โฆษกประจำตัวหัวหน้า ปชป. รื้อความทรงจำ “ทักษิณ” ย้อนถามรัฐบาลใครกันแน่แทรกแซงสีกากีมากที่สุด แจงยิบ ชงตั้งญาติ-เพื่อน-พวกพ้องนั่งตำแหน่งสำคัญหวังหนุนหลังการเมือง แทรกแซงองค์กรอิสระไม่ให้ตรวจสอบรัฐ ยันนายกฯ อภิสิทธิ์ ใช้ธรรมาภิบาลฟื้นระบบคุณธรรม ตอกกลับ “นช.แม้ว” ลั่นไม่ต้องรอเวลาพิสูจน์ว่า ใครใช้ความรุนแรง วันนี้ชัดเจนแล้ว
วันนี้ (19 ก.ย.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เคลื่อนไหวผ่านการทวิสเตอร์โดยพาดพิงถึงนายกรัฐมนตรีโดยระบุว่า 1.ไม่มียุคสมัยใดที่วงการตำรวจถูกแทรกแซงจากฝ่ายการเมืองหรือตัวนายกรัฐมนตรีมากเท่านี้ ขอชี้แจงว่า เป็นการกล่าวหาที่ตรงข้ามกับข้อเท็จจริงและขอให้พ.ต.ท.ทักษิณย้อนกลับไปดูว่ายุคสมัยใดกันแน่ที่มีการแทรกแซงวงการตำรวจมากที่สุด หากจำไม่ได้จะรื้อฟื้นความทรงจำให้คือ สมัยที่พ.ต.ท.ทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีได้มีการเลือกเอาพรรคพวก ญาติพี่น้องและเพื่อนร่วมรุ่นนักเรียนนายร้อยตำรวจมารับตำแหน่งที่สำคัญเพื่อสร้างรัฐตำรวจ เช่น 1.การเอารอง ผบ.ตร. (พล.ต.ท.ธวัชชัย ภัยลี้) ออกจากตำแหน่งเพื่อแลกกับตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรี 2.การติดยศนายพลตำรวจให้กับน้องเมียตัวเอง (พล.ต.ต.พีระพงษ์ ดามาพงศ์) จากนายตำรวจยศ พ.ต.อ.ประจำโรงพยาบาลตำรวจมารับตำแหน่งผู้บังคับการในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 3.การโยกเอาเพื่อนร่วมรุ่น (พล.ต.ท.จุมพล มั่นหมาย) มาเป็น ผอ.สำนักข่าวกรองแห่งชาติ เพื่อควบคุมงานการข่าวทั้งหมดสนองงานการเมือง 4.การเอาพรรคพวกเพื่อนฝูงของตัวเองที่เป็นตำรวจไปนั่งเป็นกรรมการในองค์กรอิสระ ทั้งกรรมการป.ป.ช.(พล.ต.ท.วิเชียรโชติ สุกโชติรัตน์) และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ (พล.ต.อ.สุวรรณ สุวรรณเวโช) เพื่อแทรกแซงองค์กรอิสระจนไม่สามารถทำงานตรวจสอบถ่วงดุลกับฝ่ายบริหารได้ 5.การเอาเพื่อนรักร่วมรุ่น นรต.รุ่น 26 อย่าง พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ สังขพงศ์ รอง ผบช.ก.มานั่งเป็นผองสำนักงานกองสลากกินแบ่งรัฐบาล ซึ่งเป็นแหล่งขุมทรัพย์ที่จะใช้เป็นทุนสนอง งานการเมือง
นายเทพไทกล่าวว่า แต่การที่นายกรัฐมนตรีดำเนินการเกี่ยวกับการตั้ง ผบ.ตร.ถือเป็นการทำหน้าที่ตามกฏหมายโดยใช้หลักธรรมาภิบาลเพื่อเข้าไปแก้ไขปัญหาในสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่หมักหมม มานานแล้วให้กลับมาใช้เป็นระบบคุณธรรม โดยไม่เคยใช้ตำแหน่งหน้าที่ในลักษณะที่เอื้อประโยชน์ให้พวกพ้องเช่นในลักษณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณเคยกระทำ ซึ่งแน่นอนว่านายตำรวจในระบอบทักษิณ ซึ่งเป็นผู้ที่เสียผลประโยชน์จำเป็นต้องออกมาขัดขวาง
โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวต่อว่า ส่วนข้อกล่าวหาที่ 2 พ.ต.ท.ทักษิณระบุว่า “อีกไม่นานก็จะรู้ว่าใครกันแน่ที่โหดร้ายใช้ความรุนแรง” ซึ่งน่าจะหมายถึงเหตุการณ์ 7 ต.ค.เลือดและ 13 เม.ย.สงกรานต์เลือดนั้น ความจริงก็ไม่ต้องรอเวลาพิสูจน์ เพราะวันนี้เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า ใครกันแน่ที่ใช้ความรุนแรงกับมวลชนเพราะคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชี้มูลออกมาแล้วว่า มีบุคคลใดบ้างที่ต้องรับผิดชอบในเหตุการณ์ 7 ต.ค.เลือด หรือเหตุการณ์ 13 เม.ย.ที่คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเหตุดังกล่าวก็ไม่ปรากฏว่ารัฐบาลนี้ใช้ความรุนแรงแต่อย่างใด ตรงกันข้ามที่กลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงต่างหากที่ใช้ทุกวิถีทางที่จะสร้างเงื่อนไข สถานการณ์ความขัดแย้งให้เกิดขึ้น และมีภาพข่าวชัดเจนเป็นหลักฐานว่า พ.ต.ท.ทักษิณเองเป็นผู้ปลุกระดมม็อบโดยพูดว่า “เราจะไม่กลับบ้านมือเปล่าและถ้ามีเสียงปืนแตก ผมจะกลับมานำม็อบด้วยตัวเอง” จึงอยากถามว่า เมื่อหลักฐานทุกอย่างปรากฏชัดเจนเช่นนี้แล้ว ทำไมต้องรอเวลาว่าอีกไม่นาน ความจริงจะปรากฏ