"ผ่าประเด็นร้อน"
ยิ่งใกล้ถึงวันที่ 30 สิงหาคมที่คนเสื้อแดงกล่ม “3 เกลอ” นัดชุมนุมใหญ่เพื่อขับไล่รัฐบาล ก็ยิ่งทำให้หลายคนรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง เพราะได้รับรู้ถึงสัญญาณอันตรายที่กำลังเกิดขึ้น
แม้ว่ามีการประกาศออกมาจากปากของแกนนำบางคน เช่น จตุพร พรหมพันธุ์ ย้ำ ว่าในวันนั้นจะเป็นการชุมนุมไม่ยืดเยื้อ แบบวันเดียวเลิก หรือบอกว่าแม้รัฐบาลประกาศใช้พระราชบัญญัติความมั่นคงภายในราชอาณาจักรมาควบคุมสถานการณ์แล้วก็ตาม แต่ก็ต้องชุมนุมต่อไป เพราะเป็นการใช้สิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ หากยุติก็จะถูกมองว่า “กลัว” รัฐบาล
ขณะเดียวกันในช่วง 2-3 วันก่อนหน้านี้ มีความเคลื่อนไหวที่น่าสังเกตสองสามเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องกัน เหมือนกับแสดงให้เห็นว่า “แดงแตกคอ” กันยับเยิน ทำให้พลังเริ่มอ่อนแรง
มีข่าวของ จักรภพ เพ็ญแข หนึ่งในแกนนำเสื้อแดงเขียนบทความตำหนิ 3 เกลอ ทำนองนำพามวลชนหลงทาง ไม่เป็นผลดีกับ ทักษิณ ชินวัตร ทั้งในเรื่องของการ “ถวายฎีกา” หรือคัดค้านการชุมนุมในวันที่ 30 สิงหาคม หรือการผสมโรงของ สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์(แซ่ด่าน)” แสดงอาการเหยียดหยามดูแคลนว่า จตุพร พรหมพันธุ์ เป็นได้แค่พวก “หัวหมู่ปลายแถว” เห็นใบไม้ไหวก็ชักดาบฟันมั่วแล้ว พร้อมกับตั้งกลุ่ม “แดงสยาม” ขึ้นมาแยกกันเคลื่อนไหวคนละแนวทาง และเกิดการตอบโต้กันรุนแรง
คำพูดของ ทักษิณ ชินวัตร ที่ “โฟนอิน” มาถึงชมรมคนรักอุดรทำนองไม่เห็นด้วยกับการเข้ามาชุมนุมในกรุงเทพฯวันที่ 30 สิงหาคม อ้างว่าเกรง “จะเกิดอันตรายกับประชาชน”
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวที่เกิดขึ้นทำให้หลายคนอาจประเมินว่าคนเสื้อแดง แตกแยกกันภายใน และช่วงชิงการนำ หรือขัดแย้งกันในเรื่องผลประโยชน์ที่แต่ละกลุ่มได้รับไม่เท่ากันจนมีเสียงโวยวายออกมา ส่งผลให้ขุมกำลังอ่อนแรงลงทุกวัน
อย่างไรก็ตามหากพิจารณาอีกมุมหนึ่งภาพที่เห็นในความเป็นจริงอาจเป็นตรงกันข้าม มีวาระซ่อนเร้นอยู่ข้างในหรือไม่
เพราะจากการสังเกตความเคลื่อนไหวบางอย่างก็ได้พบเห็นความผิดปกติกำลังเกิดขึ้น เริ่มตั้งแต่ความ “ตื่นตัว” จากฝ่ายความมั่นคงของรัฐบาล จนในที่สุดมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติความมั่นคงภายในราชอาณาจักรขึ้นมาควบคุมสถานการณ์การชุมนุมตั้งแต่วันที่ 29 สิงหาคมไปจนถึงวันที่ 1 กันยายน
ซึ่งการประกาศใช้กฎหมายดังกล่าวล่วงหน้า เพื่อป้องกันสถานการณ์จากการชุมนุมถือว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และนั่นก็ย่อมหมายความว่ารัฐบาลคงได้รับรายงานจากหน่วยงานด้านการข่าวว่ามีความเคลื่อนไหวเพื่อก่อเหตุรุนแรงเกิดขึ้นใช่หรือไม่
เมื่อประเมินถึงความเป็นไปได้หลายอย่างมันก็ “เข้าเค้า” ทั้งบรรยากาศและข้อจำกัดด้านเวลาที่รุมเร้าเข้ามาก็อาจจูงใจให้คนพวกพวกนี้คิดวางแผนก่อจลาจลขึ้นมาอีกรอบ ซ้ำรอยเหตุการณ์เมื่อช่วงวันสงกรานต์ที่ผ่านมาก็เป็นได้
เพราะพิจารณาตามสถานการณ์ทั่วไปตามความเป็นจริงแล้ว ไม่ว่ามองในมุมไหนเวลานี้ถือว่ายังไม่มีเงื่อนไขที่สุกงอมพอที่นำมาเป็นเหตุผลในการขับไล่รัฐบาล ในขณะที่กลไกรัฐสภาก็ยังสามารถดำเนินไปได้ แม้ว่าจะลุ่มๆดอนๆก็ตาม
ดังนั้นเมื่อยังดึงดันเดินหน้าก็ย่อมหมายความว่าก็ย่อมมีเป้าหมายที่ไม่ชอบมาพากลอย่างแน่นอน
ประกอบกับในช่วงนี้บังเอิญว่ามีการปล่อย “คลิปเสียง” ที่ “จงใจ” ทำให้เข้าใจว่าเป็นเสียงของ นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สั่งการให้ปราบปรามคนเสื้อแดงในเหตุการณ์ชุมนุมเดือนเมษายนอย่างเด็ดขาด ซึ่งไม่ว่าใครก็ต้องมองออกว่ามีเจตนายั่วยุให้เกิดความโกรธแค้น เร่งเร้าให้ออกมาชุมนุมจำนวนมาก
เหมือนกับการ “เชิญแขก” เข้ามาร่วมไม่มีผิด !!
ขณะเดียวกันเมื่อย้อนกลับไปพิจารณาคำพูดของ ทักษิณ ชินวัตร ที่พูดกับคนเสื้อแดงอุดรธานีที่ด้านหนึ่งบอกว่าอย่าเข้ามาร่วมชุมนุมเกรงจะเกิดอันตราย แต่ในทางตรงกันข้ามเหมือนกับแสดงให้เห็นว่าหากเกิดความรุนแรงก็ไม่ใช่เกิดจากฝ่ายตนริเริ่มก่อน โดยโบ้ยให้เป็นฝีมือของรัฐบาล หรือไม่ก็เป็นฝีมือ “แดงเทียม” อย่างที่เคยอ้างก่อนหน้านี้
เมื่อพิจารณาจากเหตุและผลที่เกิดขึ้นทั้งหมดก็ย่อมมีความเป็นไปได้สูงว่าการชุมนุมในวันที่ 30 สิงหาคมนี้จะมีการยั่วยุให้เกิดความรุนแรง เพื่อหวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างขนานใหญ่ ตามเป้าหมายที่ “บางคน” กำหนดเอาไว้
และยิ่งมีข่าวว่ากำลังถูกโรคร้ายคุกคามอยู่ในต่างแดน และกำลังถูกโดดเดี่ยวในสังคมโลกมากขึ้นทุกวัน ก็ยิ่งต้องเร่งเกมให้จบลงโดยเร็ว
ดังนั้นสิ่งที่ต้องระวังก็คือต้องรู้เท่าทันคนเสื้อแดง และเล่ห์เหลี่ยมของ “3 เกลอ” โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องระวัง “จลาจล” ในวันที่ 30 สิงหาคมนี้ให้จงหนัก !!
