เมื่อรุ่งสางวันที่ 11 ก.ย. เกิดเหตุคนร้ายปาระเบิดใส่บ้านเลขที่ 250 ซอยสิรินธร 2 แขวงและเขตบางพลัด กทม.ที่เข้าใจว่าเป็นบ้านพักของ
“วิชา มหาคุณ” กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
โดยปัจจุบันบ้านหลังเกิดเหตุเป็นของ นางจุฬารัตน์ อื้อพันธ์รังสี อายุ 44 ปี ซึ่งได้ซื้อต่อจาก วิชา มหาคุณ เมื่อสองเดือนที่ผ่านมา และตามข่าวบอกว่า นางจุฬารัตน์ ก็ยังไม่ได้เข้าไปพักอาศัย
เห็นได้ว่า คนร้ายชุดนี้ นอกจาก ”ชั่ว” แล้วยัง””โง่” จึงไม่รู้ว่าวิชาได้ขายบ้านหลังดังกล่าวไปแล้ว เลยเข้าใจผิด เป็นเหตุให้แผนขว้างระเบิดดังกล่าวไม่สำเร็จ ที่สันนิษฐานได้ว่า การปฏิบัติการครั้งนี้ไม่ใช่ข่มขู่ให้กลัวแน่ แต่ต้องการเอาชีวิตกันเลยทีเดียว เพราะจากการพบระเบิดที่ใช้เป็นระเบิดสังหาร
พฤติการณ์อุกอาจเช่นนี้ คาดเดาได้ไม่ยากว่า ต้องมีคนวางแผน-จ้างวาน-คนลงมือกันเป็นทอดๆ เป็นขบวนการใหญ่ แต่จะเป็นฝีมือใครกลุ่มไหน
เรา-ทีมข่าวการเมือง ยังไม่อยากสรุป รอให้เป็นการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจจะดีกว่า แต่จะหวังให้การคลี่คลายคดีจนสืบทราบไปถึงขบวนการคนชั่วเหล่านี้ โอกาสนั้นคงจะยาก
เพราะหลังจากนี้ พอไปสอบปากคำเจ้าของบ้าน-พยานที่เห็นเหตุการณ์-ตรวจพยานวัตถุในที่เกิดเหตุ พอให้เป็นข่าวว่าตำรวจได้มาตรวจที่เกิดเหตุแล้ว รับปากจะเร่งสืบสวนคดีโดยเร็วที่สุดต่อหน้าสื่อมวลชน
แต่พอผ่านไปวันเดียว ตำรวจก็ไม่สนใจจะติดตาม เหมือนกับหลายๆ คดีที่ผ่านมาในช่วงหลัง ที่มีการข่มขู่-ปาระเบิด-วางเพลิงบ้านบุคคลสำคัญ ในวงการศาล-กรรมการองค์กรอิสระจำนวนมาก
ทั้งกรณี อักขราทร จุฬารัตน์ ประธานศาลปกครองสูงสุด,จรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ,คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่าการ สตง. หรือศาลรัฐธรรมนูญที่มีการยิงระเบิดเข้าใส่ในช่วงสงกรานต์เลือด
ทุกคดีจนถึงขณะนี้ ก็ยังไม่เคยมีความคืบหน้าใดๆ
ยิ่งตอนนี้ ตำรวจระดับบิ๊กๆ ทั้งหลาย โดยเฉพาะในกองบัญชาการตำรวจนครบาล นำโดย พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโม รอง ผบช.น. ออกมาหนุนให้
ตำรวจเปิดศึกกับ ป.ป.ช.
แล้วเรื่องอะไร ตำรวจระดับลูกน้องทั้งหลาย จะไปเร่งคลี่คลายคดีให้ผู้บังคับบัญชาขุ่นเคือง ดังนั้น จึงคาดได้ว่า คดีนี้คงจับมือใครดมไม่ได้ แล้วปล่อยให้พวกลงมือได้ใจ เตรียมวางแผนข่มขู่กรรมการ ป.ป.ช.คนอื่นๆ ต่อไปอีก
ก่อนเหตุการณ์ปาระเบิดครั้งนี้ เพียงหนึ่งวัน “วิชา” ก็เพิ่งเป็น 1 ใน 8 ป.ป.ช.ที่ถูก พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ยื่นฟ้องต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ โดยอ้างเหตุในคำฟ้องว่ามีความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
เป็นการ “ฟ้องแก้เกี้ยว”
หลังถูก ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดทั้งวินัยร้ายแรงและอาญาทำให้ถูกประจานไปทั่วประเทศว่า อดีต ผบ.ตร.คนนี้เป็นผู้มีส่วนสำคัญในเหตุการณ์เข่นฆ่า-ทำร้ายประชาชนเมื่อ 7 ตุลาคม 2551
จึงทำให้เห็นรูปการณ์ได้ชัดว่า เหตุแห่งการข่มขู่คุกคามกรรมการ ป.ป.ช.ครั้งนี้ทุกฝ่ายรวมถึงแม้แต่ตัววิชา จึงตั้งสมมุติฐานว่าเป็นอื่นไม่ได้นอกจากเรื่องการลงมติคดี 7 ตุลาทมิฬ
ทีมข่าวการเมือง จึงขอประณาม ผู้อยู่เบื้องหลังในการสั่งการและกระทำการปาระเบิดครั้งนี้ ซึ่งแม้จะไม่ใช่บ้านที่อยู่อาศัยจริงของวิชา มหาคุณ แต่เป็นความเข้าใจผิดของผู้ลงมือ อันเห็นแล้วว่า คนร้ายมีเจตนาจะข่มขู่กรรมการ ป.ป.ช.
ครั้งนี้ทำงานพลาด แต่ก็ไม่แน่หากฝ่ายผู้เกี่ยวข้องกับการดูแลความสงบเรียบร้อยในบ้านเมือง เกียร์ว่าง เพิกเฉยในการให้การดูแลความปลอดภัยกับผู้ทำงานให้กับบ้านเมืองอย่างตรงไปตรงมา ก็น่ากลัวไม่น้อยที่ครั้งต่อไปจะไม่ใช่แค่การขว้างระเบิดผิดเป้าหมาย แต่อาจถึงขั้นของจริง ขึ้นมา จนเป็นเหตุให้ต้องสูญเสียชีวิตของคนดีที่ทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองไปอย่างน่าเสียดาย
โดยเฉพาะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ซึ่งมีหน้าที่ดูแลเรื่องนี้โดยตรง ถ้าจะมัวแต่เอาเวลาไปเดินเกมวิ่งล็อบบี้ในเรื่องเก้าอี้ ผบ.ตร. และมัวแต่หน้ามืดตามัวชื่นชม พัชรวาท ว่า
“เป็นคนดี”!
ทั้งที่ก็เห็นอยู่ว่า ตำรวจไทยยุคที่มี พัชรวาท เป็นผู้นำสูงสุด มีแต่ความไร้ประสิทธิภาพในการทำงาน อันเห็นได้จากช่วงสงกรานต์เลือด โดยเฉพาะการล้มประชุมอาเซียนซัมมิตที่พัทยา แถมเป็น สตช.ยุคที่มีแต่เรื่องอื้อฉาว โดยเฉพาะการ
“ซื้อขายตำแหน่ง” กันในวงการสีกากี
อันเห็นได้จากผลสรุปของคณะอนุกรรมการ ก.ตร.ที่สอบสวนเรื่องนี้ ก็สรุปออกมาแล้วว่า มีการเรียกรับผลประโยชน์ ในการแต่งตั้งโยกย้ายกันจริงใน สตช.โดยมีการระบุชื่อ พัชรวาท ที่เป็น ผบ.ตร.ต้องรับผิดชอบด้วย
แล้วแบบนี้หรือ ตำรวจดี คนดี ที่สุเทพชื่นชม
ถ้าระดับประธาน ก.ตร.บอกว่า ผบ.ตร.ที่ถูกระบุว่าต้องรับผิดชอบกรณีการซื้อขายตำแหน่งเป็นตำรวจดี คนดี
สงสัยว่า ต่อไปวงการสีกากี คนไม่ใครคิดทำงานในหน้าที่ด้วยความสุจริต เพราะวันๆ ตำรวจทั่วประเทศคิดแต่จะวางแผนว่าจะเอาตำแหน่งหน้าที่การงานไปเรียกรับผลประโยชน์ เพื่อเอาเงินไว้เป็นกระสุนดินดำในการซื้อตำแหน่งเลื่อนขั้น แบบนี้บ้านเมืองฉิบหายแน่นอน
หากสุเทพ ยังคง “อุ้ม” พวกตำรวจการเมืองกันแบบนี้ไปเรื่อยๆ ก็ระวังให้ดี คนจะพลอยคิดไปว่า สุเทพ ในฐานะประธาน ก.ตร.มี
“อะไรไม่ชอบมาพากล” ไปด้วย
เดี๋ยวจะล้างคราบไคลกันลำบาก เพราะทุกวันนี้ ภาพลักษณ์ “เทพเทือก” ในอดีตที่เอาสิทธิที่ดินเกษตรกรไปให้เศรษฐีและพวกพ้องที่ภูเก็ต ก็ยังอยู่ในความทรงจำของประชาชน หากยังไม่รีบเร่งแสดงผลงาน และทำทุกเรื่องให้อยู่ในความถูกต้อง
แบบนี้ภาพลักษณ์ “นักเลือกตั้ง”ที่ไม่เคยทำประโยชน์อะไรให้กับประเทศชาติมาเลยตลอดชีวิตการเล่นการเมืองของสุเทพหลายสิบปี ซึ่งลองให้คนนึกผลงานของสุเทพ ทั้งตอนเป็นรมช.เกษตรฯ-รมว.คมนาคม-รองนายกรัฐมนตรี เชื่อได้ว่า นึกให้ตายก็นึกไม่ออก
เพราะสุเทพทำงานไม่เป็น แถมไม่เคยทำงานอะไรให้กับส่วนรวมประเทศชาติ นี่คือความจริงที่คนในปชป.ก็รู้ แต่น้ำท่วมปากพูดไม่ได้
ไม่มีผลงานไม่พอ สุเทพยังกลับจะไปคอยขัดขวางการตรวจสอบและการทำสิ่งที่ถูกต้อง
อย่างกรณีที่ดินอัลไพน์ ซึ่งพอพรรคภูมิใจไทยโดย ชวรัตน์ ชาญวีรกุล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และรมว.มหาดไทยออกมาขวางที่ ถาวร เสนเนียม รมช.มหาดไทยและ 25 ส.ส.ปชป. ออกมาตรวจสอบเรื่องนี้
แทนที่สุเทพ ในฐานะเลขาธิการพรรคจะต้องยืนข้างลูกพรรค เพราะสมัย ปชป.เป็นฝ่ายค้าน ก็เดินหน้าตรวจสอบเรื่องนี้มาตลอด แต่สุเทพกลับไปเอาใจ ภูมิใจไทย และปกป้อง วิชัย ศรีขวัญ ปลัดมหาดไทย
เพียงเพราะเป็นคนสมุย สุราษฏร์ธานีด้วยกัน และเป็นคนที่สุเทพสั่งให้โหวตสวนนายกรัฐมนตรีในที่ประชุมก.ต.ช.ไม่เอา พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ ขึ้นเป็น ผบ.ตร.เพื่อให้หัวหน้าพรรคตัวเองถูกหักหน้า
ยิ่งเมื่อ ปชป.ถูกชวรัตน์ หัวหน้าพรรค ภท.ออกมาขู่ว่าจะเอาคืนประชาธิปัตย์ หากยังไม่ยอมยุติเรื่องอัลไพน์ แค่นี้ สุเทพ ก็เยี่ยวแทบราดกางเกง ต้องเพิ่มน้ำหนักการขวางเรื่องอัลไพน์หนักขึ้น
จนคนนึกไปว่า สุเทพอยู่ประชาธิปัตย์หรือภูมิใจไทยกันแน่ หรือว่าเป็นเพราะมีชนักติดหลัง บุญคุณ ผลประโยชน์ อะไรอยู่กับเนวิน ชิดชอบ และภูมิใจไทยหรือเปล่า ?
ดังนั้น หากสุเทพยังไม่รีบกลับตัวกลับใจ เอาเวลาที่เสียไปกับการเล่นเกมการเมือง และมัวแต่เอาโอบอุ้ม ตำรวจสีเทา กันไม่รู้จบ รวมถึงเอาใจกลุ่มแก๊งการเมืองที่จ้องจะคอยสูบเลือดงบประมาณแผ่นดิน
ถ้าหากทิ้งพฤติกรรมทั้งหมด เพื่อจะกลับมาทำงานในความรับผิดชอบเรื่องภารกิจความมั่นคง ความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ให้เต็มที่ ตามภารกิจหน้าที่ของรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงไม่ได้
ก็สมควรที่สุเทพจะต้องลาออกไปโดยเร็ว