงหาต้องใช้เวลามาก ไม่มีประโยชน์ พรรคจะทุ่มเทเวลารักษาความนิยมเอาไว้ การแสวงหาเป็นเรื่องของพรรคอื่น พรรคเราจะรักษาความเชื่อมั่นที่มีอยู่เดิมให้อยู่ตลอดไปเท่านั้น พรรคเราจะเป็นรัฐบาล และ พ.ต.ท.ทักษิณจะมาเป็นนายกรัฐมนตรีให้เรา
ด้าน นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวช่วงหนึ่งว่า หลังจากการปฎิวัติผ่านมา 3 ปี ไม่ได้ทำให้ชีวิตคนอีสานดีขึ้นและเชื่อว่าภาคอื่นๆก็เช่นกัน จากการลงพื้นที่รับฟังปัญหาจากประชาชนพบว่าปัญหาใหญ่ของประเทศ คือ เรื่องเศรษฐกิจ ปากท้อง มีปัญหา 2 ระดับคือปัญหาระดับประเทศที่กำลังประสบจากการบริหารงานของรัฐบาล และ ปัญหาหนี้สินครัวเรือนของประชาชนโดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ถือเป็นภาคที่มีความสำคัญ แต่สัดส่วนความยากจนสูงกว่าภาคอื่น แม้หลายรัฐบาลจะมีนโยบายในการแก้ไขปัญหา มีนโยบาย แต่ไม่มีการปฏิบัติ จึงไม่เกิดผล ดังนั้นพรรคเห็นว่าควรจะเริ่มต้นจากให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมโดยตรงเพื่อนำไปสู่นโยบายต่อไป
นายปานปรีย์กล่าวอีกว่า ปัญหาที่ประชาชนประสบคือราคาสินค้าเกษตร โดยเฉพาะข้าว มันสำปะหลัง อ้อย และยางพารา ส่วนใหญ่มีปัญหาต้นทุนการผลิต ราคาปุ๋ย น้ำมันแพง และค่าขนส่งที่สูงขึ้น รวมทั้งผลผลิตต่อไร่ต่ำ ส่วนหนี้ภาคประชาชนพบปัญหาชาวบ้านเข้าไม่ถึงแหล่งการเงินของภาครัฐ การเซ็นสัญญากระดาษเปล่า แล้วยังมีอัตราดอกเบี้ยสูงร้อยละ 2 ต่อวัน จนมีแก๊งค์หมวกกันน็อคไปตามทวงหนี้ ขณะนี้มีข้อมูลกรมตรวจสอบบัญชีสหกรณ์ พบว่ามีสมาชิกเป็นหนี้ในระบบ ร้อยละ 67 และหนี้นอกระบบ 33 ซึ่งบุคคลที่มีหนี้ส่วนใหญ่จะต้องผ่อนชำระ 8,280.80 บาทต่อเดือน แบ่งชำระหนี้ในระบบ 7,612.52 บาท และนอกระบบ 3,591,64 บาท จึงอยากให้ภาครัฐช่วยเหลือดูแลในเรื่องของการลดต้นทุนการผลิต ให้ความรู้ทักษะในการผลิต มีการลงทะเบียนเกษตรกร และเข้าถึงแหล่งเงินทุน เพื่อให้มีศักยภาพในการแข่งขันกับภูมิภาคอื่นๆ ได้ มีกองทุนเกษตรกร โดยในอีสานจะต้องมีการสร้างแหล่งน้ำและสร้างรายได้ รวมทั้งขอให้ภาครัฐดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน รวมถึงดูแลเรื่องปัญหาหนี้สินทั้งในและนอกระบบ ปัญหาหนี้สินถือเป็นปัญหาใหญ่ของคนอีสาน เรารู้ปัญหาทุกอย่างและพร้อมเข้ามาแก้ไข หากมีการวางแผนที่ดีจะนำไปสู่การปฎิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งพรรคจะนำไปต่อยอดต่อไป
นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง อภิปรายช่วงหนึ่งว่า เรื่องหนี้สินทั้งในระบบและนอกระบบนั้น ในส่วนของหนี้นอกระบบเราจะนำมาลงทะเบียนใหม่ โดยจะช่วยประนอมหนี้ แล้วให้นักกฎหมายเข้าไปช่วยดูในส่วนของหนี้ที่เกิดจาการเป็นหนี้โดยไม่เป็นธรรม จากนั้นจะเปลี่ยนหนี้นอกระบบนั้นให้กลายเป็นหนี้ในระบบ แล้วใช้ธนาคารของรัฐเข้าไปช่วยดูแล สำหรับหนี้ในระบบนั้นจะพักหนี้ให้กับคนที่เป็นหนี้ไม่เกิน 5 แสนบาทเป็นระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งรัฐบาลจะจ่ายดอกเบี้ยให้แทน จากนั้นจะเพิ่มรายได้ให้ประชาชน โดยมีหน่วยงานของรัฐเข้าไปดูแลว่าประชาชนผลิตอะไร พอกินหรือไม่ แล้วจะมีกองทุนร่วมทุนขึ้นในทุกจังหวัด เพื่อมาช่วยประชาชนไม่ให้ต้องไปกู้เงินนอกระบบ รวมไปถึงดูแลค่าเงินบาทให้มีความเหมาะสมด้วย
นายสุชาติกล่าวอีกว่า เราจะแปลงหนี้เป็นทุน โดยหนี้เอกชนเราจะแปลงให้เป็นหนี้ของรัฐแล้วเปลี่ยนหนี้นั้นให้กลายเป็นทุน ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการฟื้นตัวขึ้นมาได้ นอกจากนี้ยังจะมีโครงการที่เอารายได้ที่จะได้ในอนาคตมากู้เงินเพื่อไปลงทุนในปัจจุบันได้ โดยจะทำเป็นสมาร์ทการ์ดขึ้นซึ่งป็นบัตรที่รัฐบาลรับประกันให้ว่าสามารถนำไปซื้อของต่างๆ เช่น ปุ๋ย เพื่อนำมาลงทุนได้ และในจำนวนนี้จะเผื่อเอาไว้ 10 เปอร์เซ็นต์ด้วยว่า สำหรับเอาไว้ให้ซื้อของกินของใช้ได้ด้วย ทั้งนี้ เราจะแนะนำในเรื่องของการสร้างมาตรฐานการประกอบการกิจการให้ด้วย จากนั้นจะนำเข้าตลาดหลักทรัพย์ ทำให้ทุนกลายเป็นเรื่องที่หาได้ไม่ยาก จะออกเป็นหุ้นกู้ก็ได้จะได้ไม่ต้องไปกู้เงินจากธนาคาร ซึ่งจะทำให้ภายในเวลาไม่นาน หนี้นอกระบบก็จะหายไป
“พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เวลานี้เป็นความหวังเดียวที่จะฟื้นฟูประเทศและเศรษฐกิจได้ เลือกตั้งใหม่พรรคเพื่อไทยได้ส.ส.มา เกินครึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณก็จะเอาเพื่อนๆที่ดูไบมา 2-3 คน การลงทุนโดยตรงก็จะมาอย่างมากมายเพราะเขาจะเชื่อมั่นเรา เศรษฐกิจก็จะเติบโตมากขึ้น ทำให้เศรษฐกิจกลับมาโต 6 เปอร์เซ็นต์ จากที่วันนี้ติดลบอยู่ 6 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นสิ่งต่างๆ จะกลับไปเหมือนต้นปี 2544” นายสุชาติ กล่าว
ขณะที่ นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า รัฐบาลอ้างว่าเศรษฐกิจโลกตกทำให้เศรษฐกิจเราตกด้วย ต้องบอกว่ามันไม่ใช่ แต่เป็นเพราะเราปล่อยให้เด็ก 2 คน ตอนนี้เป็น 3 คนแล้ว เข้ามาบริหารแต่บริหารไม่เป็น แล้วประเทศจะไม่เจ๊งได้อย่างไร เห็นได้จากรายได้การเกษตรที่ลดลง การบริโภคสินค้าการเกษตรลดลง ทำให้การขยายตัวของเศรษฐกิจลดลง ราคาสินค้าการเกษตรตกต่ำกันถ้วนหน้า ทั้งมันสัมปะหลัง ข้าวโพด ข้าวเจ้า รวมทั้งรายได้จากการค้าตามแนวชายแดนที่ลดลงเพราะรัฐบาลไม่สนใจแก้ไข สนใจแต่การกู้เงิน กู้มาใช้มากิน การจะแก้ไขปัญหาความยากจนนั้นต้องลดรายจ่ายเพิ่มรายได้อย่างจริงจัง เป็นรูปธรรม ไม่ใช่ปาฐกถาไปทั่ว
นายปลอดประสพกล่าวด้วยว่า ปัญหาด้านการเกษตรของพื้นที่อีสานคือเรื่องน้ำ ต้องเพิ่มน้ำเพิ่มพื้นที่การชลประทาน สมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช มีแนวคิดและศึกษาไว้แล้ว ถ้าจะเพิ่มระบบชลประทานต้องเพิ่มน้ำต้นทุน ซึ่งแหล่งที่มาคือแม่น้ำโขงจากประเทศลาว ผันน้ำจากเขื่อนน้ำงึมซึ่งจะได้น้ำมาใช้ครอบคลุมพื้นที่อีสาน ใช้งบ 1.5 หมื่นล้านบาทดีกว่าโครงการไทยเข้มแข็งเสียอีก และโครงการนี้ไม่เกิน 2-3 ปีก็เสร็จ น้ำจะเข้ามาช่วยให้การเกษตรดีขึ้นและถ้าพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลเราจะเพิ่มทุนให้เกษตรกรมีเงินไปลงทุน จะพัฒนากองทุนหมู่บ้านไปสู่ธนาคารชุมชน มีสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแก่พี่น้องเกษตรกร ธนาคารเพื่อการเกษตรฯ ที่มีก็อยู่กับกระทรวงการคลังไม่ได้ช่วยเกษตรกรอย่างแท้จริง ประชุมบอร์ดเมื่อไหร่ก็มีแต่เรื่องทำกำไร ทั้งๆที่การตั้งธกส.ขึ้นมานั้นก็เพื่อช่วยเกษตร ดังนั้นจะต้องปฏิรูป ธ.ก.ส.เปลี่ยนตั้งแต่ประธานยันกรรมการ
“เราคิดจะต่อยอดโครงการ ส.ป.ก.ให้มีธนาคารที่ดิน ถ้าคนรุ่นพ่อเป็นเกษตรกรแล้วคนรุ่นลูกไม่อยากทำก็นำที่ดินเข้าธนาคาร ต่อไปใครอยากจะกลับมาทำก็ไปเอาที่ดินมาทำกินได้ นี่เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายท่านทักษิณ คือแปลงสินทรัพย์เป็นทุน” นายปลอดประสพ กล่าว