ในที่สุด พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติก็ได้เดินทางกลับจากการไปราชการต่างประเทศเร็วก่อนกำหนด นั่นคือจากเดิมที่เคยระบุเอาไว้ในใบลาพักราชการตามที่นายกรัฐมนตรีเปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า ได้ขอลาพักราชการตั้งแต่วันที่ 5-14 สิงหาคม แต่จะกลับมาร่วมพิธีสำคัญในวันที่ 10-11 สิงหาคม พร้อมทั้งกล่าวในทำนองว่าอาจจะลาพักต่อไปอีก
อย่างไรก็ดี เมื่อบ่ายวันที่ 8 สิงหาคม พล.ต.อ.พัชรวาท ก็ได้กลับมาถึงประเทศไทยและเข้าทำงานที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเมื่อตอนเช้าวานนี้ (10 สิงหาคม) ทำเอาหลายคนกระอักกระอ่วน โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (กตร.) ต้องเกิดอาการ “เสียหน้า” ไม่น้อย
เพราะก่อนหน้านี้ได้ประกาศให้สาธารณะได้รับรู้กันว่า พล.ต.อ.พัชรวาทต้องไปปฏิบัติราชการในต่างประเทศ ทำให้ต้องแต่งตั้ง พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ทำหน้าที่รักษาราชการแทนเป็นการชั่วคราว
แถมยังสำทับอีกว่าจะได้ตัวผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนใหม่ภายในไม่เกินสิ้นเดือนสิงหาคมนี้
ฟังดูขึงขัง มีอำนาจในฐานะที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี!!
แต่ผ่านไปไม่ถึง 5 วัน พล.ต.อ.พัชรวาท ก็กลับมาปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมทั้งออกหนังสือเวียนไปถึงนายตำรวจระดับสูงในสำนักงานให้รับทราบทั่วกันแล้ว
เป็นอันว่าตรงกันข้ามกับคำพูดของนายกรัฐมนตรีแทบทุกอย่าง และที่น่าสนใจไปกว่านั้นก็คือ คำพูดของ พล.ต.อ.วิเชียร ที่บอกว่าตัวเองได้พ้นจากการรักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติแล้วหลังจาก พล.ต.อ.พัชรวาท กลับมาปฏิบัติหน้าที่ รวมทั้งบัญชีโยกย้ายนายตำรวจ หรือ “โผล่าง” ระดับรองผู้บังคับการมาจนถึงสารวัตร และลงมาจนถึงชั้นประทวนรวมแล้วนับหมื่นตำแหน่งที่เคยได้รับคำสั่งจากนายกรัฐมนตรีให้เป็นผู้ดูแลบัญชีโยกย้ายดังกล่าวก็ต้องพ้นมือไปด้วย
นั่นหมายความว่าโผโยกย้ายทุกระดับตั้งแต่ระดับบน “152 นายพล” ที่ผ่านการรับรองจากที่ประชุม กตร.และ “โผล่าง” ระดับรองผู้บังคับการลงมาอีกนับหมื่นตำแหน่งก็ตกอยู่ในมือของ พล.ต.อ.พัชรวาท ไปโดยปริยาย
แม้ว่าสำหรับบัญชี 152 นายพลจะมีปัญหาในเรื่องของการ “ลัดขั้นตอน” คือแต่งตั้งก่อนที่จะกฎหมายปรับโครงสร้างสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 16 สิงหาคม แต่ในที่สุดที่ประชุม กตร.ก็ยืนยันให้ผ่านโดยไม่มีการแก้ไข ซึ่งคราวนั้นก็มีข่าวอื้อฉาวในเรื่อง “เงินสะพัดเป็นพันล้าน” เข้ากระเป๋าระดับบิ๊กในวงการสีกากี
ขณะที่โผล่างถ้าฟังจากปากนายกรัฐมนตรีก็ต้องเข้าใจกันว่างานนี้ต้องมีการ “รื้อใหญ่” แน่ เพราะมีการระบุกันถึงว่ามีบางรายชื่อขาดคุณสมบัติตามที่ กตร.กำหนด แต่ที่ผ่านมาจะอ้างช่วงชุลมุนช่วงปรับโครงสร้างใหม่ “ข้ามผ่าน” ไป
อย่างไรก็ดี เมื่อ พล.ต.อ.พัชรวาท กลับมาปฏิบัติหน้าที่ตามเดิม “โผล่าง” ดังกล่าวที่ก่อนหน้านี้มีการ “ตั้งรอ” ไว้ล่วงหน้าเช่นเดียวกันก็ค้องเดินหน้าเต็มกำลัง ซึ่งจะว่าไปแล้วสาเหตุสำคัญที่ทำให้ร่นเวลากลับมาก่อนกำหนดก็น่าจะมาจากเรื่องการทำบัญชีโยกย้ายนี่แหละ เพราะอาจถูกรื้อใหม่ ดังนั้นจึงต้องกลับมาขวางเอาไว้
ที่สำคัญรวมทุกตำแหน่งแล้วเป็นหมื่นตำแหน่ง ซึ่งไม่รู้ว่ามีเงินสะพัดอีกจำนวนเท่าไหร่ แต่รับรองว่า “ไม่น้อย” แน่นอน และจะเข้ากระเป๋าบิ๊กตำรวจคนไหนบ้างก็ต้องตรวจสอบกันต่อไป
นอกเหนือจากนี้ แม้ว่าไม่มีการระบุไว้ตรงๆว่า พล.ต.อ.พัชรวาท เป็น “ตอ” โดยตรงในคดีลอบสังหาร “สนธิ ลิ้มทองกุล” ก็ตาม แต่จากคำพูดของนายกรัฐมนตรีที่กล่าวว่าเพื่อให้ “คดีเดินหน้า” ต่อไปได้ ก็ทำให้มองเห็นภาพ “บางอย่าง” ที่ซ่อนอยู่
การกลับมาปฏิบัติราชการเร็วกว่ากำหนดจึงปฏิเสธไม่ได้ว่า “ไม่ธรรมดา” และมองได้หลายแง่หลายมุม มุมหนึ่งเข้ามาคุมเกมทั้งในเรื่องบัญชีโยกย้ายทุกระดับเพื่อรองรับโครงสร้างใหม่ และอีกมุมหนึ่งในเรื่องดุลอำนาจ โดยเฉพาะในตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อย่างน้อยหากเจ้าตัวยังอยู่การเปลี่ยนแปลงก็คงมีความยุ่งยากมากขึ้น
ดังนั้น บรรยากาศออกมาในโทนอึมครึมทั้งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติและในรัฐบาล เพราะปฏิเสธความจริงไม่ได้ว่า พล.ต.อ.พัชรวาท เป็นเครือข่ายของ “กลุ่มอำนาจ” เป็นน้องชายของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่เคยออกมาตั้งคำถามในเชิงข่มขู่ว่า “เขาผิดอะไร” มาแล้ว
การกลับมาเที่ยวนี้ทำให้คิดกันไปต่างๆ นานา แต่สำหรับนายกรัฐมนตรีถือว่าเหมือนถูกตบหน้าและถูกลองของ และนอกเหนือจากนี้บรรยากาศที่เกิดขึ้นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติเวลานี้ยังเหมือนกับว่ามีผู้บัญชาการถึง 2 คน อาจสร้างความสับสนให้กับผู้ปฏิบัติงาน
แต่ทุกอย่างขึ้นอยู่กับนายกรัฐมนตรีว่าจะมีความเด็ดขาดจะขจัดปัญหาดังกล่าวข้างต้นได้แค่ไหน หรือเพียงแค่ใช้คำพูดสวยหรู แต่ลงท้ายก็อีหรอบเดิม!!