xs
xsm
sm
md
lg

คดี “สนธิ” เจอ “ตอ” เสียเวลา-น่ารำคาญ !?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พัชรวาท วงษ์สุวรรณ
ผิดหวังและเสียใจไม่น้อยกับบทบรรณาธิการของ หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม 2552 ที่ระบุหัวเรื่องเอาไว้ว่า “บทเรียนคดีลอบยิง สนธิ” พร้อมทั้งสรุปความในสาระสำคัญทำนองว่า นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กำลังเสียเวลากับการเข้ามาแก้ปัญหาความอึมครึมในคดีลอบสังหาร สนธิ ลิ้มทองกุล จนไม่มีเวลาไปสะสางปัญหาอื่นๆ ที่สำคัญของชาติ

หรือระบุว่า สนธิ กำลังใช้สื่อในเครือ “เอเอสทีวีผู้จัดการ” ขยายผลจากการทำคดีเพื่อสร้างความกดดันให้ปลด พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ พ้นจากผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อันมีสาเหตุมาจากเรื่อง “ตอ” และเชื่อมโยงไปยังกลุ่ม “อำนาจใหม่” ที่เกี่ยวข้องกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งเป็น “พี่ชาย” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ด้านความมั่นคง และ “เนวิน ชิดชอบ” แกนนำพรรคภูมิใจไทย

อีกทั้งยังตั้งข้อสังเกตว่า หากผลของคดีไม่เป็นไปตามความเชื่อของ สนธิ ซึ่งกำลังจะเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ และเป็นคู่แข่งของพรรคประชาธิปัตย์ และภูมิใจไทย ก็จะไม่หยุดความเคลื่อนไหว และยังกังวลไปว่าอาจจะกระทบกับความสัมพันธ์อันแนบแน่นระหว่างพรรคประชาธิปัตย์ กับกองทัพ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

พร้อมทั้งสรุปตบท้ายว่า นายกฯอภิสิทธิ์ ไม่ควรเข้ามาแบกรับภาระตามแรงกดดันของ สนธิ ซึ่งเป็นผู้เสียหายจนทำให้เสียการบังคับบัญชา และเสียเวลาในการแก้ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ

นั่นคือสรุปสาระสำคัญของบทบรรณาธิการดังกล่าว ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นความเห็นเฉพาะตัวของระดับบรรณาธิการคนหนึ่ง หรือว่าเป็นท่าที และเจตนาของหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจโดยตรงหรือไม่ เพราะถ้าเป็นอย่างหลังก็น่าเสียใจ และผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง ทั้งที่น่าจะเข้าใจและแยกแยะเรื่องราวได้ดีกว่าคนอื่นทั่วไป

เพราะหากพิจารณาจากเหตุการณ์วันที่คนร้ายลงมือลอบสังหาร สนธิ ลิ้มทองกุล เมื่อวันที่ 17 เมษายน ที่ผ่านมา ลักษณะการใช้อาวุธสงครามนานาชนิดระดมยิงนับร้อยนัดกลางเมืองหลวง และที่สำคัญเป็นการลงมือก่อเหตุในช่วงที่กำลังประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน มีกำลังทหาร และตำรวจรักษาความสงบอยู่ทั่วไป แต่คนร้ายยังกล้าลงมือมันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่คนทั่วไปย่อมข้าใจตรงกันว่า เบื้องหลัง “สั่งการ” ย่อมไม่ธรรมดาแน่นอน

ขณะเดียวกัน หากนับจากเหตุการณ์ที่คนร้ายลงมือเมื่อวันที่ 17 เมษายน มาจนถึงวันที่มีการออกหมายจับผู้ต้องหาชุดแรกจำนวน 2 คน ที่เป็นระดับแค่ตำรวจยศสิบตำรวจโท กับทหารยศจ่าสิบเอกเท่านั้น เวลาก็ล่วงเลยผ่านมาถึงกว่า 3 เดือน และจนบัดนี้ก็ยังไม่สามารถจับกุมคนร้ายได้

และยังเป็นช่วง 3 เดือนที่ สนธิ นิ่งเงียบมาตลอด อดทนให้เจ้าหน้าที่ทำงานอย่างเต็มที่ !!

แม้ว่านาทีนี้ไม่จำเป็นต้องบอกถึงสังกัดหรือสีของสองผู้ต้องหาดังกล่าว เพื่อชี้ให้เห็นถึงแบ็กกราวด์ที่ผิดปกติก็ตาม แต่จากการเปิดเผยของ พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รองผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้ควบคุมคดีว่าในการสืบสวนสอบสวนก็ระบุว่าเจอแต่อุปสรรค เจอ “ตอ” มีการข่มขู่ มี “ไส้ศึก” ที่สำคัญมีตำรวจบางคนที่ไม่มีวิญญาณของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ จนทำให้คดีไม่คืบหน้า

นั่นหมายความว่า “ตอ” ที่ว่าย่อมไม่ธรรมดาแน่นอน !!

ถามว่า คดีลอบสังหาร สนธิ ลิ้มทองกุล ทำให้เสียเวลาสำหรับการแก้ปัญหาสำคัญของชาติบ้านเมืองเลยหรือ และถึงแม้ว่าจะตัดความเป็นมาในเรื่องของแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และในฐานะสื่อมวลชนคนหนึ่งที่หลายคนอาจ “หมั่นไส้” ออกไปแล้วก็ตาม แต่การที่มีคนร้ายใช้อาวุธสงครามนานาชนิดระดมยิงเพื่อสังหารอย่างอุกอาจกลางเมืองหลวง ในช่วงที่ประกาศภาวะฉุกเฉิน ก็ย่อมไม่สมควรละเลยไม่ใช่หรือ

เพราะนี่คือการท้าทายระบบนิติรัฐ และการใช้กฎหมายเพื่อควบคุมความสงบเรียบร้อยในบ้านเมือง

ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งเมื่อพิจารณาจากพฤติกรรมแห่งคดีที่คนร้ายใช้อาวุธสงครามไล่ล่าสังหารกันกลางเมืองหลวง โดยทั้งคนร้ายและผู้บงการยังลอยนวล มันย่อมสะท้อนสภาพบ้านเมืองไร้ขื่อแป และไม่กระทบไปถึงการแก้ปัญหาวิกฤตอื่นๆ ในบ้านเมืองเลยหรือ


หากกล่าวเฉพาะ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ในฐานะผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กับกรณีเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551 ล่าสุด คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ลงมติเป็นเอกฉันท์ให้ “เพิ่มข้อหา” ว่ามีความผิดอาญาและวินัยร้ายแรง

นอกจากนี้ พล.ต.อ.พัชรวาท ยังไม่สามารถควบคุมความสงบเรียบร้อยในวันประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา ที่พัทยา จนทำให้การประชุมต้องล้มเลิก บรรดาผู้นำต้องหนีหัวซุกหัวซุน สร้างความเสียหายกับประเทศชาติจนประเมินไม่ได้

ความไร้ประสิทธิภาพและความล้มเหลวที่เกิดขึ้นเป็นความรู้สึกของ สนธิ ลิ้มทองกุล คนเดียวหรือ !!

ดังนั้น บทบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม 2552 ที่สะท้อนออกมาทำนองว่า นายกฯไม่ควรมาเสียเวลากับเรื่องคดีลอบสังหาร สนธิ ลิ้มทองกุล เนื่องจากหมิ่นเหม่ต่อการกระทบความสัมพันธ์ ระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับกองทัพ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จนอาจทำให้รัฐบาลมีปัญหา และอาจกระทบกับปัญหาอื่นของบ้านเมือง ถือว่าเป็นเรื่องน่าเศร้า

เพราะแม้ว่าไม่ควรเปรียบเทียบกันระหว่างเหตุการณ์ที่กลุ่ม “คาราวานคนจน” ภายใต้การบัญชาการของ เนวิน ชิดชอบ ไปปิดล้อมตึกเนชั่น เมื่อ วันที่ 30 มีนาคม 2549 ก็ตาม แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ควรประณาม เพราะเป็นการคุกคามสื่อมวลชน และรัฐบาลต้องเสียเวลามาดำเนินการอย่างจริงจัง โดยไม่ควรมองว่าเป็นเรื่องที่เสียเวลา

ยกเว้นมีเจตนา “บางอย่าง” ซ่อนอยู่เบื้องหลัง !?

กำลังโหลดความคิดเห็น