xs
xsm
sm
md
lg

ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารตอกย้ำ“คนขายชาติ”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นพดล ปัทมะ
"ผ่าประเด็นร้อน"

ในที่สุดคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ก็ได้มีมติเมื่อวันที่ 29 กันยายน ชี้มูลความผิด สมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี และ นพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กรณีออกมติคณะรัฐมนตรี รับรองแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา เพื่อสนับสนุนให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก มิหนำซ้ำยังไปยอมรับแผนที่แนบท้ายในส่วนที่เป็นพื้นที่โดยรอบปราสาท ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ไทยเคยสงวนสิทธิ์เอาไว้ ตามแนวสันปันน้ำมาในอดีต ทำให้มีผลกระทบต่อแนวอาณาเขตของประเทศตามมา

ซึ่งความผิดของคนทั้งคู่ตามมาตรา 157 ฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบต้องถูกดำเนินคดีอาญา มีโทษติดคุก ติดตะราง

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาล สมัคร สุนทรเวช ซึ่งเป็น “นอมินี” ของระบอบทักษิณ ได้ดำเนินการในลักษณะที่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ไม่ได้ยึดถือเอาผลประโยชน์ของชาติแต่อย่างใด ไม่สนใจว่าประเทศชาติจะต้องสูญเสียดินแดน และอธิปไตย และไม่ยอมฟังเสียงทักท้วงใดๆ เป็นลักษณะพฤติกรรมของคนขายชาติอย่างแท้จริง

ที่ผ่านมาแทนที่คนพวกนี้จะยอมสำนึกผิด กลายเป็นตรงกันข้าม ออกมาโต้แย้งอ้างข้อมูลจากดำเป็นขาว ผิดเป็นถูก เพื่อให้ตัวเองรอดพ้นจากมลทินอยู่ตลอดเวลา

นอกเหนือจากนี้สิ่งที่น่าเศร้าก็คือ ในคำวินิจฉัยของ ป.ป.ช. ยังมีการระบุถึงหลักฐานว่า การยินยอมสนับสนุนการขึ้นทะเบียนประสาทพระวิหารของกัมพูชาดังกล่าว ยังกระทำเพื่อหวังผลทางการเมืองช่วยเหลือให้ “ฮุนเซน” ชนะการเลือกตั้งได้อย่างเด็ดขาดมากขึ้น

เสมือนหนึ่งว่า ต้องการเอาใจเพื่อหวังผลบางอย่างตามมา เข้าลักษณะ “ขายชาติ” สองต่อ

อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจากพฤติกรรมในอดีตสำหรับ สมัคร สุนทรเวช ไม่น่าจะไปมีผลประโยชน์ทับซ้อนโดยตรงในกัมพูชา แต่ในฐานะที่เป็น นอมินีของระบอบทักษิณ และเพื่อแลกกับเก้าอี้นายกรัฐมนตรี มันก็น่าจะมีแรงจูงใจกระทำการในลักษณะดังกล่าว

หากยังจำกันได้ กรณีเรื่องเขตแดนพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลในอ่าวไทย ที่มีข้อครหาในเรื่องการเข้าไปลงทุนทำธุรกิจด้านพลังงาน รวมไปถึงการเช่าเกาะกง เป็นเวลา 99 ปี ของ ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งสังคมรับรู้ข่าวดังกล่าวเป็นอย่างดี

ประกอบกับความสัมพันธ์สนิทสนมส่วนตัวกับนายกรัฐมนตรีฮุนเซน ของกัมพูชา ทำให้ข่าวคราวในเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ความไม่ชอบมาพากล เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ในยุครัฐบาล ทักษิณ มาจนถึงรัฐบาล สมัคร และ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ในที่สุด

ดังนั้น เมื่อพิจารณาตามลำดับแล้ว การสนับสนุนให้กัมพูชา ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเพียงฝ่ายเดียว แล้วแถมพื้นที่โดยรอบให้อีก 4.6 ตารางกิโลกเมตรเนื้อที่ 3 พันไร่ เพื่อแลกกับผลประโยชน์ทางธุรกิจด้านพลังงานในพื้นที่ทับซ้อนในอ่าวไทย และการเช่าเกาะกงมันก็เป็นเรื่องเดียวกันนั่นเอง

และยังเป็นไปได้อีกว่า การที่ ฮุนเซน บังอาจออกมาขย่มไทยในช่วงที่ ป.ป.ช.กำลังชี้มูลความผิดกับคนของ ทักษิณ พอดี ก็น่าจะเป็นการรับสัญญาณบางอย่างจากเพื่อนร่วมผลประโยชน์หรือไม่

ขณะเดียวกัน การที่ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดออกมาเช่นนี้ ก็ย่อมถือว่าเป็นการคาดเดาได้อยู่แล้ว เพราะก่อนหน้านี้ ทั้ง ศาลปกครอง และศาลรัฐธรรมนูญ ก็ได้พิพากษานำร่องไปก่อนแล้ว เพียงแต่ว่ามีข้อสังเกตอยู่เพียงกรณีที่ ข้าราชการ และอดีตคณะรัฐมนตรีหลุดรอดไปได้ โดยไม่มีความผิด เนื่องจากไม่มีเจตนา และเห็นว่าเป็นเรื่องทางเทคนิก มีรายละเอียดมาก ต้องรีบอนุมัติเพราะเป็นเรื่องเร่งด่วน เป็นวาระจร ไม่มีเวลาในการพิจารณามากนัก

แต่มันก็น่าพิลึกพอสมควร เพราะหากจะอ้างว่าไม่มีเวลาในการศึกษา เป็นเรื่องทางเทคนิก แล้วทำไมขอให้เลื่อนการพิจารณาออกไปก่อน เพื่อความรอบคอบ เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน กระทบกับอธิปไตยของชาติ

ทำให้แสดงให้เห็นว่าคณะรัฐมนตรีที่เหลือเหล่านั้น เป็นแค่ “ตรายาง” เท่านั้น ไม่ได้มีความหมายอะไรเลย

อย่างไรก็ดี สำหรับความผิดของ สมัคร สุนทรเวช และ นพดล ปัทมะ ขั้นตอนต่อไป ก็นำไปสู่การดำเนินคดีอาญาตาม มาตรา 157 ในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งโทษก็ถือว่าหนักหนาเอาการ

และนี่คือโทษของคนขายชาติ ในยุคใหม่ เป็นผลแห่งกรรมที่ได้สร้างเอาไว้และจะติดตัวไปตลอด แม้ว่าจะสิ้นอายุขัยไปแล้วก็ตาม

โบราณถึงได้เตือนสติเอาไว้เสมอว่า บ้านเมืองเป็นของศักดิ์ศิทธิ์ อย่าได้คิดร้ายเป็นอันขาด !!

กำลังโหลดความคิดเห็น