ที่ประชุม ครม.เห็นชอบให้ประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ บังคับใช้เพื่อควบคุมการชุมนุมม็อบเสื้อแดง ระหว่างวันที่ 29 ส.ค.-1 ก.ย. เฉพาะในพื้นที่เขตดุสิต ขณะที่ "มาร์ค” ยันการข่าวไม่น่าไว้วางใจเสื้อแดงชุมนุม เผยตั้ง “เทพเทือก”ผู้อำนวยการ สนธิกำลังทหาร-ตำรวจ ตบท้าย ซัดเสื้อแดงเป็นตัวปัญหาทำเศรษฐกิจไทยสะดุด ลั่นใส่เสื้อสีไหนทำผิดก็ดำเนินการตามกฏหมาย
วันนี้ (25 ส.ค.) นายศุภชัย ใจสมุทร รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีว่า ได้มีมติเห็นชอบให้ประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงภายในราชอาณาจักร เฉพาะในพื้นที่เขตดุสิต ระหว่างวันที่ 29 สิงหาคม - 1 กันยายน 2552 เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาความรุนแรง โดยที่ไม่มีเครื่องมือทางกฎหมายมาบังคับใช้ ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้บัญชาการภายใต้ พ.ร.บ.ดังกล่าว
ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แถลงข่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีว่า ที่ประชุมครม.ได้มีการพิจารณาการเตรียมการรับมือสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ในวันที่ 30 ส.ค. ที่ถึงแม้แกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมจะยืนยันว่า เป็นการชุมนุมที่จะไม่เกิดความวุ่นวายเหมือนเมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา แต่ว่ารายงานในด้านการข่าวก็ทำให้รัฐบาลไม่สามารถทำให้รัฐบาลวางใจได้ เพราะอาจจะมีมือที่สาม อุบัติเหตุการเมืองต่างๆ เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นเราไม่ต้องการให้มีเหตุการณ์ลุกลามบานปลายออกไป แล้วมาแก้ไขเหมือนเมื่อเดือนเม.ย.เหตุผลสำคัญที่สุดคือ การประเมินสภาวะเศรษฐกิจเดือนนี้ ทางสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ก็พูดชัดเจนว่า ถ้าการเมืองไม่สะดุด การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในขณะนี้เดินหน้าได้แน่นอน เพราะว่าปัจจัยทั้งภายในและภายนอกที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจเอื้อต่อการฟื้นตัว แต่ถ้ามีเหตุการณ์ความวุ่นวายในทางการเมืองหรืออื่นๆ ในไทย จะเป็นตัวที่สร้างปัญหาต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจอย่างรุนแรง เพราะฉะนั้นรัฐบาลจึงได้ตัดสินใจว่า จะใช้กฎหมายความมั่นคงเข้ามาดำเนินการเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุร้ายขึ้น
นายกฯ กล่าวต่อว่า ขอทำความเข้าใจว่า กฎหมายความมั่นคงเป็นคนละเรื่องกับพระราชกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉิน เพราะในส่วนของพ.ร.ก.ฉุกเฉินเป็นกฎหมายที่เกิดเหตุร้ายแรงแล้วใช้อำนาจพิเศษ แต่พ.ร.บ.ความมั่นคง สถานการณ์ยังไม่จำเป็นจะต้องเกิดขึ้น เพียงแต่ว่ามีความเป็นไป มีแนวโน้มว่าเกิดขึ้นได้ รัฐบาลก็จะประกาศพื้นที่และก็ห้วงเวลา
“รัฐบาลก็ประกาศเขตดุสิต เป็นเขตพื้นที่ความมั่นคง ระหว่างวันที่ 29 ส.ค.จนถึง 1 ก.ย.ก็จะเป็นห้วงเวลาที่เราสามารถบริหารจัดการให้เรียบร้อยในพื้นที่เขตดุสิต นั้นก็คือเราป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาในเรื่องของทำเนียบ และหน่วยงานราชการอาจจะเป็นเป้าหมายของกลุ่มผู้ชุมนุมได้ ผู้อำนวยการที่จะมาดูแลในเรื่องของการบูรณาการ เจ้าหน้าที่ฝ่ายต่างๆ ตามกฎหมายความมั่นคงในรอบนี้ก็คือ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ด้านความมั่นคง ส่วนอำนาจที่จะใช้ตามกฎหมายความมั่นคง ก็จะดูตามสถานการณ์ ซึ่งรองนายกฯสุเทพจะดูอีกครั้งหนึ่ง”นายกฯ กล่าว
นายกฯ กล่าวต่อว่า กฎหมายนี้เราได้เคยใช้มาแล้วที่ภูเก็ตในช่วงที่มีการจัดการประชุมรมต.ต่างประเทศอาเซียน หากดูโดยรวมแล้วไม่ได้กระทบสิทธิและเสรีภาพ แต่ในแง่มาตรการป้องกัน ควบคุม ตรวจตราอาวุธ อาจจะมีความเข้มข้นมากขึ้นบ้าง อาจมีความไม่สะดวกบ้าง แต่ก็ขอความเข้าใจจากประชาชนพื้นที่เขตดุสิตว่า มีความจำเป็นรักษาบรรยากาศของบ้านเมือง และไม่ให้กระทบจากเหตุการณ์ที่เราไม่ปรารถนาทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนจากผลกระทบที่เกิดขึ้นในแง่ของเศรษฐกิจ เพราะฉะนั้นก็ย้ำว่า รัฐบาลเคารพสิทธิเสรีภาพของประชาชน แต่ก็มีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อย แต่ก็ขอความร่วมมือทุกฝ่ายที่จะช่วยกันดูแลไม่ให้เหตุการณ์ลุกลามบานปลาย เพื่อที่จะให้บรรยากาศของบ้านเมืองเอื้อต่อการที่จะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจต่อไป
เมื่อถามว่า จะมีการขอกำลังทหารเข้ามาช่วยด้วยหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า บูรณการกันหมดทั้งทหาร และตำรวจ อยู่ที่ศูนย์อำนวยการจะเป็นผู้กำหนดในการมอบหมายหน้าที่อีกที และไม่มีการห้ามชุมนุม เป็นเพียงการเคลื่อนไหว การใช้เส้นทางก็จะมาดูกัน สามารถชุมนุมโดยสงบที่สนามหลวงได้ และในแง่การดูแลพื้นที่ เนื่องจากศาลมีคำพิพากษาอยู่แล้วว่า การชุมนุมต้องไม่เป็นปัญหาอุปสรรคที่ไม่ว่า จะเป็นข้าราชการการเมืองหรือข้าราชการประจำเข้ามาทำงานที่ทำเนียบรัฐบาลได้ เราก็เพียงแต่ดูแลว่าให้เป็นไปตามเงื่อนไขนี้
ผู้สื่อข่าวถามว่า แล้วกลุ่มคนเสื้อแดงสามารถเคลื่อนมาปิดทำเนียบได้หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า เราก็คงไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์อย่างนั้นอีก เพราะถ้าเกิดเหตุการณ์อย่างนั้นอีกก็จะมีผลกระทบ และมีความสุ่มเสี่ยงต่อการลุกลามของเหตุการณ์ การใช้พ.ร.บ.ความมั่นคงจะเข้มข้นก็ต่อเมื่อการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงมีความเข้มข้นขึ้น ถ้าทุกอย่างเรียบร้อยดีก็ไม่ต้องใช้อำนาจอะไรซึ่งการประกาศพ.ร.บ.ความมั่นคงก็เพื่อต้องการให้เคารพและเป็นไปตามแนวทางของศาล ว่าทุกคนต้องเข้ามาทำงานได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า คิดว่า การประกาศใช้กม.ความมั่นคงเพียงพอหรือไม่ ต้องประกาศอำนาจตามมาหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ก็ดูตามสถานการณ์ ก็จะดูตามสถานการณ์ เราต้องการให้ทุกอย่างเป็นปกติมากที่สุด และเชื่อว่าคนทั้งประเทศไม่ต้องการให้เหตุการณ์ซ้ำรอยเดือนเม.ย.อีก ถ้าเราสามารถตัดไฟตั้งแต่ต้นลมขอความร่วมมือทุกฝ่ายให้เคารพกฎหมาย มันก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน เพราะว่าท่านก็คงจำได้ พอเกิดเหตุการณ์การชุมนุม ผู้ชุมนุมที่เรียกว่า เป็นกลุ่มคนเสื้อแดงก็พยายามบอกว่า การกระทำต่างๆ ไม่ใช่คนเสื้อแดงที่แท้จริง ก็แสดงว่า เขายอมรับว่า เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม เราจำเป็นที่สกัดกั้นไม่ให้มีเลยดีที่สุด ถ้ามาแล้วไม่ผิดกฎหมาย ก็สามารถมาทำเนียบได้ สิ่งสำคัญการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่จะมีการบูรณการกัน มารวมที่ศูนย์อำนวยการว่าใครจะทำอะไร
ต่อข้อถามที่ว่า การที่ประกาศกม.ความมั่นคงจะเป็นการยั่วยุหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ไม่มีการยั่วยุ เหมือนที่ภูเก็ตที่เราต้องการมีความมั่นใจในการรักษาความเรียบร้อย ไม่มีวัตถุประสงค์อื่นเลย และต้องรอการประเมินผลก่อนที่จะประกาศพื้นที่อื่นเป็นพื้นที่ความมั่นคง เช่น ที่ทำเนียบรัฐบาล เรียนตรงๆ รัฐบาลต้องการใช้อำนาจนี้น้อยที่สุดอยู่แล้ว แต่ว่าถ้าปล่อยให้เกิดเหตุการณ์เหมือนเดือนเม.ย.อีก ตนว่ามันเสียต่อประเทศเกินไป ที่จะไปบอกว่า รอให้ถึงตรงนั้นก่อนแล้วประเทศ พรก.ฉุกเฉิน แต่นี้มีรายงานข่าวมาว่าจะยืดเยื้อง บานปลาย จึงต้องมีการป้องกันไว้ก่อน ไม่ใช่ประกาศชุมนุมแล้วประกาศใช้กฎหมายไม่ใช่ แต่มีบางเสียงว่าจะเกิดเหตุการณ์
เมื่อถามว่า จะแยกแยะประชาชนที่ใส่เสื้อประจำวันที่ใส่เสื้อสีแดง และคนกลุ่มเสื้อแดงอย่างไร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เราไม่ต้องแยก และไม่ต้องดูสีเสื้อ เพราะใครมาแล้วไม่ทำผิดกฎหมายก็มาได้ ใครมาทำผิดกฎหมายใส่เสื้อสีอะไรก็ต้องดำเนินการอยู่แล้ว ฉะนั้นมันไมได้มีความสำคัญอะไร และตนไม่ได้สนใจว่า ใส่เสื้อสีอะไร เป็นสมาชิกทางการหรือไม่เป็นทางการหรือไม่ หน้าที่รัฐบาลคือ ดูแลไม่ให้มีการกระทำที่ผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะโดยใคร เมื่อถามว่า แนวโน้มจะมีการปะทะกับเจ้าหน้าที่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า แนวปฏิบัติของเราชัดอยู่แล้วว่า ไม่ต้องการให้มีการปะทะกัน ฉะนั้นจะใช้มาตรการในลักษณะป้องกัน เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่จะเป็นเงื่อนไขในการปะทะกัน
ผู้สื่อข่าวถามว่า สามารถคุยกับแกนนำกับกลุ่มคนเสื้อแดงได้มากน้อยแค่ไหน เพื่อไม่เกิดการปะทะ นายกฯ กล่าวว่า ถ้าเขาจะใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญทำได้อยู่แล้ว แต่สิ่งที่ตนพูดมาตลอดอยู่แล้วคือการให้โอกาสบ้านเมืองเดินไปข้างหน้าในทางที่ดีพอสมควร ถ้าเป็นการชุมนุมตามระบอบประชาธิปไตย ตนยังบอกกับต่างประเทศว่า ไม่ควรมองในแง่ลบ ควรมองเรื่องปกติ เพราะสังคมประชาธิปไตยก็มีสิ่งเหล่านี้ แต่ถ้าเป็นเรื่องปิดถนนมีอาวุธอะไรอย่างนี้ไม่ได้ ฉะนั้นตรงนี้ไม่ได้เจาะจงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ถ้ามีมวลชนกลุ่มไหนอย่าว่าแต่เรื่องนี้เลย ออกมาเรียกร้องเรื่องราคาพืชผลหนี้สิน แล้วใช้หลักการไม่ถูกต้อง รัฐบาลก็ต้องดำเนิน ฉะนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องว่าเป็นคนกลุ่มไหน เราดูที่พฤติกรรม หลักของกฎหมายเป็นอย่างนั้น