มติ ป.ป.ช.เอาผิด"ผู้บงการ" สั่งฆ่า-ทำร้ายประชาชน ในเหตุการณ์ 7 ตุลาฯทมิฬ ได้ทำให้เกิดแรงสะเทือนกับ ผู้ถูกเอาผิดทั้งทางการเมือง และกับชีวิตส่วนตัว
ในความหวาดหวั่นต่อการดำเนินคดี หลังจากนี้ว่าจะนำไปสู่การต้องรับผิดในบั้นปลายชีวิตของ
2 อดีตนายกรัฐมนตรี
2 บิ๊กตำรวจ ที่กำลังจะเกษียณอายุราชการในสิ้นเดือนนี้
เริ่มที่ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่หากดูตามสำนวนการสอบสวนของ ป.ป.ช. ที่จะเป็นต้นร่างคำฟ้องของอัยการในชั้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ถือว่าหนักหนายิ่งนัก กับทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
ทำให้สมชาย ที่เป็นอดีตผู้พิพากษา ย่อมรู้ดีว่าการต่อสู้คดีของเขาหนักหน่วงแน่นอน ไม่นับรวมกับชนักติดหลังทางสังคมที่ต้องตราหน้าว่าเป็น
อดีตนายกฯ มือเปื้อนเลือดไปตลอดชีวิต
หลังจาก ป.ป.ช.เอาผิด จึงทำให้เห็นอาการร้อนรนผิดปกติของสมชาย ถึงขั้น เปิดแถลงข่าวสองวันติดกันในเวลาห่างกันไม่ถึง 24 ชั่วโมง หลัง ป.ป.ช. มีมติ 7 ก.ย.52 และยังไปงัดเอกสารลับมาก บันทึกการประชุมคณะรัฐมนตรีนัดพิเศษ มาแถลงข่าว
แต่ก็ไม่มีน้ำหนัก และไม่ทันการแล้ว กับการหวังขอความเห็นใจจากสังคม
การที่สมชายถูกเอาผิดด้วยความผิดอุกฉกรรจ์เช่นนี้
เป็นการทำให้ตระกูล ชินวัตร-วงศ์สวัสดิ์ อยู่ในสภาพจนตรอก
และต้องคิดไปว่า ชินวัตร-วงศ์สวัสดิ์ ถูกไล่ต้อนหลังติดกำแพง เพราะทักษิณ ก็ต้องหนีคุก เสี่ยงโดนยึดทรัพย์
น้องเขย ก็กำลังจะต้องเปลี่ยนบทบาทจากที่เคยตัดสินความผิดคนอื่นตอนเป็นผู้พิพากษามาเป็นผู้เดินขึ้นศาลในฐานะจำเลย ที่อยู่เบื้องหลังการให้ตำรวจทำร้ายประชาชนจนบาดเจ็บเสียชีวิต
ย่อมทำให้ ชินวัตร-วงศ์สวัสดิ์ ต้องเปิดเกมรุกการเมืองแบบแตกหักมากขึ้นกับรัฐบาล ทั้งในสภาและนอกรัฐสภา
ส่วนตัวนายสมชาย ก็ดิ้นสู้ทุกทาง เช่นการฟ้องศาลปกครองในประเด็นเรื่อง ป.ป.ช. ปกปิดข้อมูลพยานในคดี 7 ตุลาทมิฬ ที่ล่าสุดศาลปกครองได้รับคำร้องดังกล่าวไว้แล้ว
ในส่วนเกมนอกรัฐสภาก่อนหน้านี้ สมชาย ก็เปิดตัวขึ้นเวทีคนเสื้อแดงที่ชุมนุมใหญ่ทั่วประเทศมาตลอด แต่หลังจากนี้คงรุกหนักขึ้น เพราะอยู่เฉยๆ ไม่ได้ เพราะสมชายต้องเป็น “เบี้ย”ให้ทักษิณ เดินเกม
ล้มระบอบอำมาตย์ และรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
เพื่อให้เพื่อไทย และระบอบทักษิณ กลับมามีอำนาจโดยเร็ว
น่าจับตาในหลายเหตุการณ์ เช่น การนัดชุมนุมใหญ่ 19 กันยายน ของคนเสื้อแดง และการเคลื่อนไหวของเสื้อแดงในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนซัมมิต เดือนตุลาคมนี้
เห็นได้จากการสั่งการให้คนเสื้อแดงไปแจ้งความเอาผิดอภิสิทธิ์ ในการสลายการชุมนุมเมษายนเลือดกับตำรวจ เพื่อต้องการเอาคืน และหากไม่มีการดำเนินการใดๆ ในเรื่องนี้ ฝ่ายเสื้อแดงก็จะปลุกระดมว่าสังคมไทยเป็นสองมาตรฐาน
สลายเสื้อเหลืองผิด แต่สลายเสื้อแดงไม่ผิด
จะได้นำเรื่องสองมาตรฐาน มาปลุกระดมเสื้อแดงให้ลุกฮือล้มรัฐบาลอีกครั้ง
ส่วนการขับเคลื่อนในในรัฐสภา ก็พยายามทุกอย่าง เพื่อหวังจะข่มขืนกระทำชำเรารัฐธรรมนูญผ่านพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะการพยายามจะหาช่องทางให้มีทางหนีทีไล่ได้มากขึ้น ผ่านการแก้ไขรัฐธรรมนูญหลายมาตรา เพราะหากมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเกิดขึ้น ก็ไม่แน่ว่าอาจเกิดความชุลมุนวุ่นวาย พรรคร่วมรัฐบาลอาจแตกคอกันเอง แม้ภายนอกระดับแกนนำจะบอกให้แก้แค่สองมาตรา คือ 190 กับระบบเลือกตั้ง แต่ลับหลังอาจมีการชิมลางโยนหินถามทางให้มีการพ่วงมาตราอื่นไปด้วย
เพื่อไทยจึงพยายามเดินเกมล็อบบี้ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลบางคน และ ส.ว.บางกลุ่มเพื่อให้เห็นว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ ไม่เป็นประชาธิปไตยและให้อำนาจองค์กรอิสระมากเกินไป แต่ทำให้นักการเมืองมีโอกาสหลุดจากตำแหน่ง และติดคุกได้ง่าย
จึงพยายามสร้างกระแส จะขอฉวยโอกาสแก้รัฐธรรมนูญมาตราอื่นไปด้วย เช่น การขยายให้การพิจารณาตัดสินคดีของศาลฎีกา จากศาลชั้นเดียว เป็นสามศาล เพราะแม้ รธน.50 จะเปิดให้ยื่นอุทธรณ์ แต่ทำได้ยากเพราะมีข้อจำกัดคือ ต้องเป็นข้อมูลใหม่ และทำภายใน 30 วัน
อดีตนายกฯ ที่ต้องกลายเป็นจำเลยคดีเดียวกันคือ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ
ถือเป็นวิบากกรรมในบั้นปลายชีวิต ที่บิ๊กจิ๋ว ปฏิเสธกงกรรมกงเกวียนที่ตัวเองร่วมก่อสร้างขึ้นไว้ไม่ได้ กับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ในฐานะผู้สั่งการให้ตำรวจสลายการชุมนุม
น่าจับตาว่า คงทำให้บิ๊กจิ๋ว ซึ่งที่ผ่านมาก็มีข่าวมาตลอดว่ายังไม่ยอม “วางมือการเมือง”แต่กำลังซุ่มดูลู่ทางอยู่ เพราะคนอย่างบิ๊กจิ๋ว เสพติดอำนาจมาทั้งชีวิต
เลยเชื่อได้ว่าการถูก ป.ป.ช.เอาผิดยิ่งทำให้บิ๊กจิ๋ว ต้องหวนกลับมาเล่นการเมืองเพื่อหวังเป็นเกราะป้องกันตัวเองแน่นอน
เพียงแต่เส้นทางเดินทางการเมืองของอดีตนายกฯ คนนี้ พบว่า “ตีบตัน” เพราะหากไปตั้งพรรคการเมืองใหม่ ก็ไม่ไหวแล้ว เนื่องจากแก่ชราไปมาก คงไม่มีใครอยากมาฝากอนาคตไว้ด้วย
ครั้นจะไปอยู่กับพรรคเล็กๆ อย่าง “มาตุภูมิ” ที่มีข่าวว่าบิ๊กจิ๋ว หนุนหลังกลุ่มอารีเพ็ญ อุตรสินธ์ อดีตลูกพรรคเก่าความหวังใหม่อยู่ แต่ก็อาจไม่สมศักดิ์ศรีบิ๊กจิ๋ว ยิ่งมีข่าวว่า พลเอกสนธิ บุญยรัตนกลิน ก็รอเสียบหัวหน้าพรรคมาตุภูมิ อยู่เช่นกัน
ก็คงทำให้ “จิ๋ว”ไม่ยอมเป็นเบอร์สองรองจาก “บิ๊กบัง” แน่นอน
ส่วนความเป็นไปได้ที่จะไปอยู่กับเพื่อไทย แม้เป็นไปได้อยู่ แต่การที่บิ๊กจิ๋วลาออกจากรองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ในช่วงสายวันที่ 7 ตุลาฯ ทำให้ทักษิณ และคนเพื่อไทยย่อมมองว่า
จิ๋วคบไม่ได้ ทิ้งเพื่อน เอาตัวรอด
แต่ก็ไม่แน่เช่นกัน เพราะตอนนี้ทักษิณ อาจถือว่าบิ๊กจิ๋ว อยู่ในสภาพเลือดเข้าตา และคงไม่พอใจกับมติป.ป.ช. จึงน่าจะร่วมงานกันได้ เพราะถือว่ามีศัตรูกลุ่มเดียวกัน อันทำให้การทำงานอาจเข้าขากันได้มากขึ้น
สำคัญแต่ว่า ทักษิณ-เพื่อไทย จะลืมการกระทำบิ๊กจิ๋ว ที่ทิ้งเพื่อนในยามยากได้สนิทใจหรือไม่
แต่ที่หนักสุดคงหนีไม่พ้น พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. ที่กระเบื้องหนาตราช้างน่าจะติดต่อให้มาเป็นพรีเซนเตอร์โฆษณา เพราะล่าสุดได้ออกแถลงการณ์ ยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเอง โดยไม่ยอมรับคำตัดสินของ ป.ป.ช.และอ้างว่า เรื่องนี้จะกระทบกับการทำงานของตำรวจในอนาคต แถมยังพยายามดึงตำรวจทั่วประเทศ ให้มาเป็นกันชนกับตัวเองเพียงเพื่อขอเกษียณในตำแหน่ง ผบ.ตร. และจะต่อสู้คดีในชั้นศาล
แต่ก็ไม่อาจยืนหยัดต้านทานมรสุมชีวิตที่โหมกระหน่ำเข้ามาทุกทางได้ จึงประกาศลาออกหลังที่โดนคำสั่งให้ช่วยราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ในช่วงบ่ายเมื่อวานนี้ (9ก.ย.)
หลังจากนี้ ก็เป็นเวลาของความทุกข์ ที่ พล.ต.อ.พัชรวาท จะต้องเดินขึ้นศาลเพื่อแก้ข้อกล่าวหาคดีอาญา นอกจากคดี 7 ตุลาแล้ว ก็เป็นไปได้ว่า จะมีคดีอื่นที่จะทยอยมาเรื่อยๆ เป็นต้นว่าคดีร่ำรวยผิดปกติ เนื่องจากมีรีสอร์ตซุกไว้ในชื่อลูกสาว และคอกม้าในหุบเขาแก่งคอย จ.สระบุรี ซึ่งทรัพย์สินทั้งสองแห่งรวมกันมีมูลค่าหลายร้อยล้านบาท อันเป็นเรื่องการมีอยู่ของทรัพย์สินที่เกินกว่าตำรวจสุจริตจะมีได้
ถ้าหากแก้ข้อกล่าวหาไม่หลุด บั้นปลายชีวิตคงต้องไปใช้บริการคุก
สุดท้าย พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผบช.ภ.4 นรต.รุ่น 26 ที่ทักษิณ ผลักดันให้ขึ้นมาเป็น ผบช.น. อาจถือเป็นทุกขลาภ ที่ต้องจบฉากบั้นปลายชีวิตกับการจะถูกปลดออก หรือไล่ออกในวันก่อนที่จะเกษียณอายุราชการ 30 ก.ย.นี้
หลังถูกชี้มูลเจ้าตัวก็ให้สัมภาษณ์แสดงความเป็นผู้นำว่า ดีใจที่ลูกน้อง น้องๆ ในกองบัญชาการตำรวจนครบาล ไม่ต้องมารับผิดด้วย แต่ข้อมูลลึกๆ ระบุว่า “บิ๊กเบื๊อก” ไปให้การกับทั้งกรรมการสิทธิมนุษยชน และ ป.ป.ช. ในฐานะผู้บัญชาการเหตุการณ์ โดยโบ้ยความผิดไปให้ลูกน้องว่า ได้สั่งกำชับแล้วว่า อย่าใช้ความรุนแรง และให้ประเมินสถานการณ์ในพื้นที่กันเอง หาได้ปกป้องผู้ใต้บังคับอย่างในวันที่ตัวเองถูก ป.ป.ช. ลงดาบฟันแต่อย่างใด
นี่แหละ...ตำรวจไทย