xs
xsm
sm
md
lg

“ศิริโชค” ซัด ก.ต.ช.ตรายางไม่รู้จักหน้าที่ - ดันก้น “ปทีป” นั่ง ผบ.ตร.เมินบทบู๊

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ เจ้าของฉายาวอลเปเปอร์นายกฯ
“วอลเปเปอร์” เปิดแผล “พัชรวาท” เรียกกลับบัญชีโยกย้ายโผเล็ก เตือนจะใช้เป็นข้อมูลเปรียบเทียบการโยกย้ายไม่เป็นธรรมปี 51 ตีแสกหน้า ก.ต.ช.ไม่รู้จักหน้าที่ ย้ำนายกฯ เป็นผู้มีอำนาจเสนอชื่อ ผบ.ตร.คนใหม่ ดันก้น “ปทีป” เหมาะสุดเพราะเก่งด้านบริหาร ส่วนบทบู๊ไว้มอบหมายทีหลัง

วันนี้ (25 ส.ค.) นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา เลขานุการส่วนตัวนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ พล.ต.อ.พัชรวาท วงศ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มีคำสั่งให้ผู้บัญชาการตำรวจ หรือผู้ดำรงตำแหน่งเทียบเท่า ผู้บังคับการในสังกัดสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หรือผู้ดำรงตำแหน่งเทียบเท่า ตรวจรายชื่อข้าราชการตำรวจตามบัญชีข้อมูลเสนอปรับเกลี่ยในระดับตำแหน่งเท่าเดิมของข้าราชการตำรวจเพื่อเข้าสู่โครงสร้างใหม่ ที่มีความจำเป็นจะต้องขอยกเว้นคุณสมบัติเฉพาะตำแหน่งต่อ ก.ตร. พร้อมเหตุผลความจำเป็นซึ่งได้ จัดส่งมายัง ผู้บังคับการกองกำลังพล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผ่าน ผบก.กพ.) โดยด่วน ภายในวันที่ 25 ส.ค.2552 นั้นว่า ที่ผ่านมา ก.ตร.มีมติที่ชัดเจนอยู่แล้วว่า กรณีที่มีการยกเว้นแบบพักว่างไว้ ต้องยกเว้นเป็นรายบุคคล จึงมีความจำเป็นต้องเสนอเข้าไปที่ ก.ตร.เพื่ออนุมัติเป็นรายบุคคล ตนเข้าใจว่า สิ่งที่ผบ.ตร.ทำก็คือว่า กรณีที่ต้องมีข้อยกเว้นเฉพาะเป็นรายบุคคลเพื่อที่จะเสนอ ก.ตร.เป็นขั้นตอนตามปกติ

ส่วนที่ก่อนหน้านี้นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ที่ปรึกษา (สบ 10) ในขณะที่รักษาการเป็น ผบ.ตร. เมื่อ ผบ.ตร.กลับมา รักษาการก็ต้องพ้นจากตำแหน่งไปยังเป็นหน้าที่ของ พล.ต.อ.พัชรวาทในการจัดทำบัญชีต่อไป และในฐานะเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดก็ต้องมีหน้าที่ในการจัดทำการโยกย้ายตาม พ.ร.บ.การบริหารราชการ เพราะใน พ.ร.บ.แบ่งส่วนราชการ ซึ่งมีความจำเป็นต้องยกเว้นคุณสมบัติ

นายศิริโชคกล่าวต่อว่า เข้าใจว่าในขณะนั้นต่างคนก็ต่างทำกันในช่วงที่ พล.ต.อ.วิเชียรรักษาการ ก็ได้เตรียมทำการโยกย้ายด้วย พอ ผบ.ตร.กลับมาก็นำกลับมาทำใหม่ และรายชื่อทั้งหมดนายกฯก็ไม่ได้ดู ไม่เกี่ยวกับนายกฯเป็นเรื่องของนโยบาย เพราะเป็นเรื่องของ ก.ตร.ในการกลั่นกรองการโยกย้าย

“เวลานี้โผยังไม่เสร็จมันยังมองยาก สุดท้ายกระบวนการที่ทำไปโปร่งใสหรือไม่ แต่ถ้าดูจากมาตรฐานจากปี 51 ซึ่งจะเห็นได้ชัดว่า มันไม่มีความเป็นธรรมเยอะมาก เพราะมีคนที่ร้องเรียนเยอะมาก มีเป็น 100 คนแล้ว และในส่วนที่ไม่ได้ร้องเรียนอีกเท่าไร เราก็มีความเชื่อมั่นว่า ถ้ามีการตรวจสอบทำอย่างเป็นระบบ การโยกย้ายในปี 52 จะมีความเป็นธรรม และเป็นระบบมากขึ้น และการโยกย้ายตามกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการควรจะเสร็จสิ้น ก่อนมีผลบังคับใช้คือวันที่ 7 ก.ย.เพราะไม่อย่างนั้นเหมือนกับว่าเราทุบบ้านเก่าทิ้งไป และมีบ้านใหม่แต่ไม่มีคนมาลง” นายศิริโชคกล่าว

นายศิริโชคกล่าวว่า ส่วนที่ตนไปร้องเป็นไปตามคำเชิญของอนุ ก.ตร.ที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคงตั้งขึ้นมา ส่วนในเรื่องของกรรมาธิการฯตนก็เพียงไปชี้แจง ยังไม่ได้ส่งหลักฐาน เอกสาร เพราะตนได้บอกไปแล้วว่าทั้งหมดจะเสร็จสิ้นเมื่อโผการแต่งตั้งเสร็จแล้ว ซึ่งสอดคล้องกับโฆษกอนุ ก.ตร. พล.ต.ท.นพดล สมบูรณ์ทรัพย์ ก็ให้ข่าวไปในทิศทางเดียวกันว่า ขณะนี้ท่านกำลังดูการการโยกย้ายในปี 51 เพื่อนำมาเป็นมาตรฐานในการเปรียบเทียบ และปี 52 ท่านก็ยังไม่เห็นบัญชีโยกย้าย อย่างไรก็ตามคงต้องรอให้การสอบปรากกฎชัดก่อนว่า คนที่มีการอ้างถึงได้ตำแหน่งนั้นหรือเปล่า ต้องรอจนกว่าจะเสร็จสิ้น จะมีการสอบผลการโยกย้ายในปี 51 ที่มีความไม่เป็นธรรม และในปี 52 บัญชีโยกย้ายต้องผ่านอนุ ก.ตร.อยู่แล้ว จะทำให้มีความโปร่งใส คนที่สมควรได้ก็ควรจะได้ คนที่ไม่สมควรได้ก็คงจะไม่ได้

“มันป้องกันไม่ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่อย่างน้อยก็คงจะดีขึ้น ไม่ว่าจะใครจะเป็นคนที่ดูแลการแต่งตั้งโยกย้าย ส่วนกรณีที่มีการ้องเรียนว่า มีการตั้งโต๊ะซื้อขายตำแหน่งนั้น ก็เป็นส่วนที่ อนุฯ ก.ตร.คณะพิเศษที่ทำหน้าที่ตรวจสอบข้อกล่าวหา การซื้อขายตำแหน่งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต้องไปดูให้เกิดความโปร่งใส เพราะว่าเมื่อสังคมมีข้อท้วงติงไปก็ต้องทำให้สังคมเกิดความเชื่อมั่น” นายศิริโชคกล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า การประชุม ก.ต.ช.ครั้งต่อไป เกรงหรือไม่ว่าจะมีการท้าทายอำนาจนายกฯเช่นเดียวกับการประชุม ก.ต.ช.ครั้งที่ผ่านมา นายศิริโชค กล่าวว่า ตนมองว่าเป็นเรื่องของระบบประชาธิปไตย ที่ต้องมีคนที่เห็นตรงกันข้าม ซึ่งเป็นหน้าที่ของนายกฯ ที่จะต้องพยายามโน้มน้าว ให้คนเหล่านั้นเห็นพ้อง แต่ต้องเข้าใจกฎหมายได้มอบอำนาจให้นายกฯ เป็นคนคัดเลือกและเสนอให้แก่คณะกรรมการฯ ก.ต.ช.เห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ

“ผมคิดว่าบางคนอาจจะไม่เข้าใจในอำนาจที่ตัวเองมีอยู่ และใช้อำนาจเกินขอบเขต ต้องทำความเข้าใจกับกรรมการ ก.ต.ช.ไม่ใช่ว่าเป็นการโหวตเพื่อจะเอาอีกคนหนึ่ง เพราะ ผบ.ตร.ต้องทำงานกับนายกฯ เพราะฉะนั้นเขาเลยมีระบบคัดเลือก และเสนอชื่อให้ ก.ต.ช.ลงมติเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ เชื่อว่าการประชุม กตช.ครั้งต่อไปนายกฯจะชี้แจงทำความเข้าใจคณะกรรมการ ก.ต.ช.ได้ เพราะก่อนหน้านี้คณะกรรมการ กตช.บางคนอาจมีความเข้าใจที่คาดเคลื่อนจนถึงวินาทีลงคะแนนเสียง” นายศิริโชคกล่าว

เมื่อถามว่า บางข้ออ้างที่พรรคร่วมรัฐบาลระบุว่า พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย รอง ผบ.ตร.ลักษณะบู๊ทำงานด้านความมั่นคงได้ ขณะที่ พล.ต.ท.ปทีป ตันประเสริฐ จเรตำรวจ เก่งงานทางด้านบริหาร นายศิริโชคกล่าวว่า ไม่ใช่เฉพาะในองค์กรตำรวจ แต่ทุกๆ องค์กรต้องเอาคนที่เก่งงานบริหารมา ส่วนเรื่องของการสืบสวนสอบสวนสามารถมอบให้คนอื่นทำงานได้ และที่ผ่านมา ก็มีอดีต ผบ.ตร.หลายท่าน มีความสามารถในการบริหาร และจัดการองค์กรนี้ได้ เพราะงานในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่ได้มีหน้าที่สืบสวนสอบสวนอย่างเดียว ยังมีหน้าที่อื่นๆ อีกหลากหลาย ซึ่งตนคิดว่าต้องเอาคนที่มีความสามารถด้านการบริหาร คิดว่านายกฯ ก็เชื่ออย่างนั้นด้วย ต้องเอาคนที่มีความสามารถในการบริหาร และถ้ามีการแลกกับเก้าอี้กับปลัดมหาดไทย อย่างที่เป็นข่าวจริงก็คงจะชนะคะแนนไปแล้ว
กำลังโหลดความคิดเห็น