อดีตสมาชิกบ้านเลขที่ 111+37 จัดสัมมนา 3 ปี หลังปฏิวัติ 19 ก.ย. รุมสับการทำรัฐประหารทำให้ประชาชนเสียหาย 3 ประการ เพ้อขาด “แม้ว” ประเทศชาติสูญเสียโอกาส สุมไฟรัฐบาลเร่งหาทางออกก่อนจะต้องเสียเลือดเนื้อ ด้าน “แม้ว” ละเมออยากกลับมาเป็นนายกฯ เพื่อทดแทนบุญคุณคนเสื้อแดง
วันนี้ (22 ก.ย.) ที่โรงแรมรามาการ์เด้นส์ มูลนิธิ 111 ไทยรักไทย ร่วมกับอดีตคณะกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย อดีตคณะกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทย จัดงานสัมมนาในหัวข้อ “3 ปี...หลังปฏิวัติ 19 กันยา ประชาชนเสียอะไร” โดยมีสมาชิกบ้านเลขที่ 111 อดีตกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน ส.ส.พรรคเพื่อไทย ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พรรคเพื่อไทย แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง และประชาชนให้ควมสนใจเข้าร่วมสัมมนาเป็นจำนวนมาก เช่น นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตรักษาการหัวหน้าพรรคพลังประชาชน นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย นายวีระ มุสิกพงศ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำกลุ่ม นปช. นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังวิดีโอลิงก์เข้ามาร่วมการสัมมนาด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการจัดเวทีสัมมนานั้นมีการนำป้ายขอความมาติดบริเวณด้านซ้ายและขวาของเวทีว่า “ทำลาย 6 พรรคการเมืองที่เป็นตัวแทนประชาชน 20 ล้านคน” และ “ฉุดรั้งเศรษฐกิจ ประเทศแตกแยก ไม่แก้ปัญหาปากท้องประชาชน” สำหรับเก้าอี้ผู้บรรยายในส่วนของ พ.ต.ท.ทักษิณนั้น ผู้จัดงานได้นำรูปเท่าตัวจริงสวมสูทสีเทา เสื้อเชิ้ตสีขาว ผูกเนกไทสีขาว แต่มีเครื่องหมายคำถามสีขาวอยู่บนใบหน้าสีดำมานั่งไว้ที่เก้าอี้แทน
นายยงยุทธกล่าวถึงผลเสียจากการปฏิวัติว่า การปฏิวัติ 19 ก.ย.2549 ที่ว่ากันว่ารุนแรงแล้ว แต่การปฏิวัติเงียบโดยการยุบพรรคไทยรักไทยและพรรคพลังประชาชนนั้นรุนแรงยิ่งกว่า สังหารผู้คนที่มีความรู้ความสามารถทางการเมือง 111+37 ซึ่งไม่เคยเห็นอะไรที่รุนแรงและเหี้ยมเกรียมขนาดนี้ ทำให้ประชาชนเสีย 3 ประการ คือ 1.เสียความภาคภูมิใจในความเป็นคนไทย 2.เสียความเชื่อมั่นและศรัทธาในระบบของประเทศที่เราเคยมีอยู่ และ 3.เสียความเป็นเจ้าของประเทศ เพราะประชาชนเลือกพรรคที่ได้เสียงข้างมากแต่ไม่สามารถที่จะจัดตั้งรัฐบาลได้ อย่างไรก็ตาม สักวันพรรคเพื่อไทยจะได้บริหารประเทศ พ.ต.ท.ทักษิณจะได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี นี่คือความหวังที่ทำให้คนไทยอยู่ต่อไปได้ ขอให้จำไว้ 3 คำคือ 1.ไทยรักไทย 2.พลังประชาชน และ 3.เพื่อไทย
ด้าน นายสมชาย บรรยายถึงผลเสียของการปฏิวัติว่า ตั้งแต่มีการปฏิวัติประเทศก็สูญเสียมาตลอด การปฏิวัติทำให้เกิดการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ คือ สูญเสีย พ.ต.ท.ทักษิณไป เพราะหาก พ.ต.ท.ทักษิณยังอยู่เราอาจจะไม่รู้สึกเท่าไหร่ แต่เมื่อขาด พ.ต.ท.ทักษิณไปเท่ากับเป็นการสูญเสียโอกาสของประเทศ นอกจากนี้ เราได้รัฐธรรมนูญฉบับที่เราไม่ต้องมาฉบับหนึ่ง หลายๆ เรื่องทำให้เกิดความแตกแยก ดังนั้นจึงต้องไปแก้ในจุดที่ทำให้เกิดปัญหา ถ้าไปไม่ถึงตรงนั้นก็อย่าหวังว่าบ้านเมืองจะสงบเรียบร้อย
นายสมชายกล่าวอีกว่า เมื่อเกิดรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ใหม่ๆ รัฐมนตรีหลายคนออกมาบอกว่าเพราะรัฐบาลตนทำไว้ทำให้มีหนี้สินมากมายจนต้องเข้ามาแก้ ตนยังแปลกใจว่า คนที่เป็นรัฐบาลนั้นไม่มีสิทธิ์ที่จะแก้ตัว นอกจากแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น เป็นรัฐบาลต้องมีความรับผิดชอบ ถ้าทำไม่ได้ก็ออกไปเสียแล้วตนจะมาทำให้ แต่ก็ไม่ออก ไปกู้เงินมาอีก 8 แสนล้านบาท พวกตนได้เข้ามาเป้นรัฐบาลอีกก็ต้องมาใช้หนี้ให้อีก ก็ต้องมาลำบากอีก
นายสมชายกล่าวด้วยว่า การปฏิวัตินั้นทำโดยไม่มีเหตุผล ขณะนี้ 3 ปีแล้วก็ยังหาไม่เจอว่าเขาชั่วเขาเลวตรงไหน เพราะเขามาด้วยความเห็นชอบของประชาชน และรัฐบาลนี้ก็ไม่ได้เป็นรัฐบาลเสียงข้างมากของประชาชน แต่มีการอุปถัมภ์ค้ำชู หากคนที่มาทำงานการเมืองยังคิดเรื่องของผลประโยชน์อยู่ถือว่าเป็นนักการเมืองที่ตกโลก และใช้ไม่ได้
ขณะที่ นายจาตุรนต์กล่าวในการสัมมนาว่า หลังการรัฐประหารประชาชนไม่ได้อะไรเลย และยังสร้างความเสียหายให้แก่ประเทศหลายด้าน แล้ว พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธาน คมช.จะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ แม้ท่านระบุว่าช่วงทำคิดจัดการ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีคนเดียวก็ตาม เหตุผล 4 ข้อที่ปฏิวัติมาคิดทีหลัง เป็นการปฏิวัติโดยไม่ใช้สมอง แล้วยังบอกว่าทำตามหน้าที่นั้น หน้าที่ของทหารคือปกป้องประเทศ มีหน้าที่อะไรมาล้มรัฐบาล หน้าที่นี้ใครมอบหมาย และยังได้ทำตามแผนบันได 4 ขั้น จนทำให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้เป็นนายกรัฐมนตรี และทำให้องค์กรอิสระไม่มีอยู่ต่อไป
ส่วนข้อกล่าวหาว่ารัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณทุจริตนั้น 3 ปีที่ผ่านมาไม่มีใครสามารถพิสูจน์ได้เพราะกระบวนการยุติธรรมที่ตั้งขึ้นมานั้นไม่ชอบ ระบบตรวจสอบการทุจริตล่มสลายเพราะมาจาก คมช. ก่อให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชันตามมา ดังนั้น เหตุผลปฏิวัติ 4 ข้อล้มเหลว ทำได้เพียงให้ พ.ต.ท.ทักษิณออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่ก็ยังอยู่ในหัวใจคนไทย ขณะที่เมื่อได้รัฐบาลนี้มาก็บริหารประเทศไม่ได้เพราะมีที่มาไม่ชอบ เป็นหนี้บุญคุณหลายฝ่าย และภาวะผู้นำของนายกรัฐมนตรีก็หมดไปแล้ว ทำให้การเมืองวิกฤต เปลี่ยนรัฐบาลไม่ได้ ยุบสภาเลือกตั้งใหม่พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งก็ต้องถูกยุบพรรคอีก เพราะรัฐธรรมนูญเขียนล็อคไว้ ดังนั้นจะบริหารประเทศได้ต้องรีบแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อนยุบสภาเลือกตั้งใหม่ ถ้าไม่รีบหาทางออกประเทศจะวิกฤตไปอีกนานจนเสียเลือดเสียเนื้อ
จากนั้นเวลา 15.45 น. พ.ต.ท.ทักษิณ ได้วิดีโอลิงก์เข้ามาร่วมการสัมมนา โดยกล่าวเชิญชวนให้ประชาชนร่วมกันให้กำลังพระทัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อให้ทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์โดยเร็ว จากนั้นได้กล่าวถึงผลพวงของการปฏิวัติเมื่อ 19 ก.ย.2549 ว่า สิ่งที่คนไทยได้คือ เศรษฐีใหม่ไม่กี่คนซึ่งมียศพลเอกได้รัฐธรรมนูญฉบับเผด็จการ ภาคการเมืองอ่อนแอ ได้หนี้ก้อนโต ความแตกแยกมากขึ้น กระบวนการยุติธรรมเป็น 2 มาตรฐาน และตำรวจอ่อนแอลง วันนี้กลุ่มคนเสื้อแดงนับวันมีแต่จะมากขึ้นเพราะอยากได้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ตนได้เจอนักธุรกิจเขาบอกว่ารัฐบาลนี้หากินทุกกระเบียดนิ้ว ถือเป็นสัญญาณอันตราย เหมือนว่าประชาชนไม่เอาแล้วเลยมุ่งแต่หาประโยชน์กันเพื่อเตรียมเลือกตั้ง วันนี้จะกล่าวหาอะไร กล่าวหาตนว่าเป็นมะเร็งก็ได้หมด แต่นี่ตนไม่ได้ใส่วิกนะ (พร้อมกับใช้มือดึงผมตัวเอง) นอกจากนี้ มีคนมาคุยกับตนว่า อยากจะทำเสื้อขาวตัวอักษรด้านบนสีเหลืองเขียนข้อความว่า “มึงทำอะไรก็ไม่ผิด” ส่วนด้านล่างมีตัวอักษรสีแดงเขียนว่า “กูทำอะไรก็ผิด”
พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวอีกว่า หากตนไม่ถูกปฏิวัติก็จะอยู่ครบเทอมราวปลายปี 2552 ซึ่งตั้งใจว่าจะวางมือ เลิกเล่นการเมืองในช่วงเวลานั้น โดยตั้งใจว่าในวันเกิดของตนปีนี้จะจัดงานเลี้ยงที่ทำเนียบรัฐบาลและเขียนใบลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพื่อเปิดโอกาสให้ใครคนใดคนหนึ่งในพรรคไทยรักไทยขึ้นมาแทน แต่วันนี้เมื่อโดนอย่างนี้แล้วถามว่าอยากกลับไปเป็นนายกรัฐมนตรีไหม ก็ต้องบอกว่าตนรู้จักบุญคุณคน ประชาชนและกลุ่มคนเสื้อแดงยอมเหนื่อยให้ตน ถ้าอยากให้ไปเป็นก็ต้องไป วันนี้ตนจะต้องทำให้ประชาชนคนไทยรู้ตัวว่าประเทศจะเดินไปทางไหน เขาจะได้วางแผนชีวิตของตัวเองได้ เลิกกันได้แล้วสำหรับการปฏิวัติรัฐประหาร เลิกตัดสินใจแทนประชาชนทั้งประเทศ เพราะคนเหล่านั้นที่ขึ้นมาบริหารแทนไม่ได้ฉลาดกว่าประชาชนทั้งประเทศ ไม่ต่างจากการให้ยามเข้ามาเตะผู้บริหารออกจากห้องประชุมแล้วนั่งหัวโต๊ะแทน ขอให้เคารพการตัดสินใจของประชาชน อย่าคิดแบบเก่าๆ แข่งกันทำความดีให้ประชาชนตัดสินใจเอาเอง ขณะนี้ประชาธิปไตยมาถึงทางแยกแล้ว จะถอยหลังเข้าคลองหรือจะเดินหน้าต่อไปได้ ขอให้ 3 ปีที่ผ่านมาเป็นบทเรียนราคาแพงของใครหลายคน และจะต้องเรียนให้ได้วิชา ไม่ใช่จ่ายค่าเรียนแพงแล้วยังโง่กว่าเดิม
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ในระหว่างการสัมมนานั้น เจ้าหน้าที่ของพรรคเพื่อไทยได้แจกเอกสารที่จัดทำขึ้นโดยคณะทำงานด้านวิชาการของพรรคเพื่อไทย เพื่อสรุปภาพรวมความสูญเสีย 3 ปีการปฏิวัติ 19 ก.ย. โดยมีใจความว่า ตลอดระยะเวลา 3 ปีหลังจากรัฐประหาร เศรษฐกิจไทยได้อ่อนแอมาตลอด เมื่อรัฐบาลนี้เข้ามาบริหารบ้านเมืองเป็นเวลา 9 เดือน ก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นให้ลุล่วงไปได้ การกู้เงิน 8 แสนล้านบาทมาลงทุนในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ ยิ่งซ้ำเติมในเศรษฐกิจไทยอ่อนแอมากยิ่งขึ้น เพราะควรลงทุนในช่วงเศรษฐกิจขยายตัว การสร้างหนี้สาธารณะจำนวนมาก จะมีผลสำคัญต่อความสามารถในการบริหารจัดการงบประมาณของประเทศและต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน