ทนายความพันธมิตรฯ เผยขั้นตอนยื่นแจ้งความเอาผิด “หางแดง” ช่วย “พ่อแม้ว” พ้นโทษอาญา ชี้ความผิดสำเร็จเอาผิดทั้งหัวโจก-คนร่วม เจอคดีอาญาช่วยคนร้าย ทั้งดูหมิ่นศาลชัดเจน แนะประชาชนรู้ตัวว่าทำผิดเร่งยับยั้งถอนชื่อ ส่วนคนที่รู้ตัวถูกแอบอ้างเอกสารแจ้งความลงบันทึกป้องกันตัวเองไว้
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง ทนายสุวัฒน์ ให้สัมภาษณ์
วันนี้ (11 ส.ค.) นายสุวัฒน์ อภัยภักดิ์ ทนายความพันธมิตรฯ ให้สัมภาษณ์รายการ “สภาท่าพระอาทิตย์” ถึงขั้นตอนการยื่นแจ้งความต่อแกนนำคนเสื้อแดงที่ล่าชื่อประชาชนเพื่อยื่นถวายฏีกาให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคดีว่า เอกสารที่จะต้องยื่นคือบัตรประจำตัวของผู้ที่จะไปร้องทุกข์ ซึ่งหลังแบบฟอร์มจะมีให้ระบุถึงตัวเลขบัตรประชาชน ทั้งนี้ หากอ่านฎีกาของคนเสื้อแดงจะเห็นว่าความผิดนั้นสำเร็จแล้ว เพราะได้มีการประกาศรายชื่อต่างๆ ในหลายพื้นที่เพื่อระดมประชาชนมาฎีกา การกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำผิดกฎหมาย เพื่อช่วยให้ พ.ต.ท.ทักษิณไม่ต้องรับโทษ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 198 ยังทำผิดในการดูหมิ่นศาลตามมาตรา 189 ซึ่งแตกต่างกับการละเมิดอำนาจศาลที่มีโทษจำคุก 6 เดือน แต่การดูหมิ่นศาลมีโทษที่แรงกว่า
นายสุวัฒน์กล่าวอีกว่า ตามถ้อยคำของฏีกาของคนเสื้อแดงเป็นการดูหมิ่นศาลชัดเจน เพราะกล่าวหาศาลว่าสองมาตรฐาน ไม่ใช้หลักนิติรัฐ นิติธรรม ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่ศาลจะสองมาตรฐาน เราจึงร่างแบบฟอร์มขึ้นมาเพื่อร้องทุกข์ เพราะจะปล่อยให้ผู้ที่ทำผิดคดีอาญาที่เป็นคดีอาญาแผ่นดินไปไม่ได้ การระดมประชาชนมาลงชื่อก็ถือว่าเป็นความผิดแล้ว ยกตัวอย่างเช่น ก.และข.ขี่มอเตอร์ไซค์มาด้วยกัน แต่ไปชนคนตาย แต่ ข.ยอมรับว่าเป็นคนขับเอง ซึ่งถือว่า ข.ได้กระทำความผิดแล้วตามมาตรา 189 เพราะไม่ให้ ก.ต้องถูกจับกุม แม้ต่อมาตำรวจจะไม่เชื่อ แต่ก็ถือว่า ข.ได้กระทำความผิดแล้ว เช่นเดียวกับการช่วยให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ต้องถูกดำเนินคดี การไปประกาศไปล่าชื่อ แม้ว่าจะทรงมีพระราชวินิจฉัยอย่างไรก็ถือว่าได้กระทำความผิดไปแล้วด้วย ทั้งนี้ กรณีนี้ถือว่าเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นทั่วราชอาณาจักร หากคนที่ไปร้องทุกข์กล่าวโทษทราบว่ามีมวลชนคนอื่นร่วมเป็นแกนนำล่าชื่อด้วยก็สามารถที่จะระบุชื่อแจ้งความไปด้วย ซึ่งหลังจากนั้นจะเป็นดุลยพินิจของเจ้าพนักงานที่การพิจารณาว่าจะรวบรวมคดีร่วมกันหรือไม่ เพราะหากคดีถึงที่สุดมีการลงโทษเอาผิด หรือจะเพราะมีการเรียกระดมพลกัน ก็จะสามารถเอาผิดกับคนที่เป็นแนวร่วมได้เช่นกัน เพราะถือว่าได้ร่วมกระทำการด้วยกัน
เมื่อถามว่า มีบางกรณีว่าคนที่เป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทยในขณะนั้น และสงสัยว่าเมื่อสมัครเป็นสมาชิกพรรคจะมีการอาศัยหลักฐานขณะนั้นมาใช้ในการลงชื่อพร้อมหลักฐานหรือไม่ นายสุวัฒน์กล่าวว่า เรื่องนี้สามารถแจ้งความเพื่อลงบันทึกประจำวันไว้ว่าเราได้เคยไปสมัครสมาชิกพรรคในเมื่อนั้น และเกรงว่าจะมีการใช้หลักฐานมาร่วมในการล่าชื่อทูลเกล้าฯ ก็สามารถลงบันทึกไว้ก่อนได้ ซึ่งในการสมัครสมาชิกจะต้องให้ระบุว่าสมัครสมาชิก หากมีแอบอ้างใช้ชื่อมาร่วมถวายฎีกาจริง ผู้นั้นก็โดนข้อหาว่าเป็นการปลอมเอกสาร ใช้ผิดวัตถุประสงค์ก็ถือว่าเป็นความผิด เช่นเดียวกับกรณีหากถูกหลอกให้เซ็น โดยอ้างว่าอาจจะไม่ได้รับเงินกองทุนหมู่บ้าน ก็ให้แจ้งความและสำเนาบันทึกประจำวันนั้นเก็บไว้กับตัวเหมือนเป็นวัคซีนป้องกันตัว
“ส่วนคนที่คิดได้ว่าเซ็นไปแล้วและคิดว่าได้ว่าผิดกฎหมาย ก็ให้ไปแจ้งถอนชื่อเสีย เพราะผู้ใดตั้งใจกระทำความผิดอาญา และต่อมาระงับยับยั้งความผิดนั้นก็ไม่ต้องรับโทษ เช่น เมื่อตั้งใจจะไปยิงคนเขา ไปถึงแล้วกลับใจไม่ยิงก็ถือว่าระงับยับยั้งความผิดเสียเอง ก็จะไม่มีโทษ” ทนายพันธมิตรฯ ระบุ
นอกจากนี้ นายสุวัฒน์กล่าวถึงบทลงโทษในมาตรา 198 และ 189 หากคดีถึงที่สุด การรับโทษระหว่างแกนนำกับคนที่ร่วมลงชื่อ จะแตกต่างกันอย่างไรว่า ถ้าฟังได้ว่าร่วมกัน ศาลก็จะลงโทษเท่านั้น แต่ในชั้นพิจารณาหากระบุว่ารู้เท่าไม่ถึงการณ์ศาลก็อาจจะแยกออกจากกัน จะด้วยไม่รู้ ถูกหลอกหรืออะไร ซึ่งศาลจะพิจารณาเจตนา ว่ากรรมที่เกิดขึ้นจากเจตนานั้นเป็นอย่างไร เจตนาเพียงใด ถ้าไม่เจตนาก็ไม่ผิด ดังนั้น ศาลอาจจะลงโทษผู้ที่ร่วมลงชื่อน้อยกว่าแกนนำคนเสื้อแดง โดยโทษขั้นต่ำของมาตรา 189 นั้นไม่มีโทษขั้นต่ำ คือการช่วยให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ให้ต้องถูกจับคุก มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 4 พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนมาตรา 198 ที่เป็นการดูหมิ่นศาลนั้น จำคุกตั้งแต่ 1 ปี ถึง 7 ปีและปรับตั้งแต่ 2 พัน ถึง 14,000 หรือทั้งจำทั้งปรับ
เมื่อถามว่า กำหนดระยะเวลาในการยื่นแจ้งความ นายสุวัฒน์กล่าวว่า ควรแจ้งก่อนวันที่ 17 ส.ค.ก่อนที่กลุ่มคนเสื้อแดงจะยื่นฎีกา หากหลังจากนั้นจะถือว่าช้าเกินไปแล้ว
ดาวน์โหลดแบบฟอร์มแจ้งความ ที่นี่
ดาวน์โหลดฎีกาคนเสื้อแดงที่นี่