"ฝั่งขวาเจ้าพระยา"
โดย โชกุน
ถึงแม้ว่า การเมืองยังไม่นิ่ง เพราะมีข่าวลือ ข่าวปล่อยเกิดขึ้นเป็นรายวัน พรรคร่วมรัฐบาลจะแตก ภูมิใจไทยจะถอนตัว อภิสิทธิ์ เป็นเด็กดื้อ รัฐบาลจะยุบสภาฯ ฯลฯ ส่วนเศรษฐกิจก็ยังไม่รู้ว่า จะเชื่อใครดี ระหว่าง รัฐบาลที่บอกว่า เศรษฐกิจไทยส่งสัญญาณฟื้นตัวแล้ว กับพวกที่บอกว่า เศรษฐกิจไทยยังอยู่ที่ก้นเหว
แต่สำหรับนักลงทุนในตลาดหุ้น ที่เป็นนักลงทุนรายย่อย ซึ่งหุ้นตกทีไรก็จะถูกขนานนามว่า “ แมงเม่า” ช่วงเวลานี้ถือว่า เป็นนาทีทองของแมงเม่า ที่ทอดยาวมานานนับเดือนแล้ว เพราะมีกำไรจากการซื้อขายหุ้นเกือบทุกวัน สำหรับนักลงทุนเบี้ยน้อย หอยน้อย อย่างต่ำๆ ก็ได้ค่าขนม ค่านมลูกวันละ 1-2 พันบาท เดือนหนึ่ง รายได้มากกว่าค่า จ้าง เงินเดือนประจำเสียอีก
คนกลุ่มนี้ มีเป็นล้านคน ไม่ได้เล่นหุ้นตามห้องค้า แต่ซื้อขายผ่านอินเตอร์เน็ต ซื้อมา ขายไปจบภายในวันเดียว ไม่เก็บหุ้นไว้ข้ามคืน พรุ่งนี้เช้าค่อยว่ากันใหม่ จัดว่าเป็นกำลังซื้อที่สำคัญกลุ่มหนึ่งในระบบเศรษฐกิจตอนนี้ เพราะมีสตางค์เหลือใช้
ดัชนีราคาตลาดหุ้นไทยขยับขึ้นไปวันละ 4-5 จุด นานๆ จึงจะปรับตัวขึ้นไปเยอะๆเสียที เก็บเล็กผสมน้อย ไปเรื่อยๆ มาถึงวันนี้ น้อยกลับไปเทียบกับเมื่อต้นปี จะเห็นเส้นกราฟดัชนีราคา พุ่งสูงชันขึ้น ตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นมา
เมื่อวันศุกร์ที่ 4 กันยายน ที่ผ่านมา ดัชนีตลาดหุ้นไทย ปิดที่ 668.41 จุด เทียบกับตอนต้นปีที่รัฐบาลนี้เริ่มนับหนึ่ง ดัชนีเพิ่มขึ้นถึง 49 % มูลค่าหลักทรัพย์ตามราตาตลาดรวม หรือ Market Capitalization ก็เพิ่มขึ้น ในอัตราส่วนใกล้เคียงกัน คือ จากมูลค่า 3.56 ล้านล้านบาท เมื่อวันสิ้นปี 2551 เป็น 5.32 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.7 ล้านล้านบาท
มองจากมุมมองของ นักลงทุนในตลาดหุ้น พวกเขาอาจะไม่เชื่อมั่น อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แต่พวกเขาเชื่อมั่นประเทศไทยในระยะนี้อย่างแน่นอน มูลค่าซื้อขายในแต่ละวัน จึงทะลุหมื่นล้าน ซึ่งครึ่งหนึ่ง เป็นการซื้อขายของนักลงทุนรายย่อย
น่าแปลกที่รัฐบาลนี้ ไม่เคยหยิบยกเอาเรื่อง การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้น มาเป็นผลงาน อาจเป็นเพราะว่า ภาวะตลาดหุ้นนั้น ไม่ได้สะท้อนปัจจัยพื้นฐาน เพียงแต่สะท้อนความเชื่อมั่น ของนักลงทุน จึงเป็นตัวชี้วัดที่ไม่แน่นอน อาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
หรือว่า ไม่อยากกระโตก กระตากให้เป็นที่สนใจมากจนกินไป
ตลาดหุ้นไทย ที่ปรับตัวขึ้นมาเกือบ 50 % นั้น เป็นไปตามเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นในเอเชีย ที่ปรับตัวขึ้นมาตั้งแต่ต้นปี ในอัตราน้อยกว่า หรือมากกว่า แต่ทุกประเทศเป็นขาขึ้น
ตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ขึ้น 49 % , ดัชนีหั่งเส็งปรับขึ้น 35 % , สิงคโปร์ 45 %, เกาหลีใต้ 45%, อินโดนีเซีย 83 % , มาเลเซีย 31% และไต้หวัน 53 %
แน่นอนว่า เงินลงทุนที่ขยับให้ดัชนีเคลื่อนตัวขึ้นในตลาดเหล่านี้ คือ นักลงทุนต่างชาติ จากโลกตะวันตก ที่มองเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในเอเชีย แต่เม็ดเงินจากนักลงทุนรายย่อย โดยเฉพาะในบ้านเรามีส่วนสร้างความคึกคักให้ตลาด เพราะมีสัดส่วนเกือบครึ่งหนึ่ง
การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในเอเชียนั้น มาเร็วเกินความคาดหมาย และไม่ได้ฟื้นเพราะว่า การส่งออกที่ต้องพึ่งเศรษฐกิจสหรัฐฯ และยุโรป ดีขึ้น แต่เป็นการฟื้นตัวจากภายใน คือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่รัฐบาลแต่ละประเทศ อัดฉีด เม็ดเงิน การลงทุน และการสร้างงานเข้าไปในระบบเศรษฐกิจ ชดเชยรายได้จากการส่งออกและการท่องเที่ยวที่หายไป
ฝรั่งเชื่อว่า การฟื้นตัวนี้เป็นของจริง แต่กรณีของประเทศไทยนั้น ยังมีปัจจัยเรื่องการเมืองมาชี้ขาดอยู่พอสมควร ถึงอย่างไรก็ตาม เม็ดเงินจากต่างชาติก็ยังไหลเข้ามา ในตลาดหุ้นไทย เหมือนตลาดหุ้นอื่นๆรอบบ้านเรา
การฟื้นตัวของตลาดหุ้นไทยรอบนี้ มีข้อสังเกตว่า นักลงทุนต่างชาติ ยังไม่มีโอกาสที่จะขายทำกำไรเลย เพราะถึงเวลาจะขายทีไร จะมีมือที่มองไม่เห็น คอยทำลายจังหวะ ทำให้ราคารับซื้อ ต่ำกว่าราคาที่ฝรั่งต้องการขายทุกที เลยต้องเก็บหุ้นเอาไว้ก่อน
คล้ายๆ กับ มีมือที่คอยประคับประคองไม่ให้หุ้นตกลงมาแรงเกินไป แต่ก็ไม่ให้ขึ้นพรวดพราด อย่างหุ้นการบินไทย ขนาดผลประกอบการไตรมาสสองยังขาดทุน 5,000 ล้านบาท ถูกสนามบินชางกีลดเกรด ยังถูกประคับประคองขึ้นมาทีละนิดทีละหน่อย จากราคาไม่ถึง 10 บาท ตอนสิ้นปีที่แล้ว ขึ้นมาเท่าตัวถึง หุ้นละ 20 บาท แล้ว
อยากรู้ว่า ใครคือ เจ้าของมือที่มองไม่เห็นคู่นั้น ก็ต้องไม่ลืมว่า ใครที่ช่ำชองกับ การทำมาหากินในตลาดทุนโลก ก่อนที่จะล้างมือในอ่างทองคำ เดินเข้าสู่เวทีการเมือง