“วีระ” สับโฆษกอัยการ กินปูนร้อนท้อง แฉทำงานเกี่ยวข้องกับประโยชน์แผ่นดินสุดอืด ชม ป.ป.ช.มาถูกทางตรวจสอบทรัพย์สินอัยการ แต่กม.อ่อนไป หวั่นอัยการโยกทรัพย์ เหตุตรวจสอบย้อนหลังได้แค่สองปีหลังเกษียณ ชี้รบ.ถึงทางตันแล้วคาดยุบสภาฯ เร็วๆนี้ ขณะที่ “ยะใส”ระบุความวุ่นวายในประเทศเกิดจากคนที่ไม่มีคุณธรรม จริยธรรม แขวะอัยการสูงสุดหากมีจริยธรรม คงไม่เป็นพยานที่ทำให้รัฐเสียหาย เผยคดีหวยบนดินส่อเค้าเหมือนคดีกล้ายาง มีข่าวอัยการให้ข้อมูลจำเลย
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง รายการ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย”
รายการ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ทางเอเอสทีวี-ทีวีของประชาชน ช่วงเวลา 20.30-21.30 น.วันที่ 25 กันยายน 2552 โดยมี แอ้ม สโรชา พรอุดมศักดิ์ ดำเนินรายการ ได้รับเกียรติจาก นายวีระ สมความคิด เครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน และนายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และเลขาธิการพรรคการเมืองใหม่ ร่วมพูดคุยถึงผลกระทบคดีกล้ายาง กับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
นายวีระ กล่าวถึงกรณีที่อัยการออกมาวิพากษ์วิจาร คตส. ถือเป็นการกินปูนร้อนท้อง ทั้งนี้หากย้อนดูการปฏิบัติหน้าที่ของอัยการตั้งแต่ต้น คดีพวกนี้อัยการไม่อยากทำตั้งแต่แรก มีการพยายามวิ่งเต้น พยายามทำให้คณะ คตส.ไม่ไว้วางใจกัน อย่างคดีที่ดินรัชดา อัยการไม่ได้หาหลักฐานเพิ่มเติมจากที่ยื่นฟ้องเลย ที่ศาลพิพากษายึดที่ดินรัชดา ก็เพราะตนไปเปิดประเด็นใหม่ในศาลอีก 5 ประเด็น ทำเอาอัยการ งง ไปตามๆกัน เนื่องจากไม่มั่นใจอัยการ ถ้าหากไม่เก็บหมัดเด็ดไว้บ้าง มัวแต่พึ่งอัยการ แล้วเจออัยการที่ไม่มีจิตสำนึก คุณภาพก็จะออกมาอย่างที่เห็น
นายวีระ กล่าวต่อว่าไม่สมควรอย่างยิ่งที่อัยการเอาความลับของลูกความมาเปิดเผย เพราะอัยการเป็นทนายแผนดิน มีหน้าที่ต้องรักษาผลประโยชน์แผ่นดิน แต่ดันไปเป็นพยานให้จำเลยผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดก่อให้เกิดความเสียหารต่อรัฐ ทำอย่านี้ถือว่าเป็นการกระทำที่ทุเรศที่สุด อย่างไรก็ตามต้องยอมรับความจริง ว่า อัยการ ไม่ได้ดีเด่นอะไร เป็นมนุษย์เดินดินเหมือนคนทั่ว ๆ ไป ที่ยังมีความอยากมีอยากได้อยู่
“มีขบวนการใต้น้ำ ที่อาจเตรียมหาทางปรับรัฐบาลใหม่ ตอนนี้ผู้จัดการรัฐบาลตัวจริง หลายเรื่องมีการแบ่งเค้กเรียบร้อยแล้ว ล่าสุดก็อนุมัติงบฯให้ ก.กลาโหม หมื่นกว่าล้าน และเมื่อสัปดาห์ที่แล้วก็มีข่าวเงียบ ซื้ออาวุธจากอิสราเอล พันกว่าล้าน ตรงนี้ไม่รู้จะซื้อมาทำไม ในเมื่อบอกว่าตอนนี้เขาไม่รบกันแล้ว ปัจจุบันการบริหารงานของรัฐบาลทุกสิ่งทุกอย่างมันถึงทางตัน ตนเชื่อว่าอาจมีการปรับ ครม. หรือยุบสภาในเร็วๆนี้ ซึ่งอาจเร็วถึงขั้นเป็นเดือนหน้าด้วยซ้ำ” นายวีระ กล่าว
เมื่อถามว่า ควรหรือไม่ที่จะต้องมีการตรวจสอบทรัพย์ของเจ้าหน้าที่อัยการ นายวีระ กล่าวว่าหากอัยการมั่นใจว่าปฏิบัติหน้าที่อย่างโปร่งใสแล้วล่ะก็ ไม่ต้องกลัวก็ให้เขาตรวจไปเถอะ อย่างไรก็ตามหากมีการโกงกินจริง คนระดับอัยการคงไม่โง่พอที่จะเอาเงินไปฝากไว้ในบัญชีของตัวเอง หากเอาไปไว้ในบัญชีคนอื่นผ่านไปสองปี แล้วค่อยโยกกลับคืนมาเป็นของตัวเอง ป.ป.ช. ก็ไม่สามารถตรวจสอบไม่ได้แล้ว เพราะกฎหมายของ ป.ป.ช. ยังมีช่องโหว่ ระบุให้ตรวจบัญชีย้อนหลัง หลังจากพ้นตำแหน่งไปแล้วได้เพียงสองปี
นายวีระ กล่าวว่า หากจะแก้รัฐธรรมนูญ ถามว่าใครเดือดร้อนจาก รธน. นี้ ก็เห็นจะมีแต่นักการเมืองเท่านั้นแระ ชาติและประชาชนไม่ได้เดือดร้อนอะไรเลย สิ่งที่ประชาชนอยากให้แก้ คือ ลงโทษนักการเมืองให้หนักขึ้น ตรงนี้ทำไม่ไม่แก้ ดันจะไปแก้เพื่อให้ตัวเองได้ประโยชน์ ปกปิด ป้องกันการตรวจสอบอีก ทำอย่างนี้ไม่เอาเปรียบประชาชนที่เขาเสียภาษีไปหน่อยหรือ
“พี่น้องพันธมิตรฯ ต้องรักษาความเป็นปึกแผน กลมเกลียวกันไว้ ไม่ใช่มาบั่นทอนกำลังกันเอง แล้วสักวันหนึ่งเราจะเป็นผู้ชนะ อย่าเบื่อกับสังตมเส็งเครง หากท้อก็เหมือนแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้ลงแข่งขัน อย่างไรก็ตามตนเชื่อว่า หากเข้าใจตรงกันจะฝ่าวิกฤติของชาติไปได้ อย่าไปหวังพึ่งใคร ขนาดเรื่องอธิปไตยของชาติ มีคนที่มีหน้าที่โดยตรงอยู่แล้ว เขายังไม่ทำอะไรเลย” นายวีระ กล่าว
นายสุริยะใส กล่าวถึงกรณีที่อัยการเข้าไปเป็นพยานให้จำเลย ว่า เรื่องนี้ตนไม่รู้ว่าตามกฎหมายจะเป็นความผิดหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ ที่ทำไม่ได้ คือ เรื่องของจริยธรรม เพราะเป็นการทับซ้อนกันเชิงหน้าที่ ซึ่งในกฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 255 ก็เขียนไว้ว่า ห้ามพนักงานราชการปฏิบัติหน้าที่ ที่ทำให้องค์กรหรือหน้าที่ของตนเสื่อมเสีย ส่วนที่โฆษกอัยการออกมาแถลงนั้น หากมองในภาพรวมแล้วไม่ใช่เรื่องส่วนตัว แต่เป็นในนามโฆษก เรื่องนี้ทางอัยการต้องออกมาชี้แจง ไม่อย่างนั้นจะทำให้กระทบต่อกระบวนการยุติธรรมในภาพรวม
“หากองค์กร อัยการ ตำรวจ มีปัญหา แล้วเราจะมั่นใจได้อย่างไร ว่า กระบวนการยุติธรรมในบ้านเราจะให้ความเป็นธรรมจริงๆ ส่วนประเด็นที่ถกเถียงกันว่า คำพิพากษารั่วหรือไม่ ตรงนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะหากมีข้อมูลใหม่สามารถอุทธรณ์ได้ใน 30 วัน แต่ภาพที่เห็น อัยการ กำลังไม่ทำงานโดยออกมาสวนกันไปมากับ คตส. ซึ่งตรงนี้ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องหรือไม่” นายสุริยะใส กล่าว
นายสุริยะใส กล่าวถึงคดีหวยบนดิน ว่า เป็นไปได้ที่จำเลยคดีนี้จะรับรู้ข้อมูลแล้ว เพราะมีกระแสข่าวว่าอัยการไปให้ข้อมูลฝ่ายจำเลย และจำเลยก็คงหาทางแก้ไว้แล้ว ดังนั้นไม่ต้องไปตั้งความหวังมากว่าผลการพิจารณาจะออกมาแนวทางใด ตอนนี้สิ่งแรกต้องคิดคือ จะทำให้องค์กรอัยการ ยึดโยงกับประชาชน มีการตรวจสอบ ถ่วงดุลได้อย่างไร พร้อมกับตั้งข้อสังเกตความผิดปกติต่างๆ ส่งสัญญาณอาจคาดหมายได้จะมีการยุบสภา เช่น คดีกล้ายาง น่าจะรู้กันมาก่อน และเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือร่างประชามติ ซึ่งผ่านสภาร่างเร็วมาก ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่าจะเป็นการว่างแผนให้ผู้ที่ถูกตัดสิทธ์ทางการเมือง กลับเข้าสู่การเมืองก่อนกำหนดหรือไม่
นายสุริยะใส กล่าวต่อว่ามีโอกาสยุบสภาฯ มีตลอดเวลา เพราะหากมองดูการเมืองขณะนี้จะยื้อเวลาต่อไปไม่ได้แล้ว ซึ่งต้นเหตุที่อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนขั้วการเมืองมีหลายเหตุ เช่น 1.เรื่องลอบยิงนายสนธิ ขนาดได้พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ มาทำงานรูปคดียังไมคืบ ซึ่งมันก็น่าคิดว่าใครอยู่เบื้องหลัง 2.เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ยังไม่นิ่ง และ 3.การรุกเร้าจากบ้านเลขที่ 111 ที่ถูกตัดสิทธิ์ 5 ปี เหตุที่เขารอไม่ได้ เนื่องจากคดีต่างๆกำลังก้าวสู่กระบวนการชี้ขาดจากศาล
“เชื่อว่า บ้านเรายังมีขบวนการติดสินบาทคาดสินบนเจ้าหน้าที่รัฐ หากอัยการบอกผลการตัดสินร่วงหน้าก่อน อย่างน้อยก็ทำให้จำเลยรู้ตัวว่าจะเข้าฟังคำพิพากษา หรือเลือกที่จะหนี อย่างไรก็ตามตนยังเชื่อว่ากระบวนการยุติธรรมบ้านเรายังน่าเชื่อมั่นอยู่ หากจะวินิจฉัยต้องยืนตามบรรทัดฐานคำวินิจฉัยที่ผ่านมา สิ่งที่จะผิดแปลกหลุดออกมาถึงมีก็น้อยมาก ปัญหาที่น่าคิดต่อไป คือ จะทำให้คนส่วนน้อยนั้นหมดไปได้อย่างไร”นายสุริยะใส กล่าว
นายสุริยะใส กล่าวว่ากฎหมายรัฐธรรมนูญบ้านเรา ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองตลอด วันนี้ปัญหาความวุ่นวายในประเทศไม่ได้เกิดจากระบบ แต่เป็นเรื่องบุคคล ที่ไม่มีคุณธรรม จริยธรรม และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นแค่เกมการต่อรองผลประโยชน์ ซึ่งนอกจากจะไม่นำไปสู่ความสมานฉันท์แล้ว ยังไม่ก่อประโยชน์ต่อประชาชนอีก ดังนั้นจุดยืนของพันธมิตรฯ ยังมีเป้าหมายเดิม คือ คัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หากมีการเสนอญัตติเข้าสูสภา เราก็จะยื่นถอดถอนทันที
นายสุริยะใส กล่าวถึงรัฐธรรมนูญมาตรา 237 มีความจำเป็นอย่างมาก เพราะปัญหาการเมืองไทยขณะนี้อยู่ในขั้นวิกฤติใช้ยาแรงไม่ได้ ต้องผ่าตัดอย่างเดียว มาตรานี้เราเองก็เป็นพรรคการเมืองเหมือนกัน ไม่ได้กังวลเลย และเห็นเป็นเรื่องที่จำเป็นด้วยซ้ำ เมื่อถามว่าหากมีคนที่มีเจตนาไม่หวังดีเข้ามาเป็นสมาชิก แล้วทุจริตซื้อเสียง ซึ่งถ้าถูกจับได้จะทำให้ยุบพรรค นายสุริยะใส กล่าวว่า หากพรรคระมัดระวัง ในระเบียบข้อบังคับ ใส่ใจรับผิดชอบ และเขียนข้อบังคับพรรคที่รัดกุม ก็จะไม่เกิดปัญหา
“หลายคนอาจสิ้นหวังจากการเมืองไทย ตรงนี้ทุกอย่างมีทางออกหากเราพลิกวิกฤติเป็นโอกาส ตอนนี้มีประชาชนตื่นตัวทางการเมืองจำนวนมาก หลายคนที่เคยออกมาร่วมเคลื่อนไหวจากส่วนกลาง เมื่อกลับไปต่างจังหวัด หากพบ อบต.หรือ อบจ. ทุจริต คนเหล่านี้ก็จะออกมารวมตัวเคลื่อนไหว นี้คือการเติบโตของการเมืองใหม่ หากเรามองอย่างนี้จะเห็นว่าการเมืองเราเติบโต จะทำให้เราไม่ท้อ” นายสุริยะใส กล่าว