xs
xsm
sm
md
lg

“ชายอำมหิต” ปัดสวะสั่งฆ่า ปชช.ทิ้งศักดิ์ศรีปีนรั้วหนี โดดเดี่ยว “ป๊อด”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สมชาย วงศ์สวัสดิ์
น้องเขยแม้ว นั่งไม่ติดหลังถูก ป.ป.ช.ชี้มูล ร้อนตัวชิงปัดสวะ อ้างไม่มีอำนาจสั่งการสลายผู้ชุมนุมเหตุการณ์ตุลาทมิฬ เพราะยังไม่ได้แถลงนโยบาย โยนบาปเป็นหน้าที่ของตำรวจโดยตรง ยอมเสียศักดิ์ศรีปีนรั้วสภาหนีเอาตัวรอด รู้ตัวคอพาดเขียง วอนขอความเป็นธรรมกระบวนการยุติธรรม

วันนี้ (7 ก.ย.) ที่ทำการพรรคเพื่อไทย อาคารบีบีดี บิวดิ้ง ย่านพระราม 4 พรรคเพื่อไทย นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ได้แถลงภายหลังจาก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดเกี่ยวกับเหตุการณ์สั่งสลายการชุมนุมวันที่ 7 ต.ค.2551 ว่า จริงๆ แล้วตนไม่ได้มีความประสงค์จะมาโต้แย้งใดๆ แต่ต้องการให้ประชาชนเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น โดยไม่ได้มุ่งหมายโจมตี หรือมุ่งร้ายใดๆ ไม่ได้ทำสิ่งชั่วร้าย และมั่นใจเป็นผู้บริสุทธิ์ โดยในวันที่มีการชุมนุม ระหว่างที่ตนจะแถลงนโยบายต่อรัฐสภานั้น นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้นัดให้คณะรัฐมนตรี ( ครม.) แถลงนโยบายต่อรัฐสภาในวันที่ 7 ต.ค.ซึ่งในคืนวันที่ 6 ต.ค.ได้มีกลุ่มผู้ชุมนุมเข้าไปปิดล้อมอาคารรัฐสภา เป็นจำนวนมากอย่างผิดปกติ ตนจึงได้เชิญ ครม.มาหารือ โดยมีการบันทึกการประชุม ครม.ในคืนนั้นด้วย ซึ่งตนได้แจ้งกับที่ประชุม ครม.และรัฐมนตรีหลายคนได้ให้ความเห็นว่า น่าจะมีการย้ายการประชุม ครม.หรือเลื่อนการแถลงนโยบาย

อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า ตนก็ได้ให้ นายชูศักดิ์ ศิรินิล เลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทรศัพท์หารือกับ นายชัย ซึ่ง นายชัย ก็ระบุว่า ให้ดำเนินการไปตามที่สั่งไว้ ตนจึงสั่งให้รัฐมนตรีไปดูข้อเท็จจริงที่สภาว่าเข้าประชุมได้หรือไม่ หากเข้าไม่ได้ ก็ให้รอคำสั่งจากประธานสภา เมื่อเช้าวันรุ่งขึ้นก็ทราบข่าวว่า มีการใช้แก๊สน้ำตากับผู้ชุมนุม จึงได้ให้ ผบ.ตร.มาให้ข้อมูลกับ ครม.อีกครั้ง ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ต้องรักษาสถานการณ์บ้านเมืองตามหน้าที่ เราในฐานะที่เป็น ครม.ไม่สามารถสั่งการอะไรได้ เพราะยังไม่มีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา

นายสมชาย กล่าวต่อว่า โดยเช้าวันนั้นได้รับแจ้งให้เข้าสู่สภาจนตนแถลงนโยบายเสร็จประมาณ 11 นาฬิกา ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ตำรวจให้รีบออกจากสภา เพราะจะมีผู้ชุมนุมบุกเข้ามาทำร้าย โดยจะเปิดทางข้างหน้า แต่จะทำหรือไม่ทำ จะใช้แก๊สหรือไม่ก็เป็นอำนาจหน้าที่ของตำรวจ ไม่ใช่ว่าตำรวจทำแล้ว จะมีความผิด เพราะเป็นการทำไปตามอำนาจหน้าที่

“ผมยอมเสียศักดิ์ศรี ความเป็นนายกรัฐมนตรีไม่ใช้อำนาจบาตรใหญ่กับผู้ชุมนุมโดยปีนออกไปข้างหนังยังพระที่นั่งวิมานเมฆ แต่ยังออกไปไม่ได้ เพราะมีการปิดทุกประตู จนสุดท้ายก็ต้องมีการประสานงานเจ้าหน้าที่พระที่นั่งวิมานเมฆ ให้เฮลิคอปเตอร์มารับผมออกไป หลังจากออกมา ไปประชุมที่กองทัพไทย ก็ได้รับแจ้งว่า กลุ่มผู้ชุมนุมจะบุกเข้าไปทำร้าย ส.ส.และ ส.ว.แต่ผมไม่อยู่ในอำนาจที่จะสั่งการให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการได้ เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจมีแผนกรกฎที่ได้วางเอาไว้ตั้งแต่ก่อนหน้าแล้ว” นายสมชาย ย้ำ

นายสมชาย กล่าวอีกว่า การที่ ป.ป.ช.ได้ตั้งข้อกล่าวหากับตนว่า ตนได้ประชุม ครม.และมีมติให้สลายการชุมนุม และสั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสลายการชุมนุม นอกจากนี้ ยังมีข้อกล่าวหาว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยไม่ได้ห้ามการใช้แก๊สน้ำตาจนทำให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บ ตนก็ได้ไปแก้ข้อกล่าวหาโดย ป.ป.ช.ที่ไม่ได้มีการเรียกให้ตนไปให้การใดๆ เลย ซึ่งตนเป็นผู้ถูกกล่าวหา ก็ต้องมีสิทธิในการแก้ข้อกล่าวหา และดูเอกสารหลักฐานการกล่าวหา ตนได้ไปร้องอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการข้อมูลข่าวสาร โดยได้มีหนังสือกลับมาถึงตน 2 ฉบับในการเร่งตัดสินว่า ตนสามารถดูเอกสารจากทาง ป.ป.ช.ให้เร็วที่สุด

“และในปลายเดือนสิงหาคม คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารนัดให้ ป.ป.ช.ไปให้ข้อมูลวันที่ 8 กันยายน แต่ ป.ป.ช.กลับนัดลงมติกรณีผมในวันที่ 7 กันยายน จนกระทั่งวันที่ 4 กันยายน ผมก็ได้ไปยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง เพื่อให้พิจารณาว่า ผมมีสิทธิ์ขั้นพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญ ที่จะมีสิทธิ์ตรวจสอบเอกสาร พยาน และหลักฐานตามที่ ป.ป.ช.ใช้ในการกล่าวหา เพราะเท่าที่ปรากฏข้อเท็จจริงกับผมนั้น ไม่มีสิ่งที่ ป.ป.ช.กล่าวหาอยู่ แต่สุดท้าย ป.ป.ช.ก็รีบเร่งมีมติและชี้มูลออกมาในวันที่ 7 ก.ย.โดยไม่รอฟังคำสั่งศาล ทำให้ตนไม่ได้รับความเป็นธรรมในการต่อสู้ โดยแสดงให้เห็นว่า ป.ป.ช.ไม่ยอมรับระบบของความยุติธรรมตามกฎหมาย และไม่สนใจการดำเนินการของศาลปกครอง เมื่อถูกตั้งข้อกล่าวหา ก็จะต่อสู้ตามกระบวนการของกฎหมาย แต่มุ่งหวังว่า กระบวนการยุติธรรมจะโปร่งใส และให้ความเป็นธรรมกับผม” อดีตนายกรัฐมนตรี ย้ำ

นอกจากนี้ นายสมชาย ได้ยืนยันว่า หลังจากนี้ ตนจะแต่งตั้งทนายความเพื่อต่อสู้คดี แต่จะไม่ฟ้องกลับไปที่ใครทั้งนั้น แต่จะสู้คดีไปตามที่ตนมีสิทธิ์ต่อสู้คดีต่อไป

พร้อมกันนี้ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ได้แจกจ่ายแถลงการณ์ประกอบการแถลงตอบโต้คำสั่งชี้มูล ป.ป.ช.ในครั้งนี้ด้วย โดยมีใจความว่า

วันนี้ ข้าพเจ้าได้รับทราบว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้ชี้มูลความผิดเกี่ยวกับเหตุการณ์ผู้ชุมนุมที่ใช้ชื่อกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ซึ่งเป็นวันที่ข้าพเจ้าในฐานะนายกรัฐมนตรีจะได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา โดยมีเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจกับผู้ชุมนุม เหตุการณ์ดังกล่าวมีการกล่าวหาว่าข้าพเจ้าเป็นผู้สั่งให้มีการสลายการชุมนุม ซึ่งไม่ถูกต้องเพราะการควบคุมผู้ชุมนุม เพื่อมิให้เกิดความไม่สงบในบ้านเมืองเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ

คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้แจ้งข้อกล่าวหากับข้าพเจ้าโดยข้าพเจ้ารับทราบข้อกล่าวหาเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2552 ซึ่งเมื่อข้าพเจ้าถูกกล่าวหาข้าพเจ้าจำเป็นต้องรับทราบข้อกล่าวหาและพยานหลักฐานที่นำมากล่าวหาพอสมควรที่จะชี้แจงข้อกล่าวหา ข้าพเจ้าจึงได้ทำหนังสือขอตรวจสอบพยานหลักฐานต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2552 แต่คณะกรรมการป.ป.ช.ไม่อนุญาตทั้งๆที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 40(7) คณะกรรมการ ป.ป.ช.ต้องจัดให้ข้าฯตรวจสอบก่อนทำคำชี้แจง ข้าพเจ้าจึงได้อุทธรณ์คำสั่งของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ต่อคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร ตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540 ซึ่งถือเป็นคณะกรรมการวินิจฉัยข้อพิพาทตามมาตรา 3 ของ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองฯ พ.ศ.2542 ซึ่งคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารได้แจ้งให้ข้าพเจ้าทราบว่า คณะกรรมการได้มีมติให้เชิญประธาน ป.ป.ช.หรือกรรมการท่านใดท่านหนึ่งหรือหลายท่านมาให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการฯในวันที่ 8 กันยายน 2552 แต่คณะกรรมการ ป.ป.ช.กลับหลีกเลี่ยงมีการนัดพิจารณาและชี้มูลความผิดในวันนี้ (7 กันยายน 2552)

เมื่อข้าพเจ้าเห็นการเร่งรัดคดีอย่างไม่เป็นธรรม เพราะข้าพเจ้าไม่มีโอกาสชี้แจงข้อกล่าวหา ข้าพเจ้าจึงได้ฟ้องต่อศาลปกครองตามหมายเลขคดีดำที่ 1386/2552 ว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช.เร่งรัดกระบวนการไต่สวน และหลีกเลี่ยงการให้ถ้อยคำ ต่อคณะกรรมการวินิจฉัย รวมทั้งมีหนังสือแจ้งให้คณะกรรมการฯระงับการไต่สวน เพื่อรอคำสั่งศาลปกครอง แต่คณะกรรมการกลับเร่งรัดชี้มูลความผิด โดยไม่ยอมรับการปฏิบัติหน้าที่ของศาลปกครองและคณะกรรมการข้อมูลข่าวสาร ที่จะให้ความเป็นธรรมต่อข้าพเจ้า

ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงเห็นว่าการกล่าวหาข้าพเจ้าในครั้งนี้ (1) ถือเป็นคดีทางการเมือง เป็นการกล่าวหาโดยเร่งรีบ รวบรัดโดยไม่รับฟังพยานหลักฐานให้เสร็จสิ้นกระแสความ (2) กระบวนการไต่สวนไม่ให้ความเป็นธรรม และเป็นการไม่ยอมรับอำนาจของคณะกรรมการวินิจฉัยเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร และไม่ยอมรับอำนาจศาลปกครอง ที่กำลังวินิจฉัยคดีในเรื่องที่ข้าพเจ้าขอความเป็นธรรมต่อศาล
กำลังโหลดความคิดเห็น