เพราะรู้ดีว่า หากไม่รีบออกมาประกาศสู้เสียแต่เนิ่นๆ ก็คงหมดสิทธิ์ จะไปถึงเป้าหมายสูงสุดในอาชีพตำรวจ คว้าเก้าอี้ ผบ.ตร.มาครอง เพื่อให้มีชื่อบันทึกฝากไว้ในหอเกียรติยศ ผบ.ตร.จารึกชื่อ
พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร.คนที่ 7
คิดสู้ย่อมมีโอกาส หากไม่เป็นเช่นนี้ เชื่อเถอะว่า “เพรียวพันธ์”อำลาชีวิตราชการในเก้าอี้รองผบ.ตร.แน่นอน
ยกเว้นแต่จะมีการพลิกผันเปลี่ยน “ขั้วอำนาจการเมือง”โดยเพื่อไทยกลับมาเป็นรัฐบาลก่อนที่”บิ๊กอ็อฟ”จะเกษียณอายุราชการ
จึงทำให้ “เพรียวพันธ์”ใช้จังหวะที่อีกไม่กี่สัปดาห์ จะมีการพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายเก้าอี้ใหญ่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ คือ “ผบ.ตร.”
ออกมาฟาดงวงฟาดงา ส่งเสียงขู่เสียแต่เนิ่นๆ
“เพรียวพันธ์”ย่อมคิดแล้วว่า เมื่อไม่มีอะไรจะเสีย และอยู่นิ่งๆ ก็ไม่มีทางที่ส้มจะหล่นใส่ ดังนั้นเมื่อสถานการณ์บังคับทำให้ “เพรียวพันธ์”ต้องชิงเปิดตัวออกมาแบบหลายคนคาดไม่ถึง เพราะเป็นที่รู้กันดีว่าคนอย่าง “เพรียวพันธ์” หากไม่ใช่เป็นการแถลงข่าวผลการจับกุมคดีอาชญากรรม-คดียาเสพติดใหญ่ๆ แล้วยากที่จะมีใครได้เห็นภาพและยินเสียงของนายตำรวจคนนี้
ยิ่งกับประเด็นเรื่องการเมืองแล้ว ไม่ว่าจะเป็นยุคทักษิณ ชินวัตร-คมช.-สมัคร สุนทรเวช-ประชาธิปัตย์ “เพรียวพันธ์”ไม่เคยแสดงท่าทีความรู้สึกใดๆ ให้หลายคนเห็น
ทั้งวันที่เขาถูก รัฐบาล คมช. เด้งเข้ากรุจากเก้าอี้รอง ผบ.ตรไปนั่งตบยุงที่สำนักนายกรัฐมนตรี หรือวันที่น้องสาวสุดที่รัก คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ ถูกศาลอาญาตัดสินจำคุกคดีเลี่ยงภาษีการโอนหุ้นชินคอร์ป “เพรียวพันธ์”ไม่เคยปริปากร้องโวยวาย
แต่มาวันนี้ เมื่อ “เพรียวพันธ์”ตั้งป้อมลุยทุกคนที่ขวางไม่ให้เขาได้เป็น ผบ.ตร.
หลังจากมีคำสั่งจากนาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีไม่ยอมเซ็นแต่งตั้งให้เป็น “รักษาการผบ.ตร.”แทน พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ แต่กลับเป็น พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี
การออกมาครั้งนี้ของ “เพรียวพันธ์” จึงยิ่งทำให้ศึกชิงเก้าอี้ ผบ.ตร.ที่ปกติก็ร้อนแรงอยู่แล้ว ยิ่งดุเดือดมากยิ่งขึ้น
“ครั้งนี้มันสุดทนแล้ว รังแกกันเกินไปแล้ว ผมสู้แน่นอน ผมจะสู้กับผู้มีอำนาจทางการเมือง ผมไม่ได้ผิด เป็นแผนสกัดการตั้ง ผบ.ตร.แน่นอน”
สารพัดถ้อยคำพรั่งพรูจาก “เพรียวพันธ์” ที่สะท้อนความคับแค้นใจของเขาออกมาได้ว่า
ถึงเวลาแล้วที่มันต้องแหลกกันไปข้าง เมื่อข้าไม่ได้มันก็ต้องมีคนถูกถลกหนังกันบ้าง
แน่นอน เมื่อออกมาเคลื่อนไหว ก็อาจได้ใจกลุ่มแนวร่วมทั้งในวงการสีกากี และกลุ่มข้าราชการ-ประชาชน ที่ต้องการให้การแต่งตั้งข้าราชการตำแหน่งสำคัญๆ ต้องยึดหลักสำคัญ
อาวุโส ผลงาน และความเหมาะสม
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า “เพรียวพันธ์”มั่นใจว่าเขามีคุณสมบัติครบถ้วน เลยประกาศท้ารบนาย อภิสิทธิ์ นายกรัฐมนตรีในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ(ก.ต.ช.)
แน่นอนว่า เรื่องนี้ย่อมกลายเป็นประเด็นการเมือง ให้ฝ่ายทักษิณ-เพื่อไทย-เสื้อแดง นำไปขยายผลในการโจมตีอภิสิทธิ์และรัฐบาลได้อีกว่า ที่ไม่ผลักดัน “เพรียวพันธ์” ที่มีอาวุโสอันดับหนึ่งเพราะความที่มีนายสกุล “ดามาพงศ์”
อย่างไรก็ตาม “เรา-ทีมข่าวการเมือง” ขอชี้ว่า การแต่งตั้ง ผบ.ตร.ยึดหลักสำคัญ 3 ประการ คือ อาวุโส ผลงาน และความเหมาะสม ดังนั้นบุคคลที่จะได้รับการพิจารณาขึ้นมานั่งเก้าอี้ ผบ.ตร.จะต้องเพียบพร้อมที่สุด
กรณี “เพรียวพันธ์”อ้างคุณสมบัติเหมาะสมว่ามีอาวุโสและผลงาน แต่สิ่งที่ “เพรียวพันธ์” ไม่เคยบอกความจริงกับสังคม ก็คือการที่เขามีอาวุโสอันดับ 1 ในระดับ พล.ต.อ.ตอนนี้ เป็นการเติบโตในเครื่องแบบสีกากี
ด้วยการทุ่มเททำงานแบบตำรวจอาชีพมาทั้งชีวิต หรือเป็นเพราะการเป็น “ตำรวจการเมือง” จนทำให้เติบโตแบบพรวดพราดแซงหน้าทั้งเพื่อนทั้งพี่ ใน ยุคทักษิณ วางแผนสถาปนา
รัฐตำรวจ
“เพรียวพันธ์”กล้าพูดเต็มปากหรือไม่ว่า เก้าอี้รอง ผบ.ตร.ตอนนี้ได้มาเพราะฝีมือล้วนๆ ไม่มีการเมืองหนุนหลัง
ไม่มีตั๋วการเมืองจากทักษิณเป็น “ใบเบิกทาง”ให้เติบใหญ่จนถึงขั้นสร้างตำนานสะเทือนวงการสีกากี
ข้ามหัวพี่ แซงคิวเพื่อน
ใครๆก็รู้ว่า ทักษิณออกแรงช่วยให้ “เพรียวพันธ์”ขยับจากเก้าอี้ ผบช.ปราบปรามยาเสพติด ไปเป็น ผช.ผบ.ตร.แบบติดไอพ่น ด้วยวิธีการที่ไม่เคยมีมาก่อนในวงการสีกากี นั่นก็คือ
การใช้แรงจูงใจให้ ผช.ผบ.ตร.ที่เหลืออายุราชการอีกไม่มาก และหมดสิทธิ์จะขึ้นเป็นรอง ผบ.ตร. ลาออกจากตำรวจเพื่อไปช่วยราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี แล้วจะได้เปิดตำแหน่ง ผช.ผบ.ตร. และทำให้ “เพรียวพันธ์”สไลด์ขึ้นเป็น ผช.ผบ.ตร.ไปกินแต้มสะสมความเป็นอาวุโสเร็วกว่าตำรวจคนอื่นๆในระนาบเดียวกัน
วิธีการนี้ของทักษิณ ทำให้มี ผช.ผบ.ตร.บางคนยอมลาออก เช่น พล.ต.อ.สุวรรณ สุวรรณเวโช ที่ต่อมาได้ปูนบำเหน็จให้เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญโดยทักษิณจัดให้ และในคราวเดียวกัน พล.ต.อ.ดรุณ โสถติพันธ์ ซึ่งต่อมาก็ได้แรงหนุนให้เป็น กรรมการ ป.ป.ช. แต่ทว่ามีปัญหาในข้อกฎหมายจนอดได้เป็นป.ป.ช.
และเมื่อ “เพรียวพันธ์”เป็น ผช.ผบ.ตร.แค่ 1 ปี 6 เดือนก็นั่งเครื่องบินเจ็ตยี่ห้อทักษิณ ทะยานขึ้นไปเป็นรอง ผบ.ตร.ข้ามหัว พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวศ
จนทำให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ทำจดหมายเปิดผนึกร้องเรียนการแต่งตั้งที่ไม่ชอบธรรมครั้งนี้ จนต่อมาต้องมีการเปิดเก้าอี้จเรตำรวจ(พล.ต.อ.) เพื่อผลักดัน “บิ๊กตู่”ไปรับตำแหน่งดังกล่าวเพื่อยุติการเคลื่อนไหวของเสรีพิศุทธ์
เราขอบอกว่า สิ่งเหล่านี้ “เพรียวพันธ์”ไม่ได้พูดถึงหรือชี้แจงเลยว่า
ตัวเองได้อาวุโสอันดับ 1 ด้วยวิธีการใด ชอบธรรมหรือไม่?
นอกจากนี้ ยังน่าคิดไม่น้อยกับการทำงานในหน้าที่ตำรวจ ซึ่งสมควรได้รู้ความจริงกันว่า แท้จริงนั้นนายตำรวจคนนี้มีความเก่งกาจทุ่มเทให้กับสังคม จนน่าจะเป็นที่พึ่งพิงแก่ประชาชนได้จริงหรือไม่
ผลงาน “เพรียวพันธ์”ที่พอได้รู้ก็คือการจับกุมปราบปรามขบวนการค้ายาบ้า แต่ก็มีคำถามว่าเป็นการเอาฝีมือลูกน้องมาเป็นผลงานตัวเองคนเดียวหรือไม่ เพื่ออ้างความชอบธรรมในการขอขึ้นเป็น ผบ.ตร.
ด้วยการอ้างหน้าตาเฉยว่า มีผลงานโดดเด่น อย่างคดีภาพ 70 ไร่ ที่ “เพรียวพันธ์”ยกให้เป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของตัวเอง
แต่ถาม “เพรียวพันธ์”กลับบ้างว่า หากไม่มีลูกน้อง ไม่มีผู้ใต้บังคับบัญชาที่เป็นตำรวจชั้นผู้น้อย เป็นคนทำงานให้ ต้องยอมเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายปลอมตัวเป็นสายสืบไปอยู่กับพวกค้ายาเสพติด พวกกลุ่มผู้มีอิทธิพล จนหาข่าวและขยายผลการสอบสวนจับกุม เพื่อให้ “เพรียวพันธ์”ได้ออกทีวี มีชื่อลงหน้าหนังสือพิมพ์ในการเป็นประธานจัดแถลงข่าวการปิดคดีใหญ่ๆ
แล้ว “เพรียวพันธ์”จะมีหน้ามีตา มีผลงานไปอ้างหรอกหรือ
การทำงานของตำรวจต้องทำเป็นทีม มีชุดสืบ ทีมสอบสวน มือไล่ล่าแกะรอย มือทำสำนวน งานถึงจะออกมาเป็นผลสำเร็จ แล้วทำไม “เพรียวพันธ์”อ้างว่าทั้งหมดคือผลงานของตัวเองโดยไม่มีการให้เครดิตลูกน้องเลย แบบนี้สมควรหรือไม่
อย่างไรก็ดี การจับกุมปราบปรามยาเสพติดที่เป็นผลงาน “โบว์ดำ”ของ “เพรียวพันธ์”ก็มีอยู่ไม่น้อย หลายคดีจับมาแล้วศาลพิพากษายกฟ้องเพราะหลักฐานไม่เพียงพอ หรือการทำวิสามัญฆาตกรรมแก๊งยาบ้าก็มีข้อน่าสงสัยในประเด็นว่า ฆ่าตัดตอนคู่แข่งทางการเมืองไทยรักไทยหรือเป็นคนค้ายาบ้า? แต่ “เพรียวพันธ์”แกล้งลืมในเรื่องเหล่านี้
ดังนั้นเมื่อ “เพรียวพันธ์” ยกเหตุผลต่างๆ ทั้งเรื่องผลงานและความอาวุโสขึ้นมาพูดเพื่อสร้างความชอบธรรมให้ตัวเอง ก็ควรต้องพูดความจริงทั้งหมด และควรต้องยอมรับความจริงด้วยว่า
ตำแหน่ง-อำนาจ
ที่ทำให้ได้เก้าอี้รอง ผบ.ตร.วันนี้ เมื่อได้มาเพราะแรงส่งการเมือง มาวันนี้ เมื่อทุกอย่างเปลี่ยนไป อำนาจเปลี่ยนมือ แล้วจะมาเรียกร้องขอให้ทุกอย่างต้องยึดหลักอาวุโสเป็นหลัก อันเป็นจุดที่ตัวเองได้เปรียบมากที่สุด
โดยละเลยที่จะพูดถึงว่าอาวุโสนี้ท่านได้แต่ใดมา มันจึงเสมือนพูดความจริงแค่ครึ่งเดียวเพื่อให้ตัวเองได้เปรียบมากที่สุด
ทั้งที่ เวลานี้ยังไม่มีท่าทีใดๆจากฝ่ายการเมืองและคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติว่าจะผลักดันใครเป็น ผบ.ตร. แถมเป็นสิทธิ์ที่ฝ่ายการเมืองจะนำคนที่ตัวเองไว้ใจและคิดว่าจะเป็นผู้นำตำรวจที่มาขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ ของรัฐบาลให้เป็นผลสำเร็จ
ยิ่งกับสถานการณ์ตอนนี้ที่ปัญหาความแตกแยกในสังคมการเมืองยังไม่นิ่ง เสื้อแดงจ้องป่วนตลอดเวลา ผสมกับก็มีการออก หมายจับ นช.ทักษิณ ชินวัตร โดยตำรวจสากลของไทยไปทั่วโลก แต่ก็ยังจับไม่ได้
“เพรียวพันธ์”จะให้หลักประกันได้อย่างไรว่า ถ้าได้เป็น ผบ.ตร.แล้วจะกล้าส่งตำรวจหรือขอความร่วมมือตำรวจสากลทั่วโลกให้จับทักษิณ “ผัวของน้องสาว-พ่อของหลาน”ตัวเองได้ลงคอ
แล้วถ้าเสื้อแดงออกมาป่วนเมือง “เพรียวพันธ์”จะกล้าจัดการหรอกหรือ ในเมื่อเสื้อแดงก็รู้กันดีว่าได้รับแรงหนุนจากคนในครอบครัวชินวัตร-ดามาพงศ์-วงศ์สวัสดิ์
ฉะนั้น ในสถานการณ์บ้านเมืองวันนี้ “เพรียวพันธ์”จึงไม่มีความเหมาะสมที่จะเป็น ผบ.ตร. แม้จะมีอาวุโสมากกว่าคนอื่น