"ฝั่งขวาเจ้าพระยา"
โดย โชกุน
ในฐานะประชาชนคนหนึ่ง ขอบอกกับ พลตำรวจเอกพัชรวาท วงษ์สุวรรณว่า ไม่รู้สึกเลยว่า สูญเสียความเชื่อมั่นในอันที่จะได้รับการบริการในการรักษาความสงบเรียบร้อยในบ้านเมือง ตลอดจนการได้รับการปกป้องในความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน จากข่าวที่ พลตำรวจเอกพัชรวาท และพลตำรวจโท สุชาติ เหมือนแก้ว ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดว่า มีความผิดอาญา และผิดวินัยร้ายแรง กรณีสั่งปราบปรามประชาน ในเหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคม 2551 จนมีผู้เสียชีวิต บาดเจ็บ และพิการจำนวนมาก
ตรงกันข้าม กลับรู้สึกอุ่นใจว่า อย่างน้อยที่สุด คำวินิจฉัยของ ป.ป.ช. จะเป็นบทเรียนให้ ตำรวจ ตลอดจนผู้ใช้อำนาจ –ถืออาวุธ อื่นๆ มีความยับยั้งชั่งใจ ไม่ใช้ความรุนแรงจนเกินเหตุต่อประชาชน
ในประกาศ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่พลตำรวจเอกพัชรวาทให้ลูกน้อง แจกจ่ายให้กับสื่อมวลชนเมื่อวานนี้ ยังอ้างว่า คำวินิจฉัยของ ป.ป.ช. นี้ ยัง อาจสร้างความสับสนและกระทบต่อการตัดสินใจ การพิจารณาสั่งการให้เป็นไปตามกฎหมายของผู้บังคับบัญชาแต่ละลำดับชั้นตลอดจนขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติภารกิจหน้าที่ของเพื่อนข้าราชการตำรวจในการรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองและการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะเรื่องที่จะเกิดจากชุมนุมเรียกร้องในเรื่องต่างๆของพี่น้องประชาชน
ก็ขอบอกว่า ไม่เคยหวังเลยว่า ตำรวจจะรักษาความสงบเรียบร้อย ในการชุมนุมเรียกร้องได้ เพราะตำรวจจำนวนหนึ่งแสดงตัวชัดเจนว่า ถ้าเป็นการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก็พร้อมจะเป็นปฏิปักษ์ ขัดขวาง ปราบปราม เข่นฆ่า แต่ถ้าเป็นพวกเสื้อแดง ตำรวจก็ไม่ปิดบังตัวเลยว่า พร้อมจะให้ความร่วมมือ ออกเวรแล้ว ยังงัดเอาเสื้อแดงมาใส่ ออกไปร่วมชุมนุมด้วย
ดูเอาก็แล้วกัน การประชุมผู้นำอาเซียนที่พัทยา ถูกพวกเสื้อแดง บุกเข้าไปล่าตัวนายกฯ ถึงห้องประชุม ไม่เพราะตำรวจเปิดทางสะดวกให้หรือ
ถ้าตำรวจสามารถรักษาความสงบเรียบร้อยได้อย่างที่คุย รัฐบาลก็คงไม่ต้องใช้กฎหมายความมั่นคง มาควบคุมการชุมนุมของม็อบเสื้อแดง เพื่อจะได้ใช้ทหารแทนได้หรอก
เคยแต่ตั้งข้อหา เอาผิดคนอื่นมาทั้งชีวิต พอไปทำผิดเสียงเอง แล้วถูกกล่าวโทษบ้าง กลับไม่ยอมรับ จะเป็นจะตายขึ้นมาทันทีว่า กูไม่ผิดๆ กูถูกกลั่นแกล้ง
พลตำรวจเอกพัชรวาท และสมุนในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมทั้ง นายพลแก่ๆ ที่ใช้สมาคมตำรวจเป็นกองบัญชาการ กำลัง เอาประชาชนเป็นพวก ลากตำรวจมาเป็นเบี้ย เปิดฉากดิสเครดิต ป.ป.ช. และรัฐบาล เหมือนที่เคยทำมาก่อนหน้านี้
ปฏิบัติการปลุกระดมตำรวจ ให้ลุกขึ้นมาต่อต้าน ป.ป.ช. เกิดขึ้นมานานแล้ว ยังจำกันได้ไหม สมาคมตำรวจที่มี พลตำรวจเอก วิสุทธิ กิตติวัตน์ เป็นนายกสมาคม เคยจัดสัมมนาบังหน้า แต่เบื้องหลังคือ ระดมตำรวจมาลงชื่อ ถอดถอน ป.ป.ช. บังเอิญถูกจับได้ไล่ทันเสียก่อน เลยระงับไป
พลตำรวจตรี อำนวย นิ่มมะโน รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เคยยื่นฟ้อง ป.ป.ช. ต่อศาลอาญา ข้อหา ปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ ที่ไปตั้ง อนุกรรมการ ไต่สวน กรณี 7 ตุลา แต่ศาลไม่รับฟ้อง
คณะอนุกรรมการที่ ป.ป.ช. ตั้งขึ้นมา ก็ถูกข่มขู่ จะเอาชีวิต จนหลายๆคนต้องถอนตัว ในที่สุดคณะอนุกรรมการที่มีนายวิชา มหาคุณ เป็นประธาน ต้อล้มไป คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชุดใหญ่ ต้องลงมาไต่สวนเอง
ทำทุกวิถีทาง เพื่อล้มการไต่สวน เอาผิดผู้ออกคำสั่งฆ่าประชาชนของ ป.ป.ช.
เมื่อไม่เป็นผล สุดท้าย ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดออกมา ปฏิบัติการดิสเครดิต ปลุกระดมตำรวจก็เริม่ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ตังแต่เมื่อวานนี้ ที่มีประกาศของสำนักงานตำรวจออกมา และการให้ข่าวของ พลตำรวจตรี สุรพล ทวนทอง กับพลตำรวจตรี อำนวย นิ่มมะโน วันนี้ ก็ถึงคิวของสมาคมตำรวจ ที่จะยกเอาเรือง ขวัญ กำลังใจ ศักด์ศรี มาเสี้ยมตำรวจไปชนกับ ป.ป.ช.และรัฐบาล
พลตำรวจเอกพัชรวาทเอง ไม่ยอมไปชี้แจงกับ ป.ป.ช. เลื่อนแล้วเลื่อนอีกถึง 3 ครั้ง จน ป.ป.ช. ขีดเส้นตายครั้งสุดท้าย ก็ยังไม่ยอมไป ส่งเป็นเอกสารไปชี้แจงแทน
ถ้าบริสุทธิ์จริง จะหลบ จะเลี่ยงทำไม หลักง่ายๆ ที่ตำรวจใช้ประเมินเบื้องต้นว่า ผู้ต้องหาคนไหน น่าจะทำความผิดหรือไม่ เขาให้ดูที่อากัปกิริยา และพฤติกรรม เวลาพูด กล้าสบตาหรือไม่ นัดมาสอบปากคำแล้ว หลบเลี่ยง บ่ายเบี่ยงตลอดหรือเปล่า
พฤติกรรมของ พลตำรวจเอกพัชรวาทที่ไม่ยอมไปให้การกับ ป.ป.ช. นั้น สันนิษฐานเอาไว้ก่อนได้เลยว่า มีพิรุธ มิพักต้องพูดถึง หลักฐาน ประจักษ์พยาน ที่เห็นกันทั้งบ้านทั้งเมืองว่า ปล่อยให้ ตำรวจใต้บังคับบัญชาฆ่าประชาชนอย่างเมามัน จากเช้าจรดเย็น เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม
ถ้ามีข้อมูลใหม่ ที่ ป.ป.ช. ไม่ได้ใส่ไว้ในสำนวน อย่างที่ พลตำรวจตรีสุรพล ทวนทอง อ้าง หรือว่า พวกพันธมิตร มีอาวุธ มีระเบิด ยั่วยุให้ “ฆ่ามัน ฆ่ามัน” อย่างที่พลตำรวจตรีอำนวย กล่าวหา เรื่องอย่างนี้ จะมาบอกกับสื่อมวลชน หลังจาก ป.ป.ช. ชี้มูลแล้ว ทำไม ต้องไปบอก ป.ป.ช. ตอนที่เขาเรียกไปไต่สวน เขาให้โอกาส พร้อมจะรับฟังอยู่แล้ว แต่ ไม่กล้าไปเอง
สุดท้าย เมื่อ ป.ป.ช.ชี้ว่า ผิดอาญา และวินัยร้ายแรง ก็ใช้วิธีการแบบผู้ร้ายที่ทำผิดจริง คือ หนี ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งหนีความผิด แต่อย่าคิดว่า จะหนีโทษได้ เพราะความผิดเกิดขึ้นแล้ว เว้นเสียแต่จะหนีไปดูไบ อีกคน