xs
xsm
sm
md
lg

จับตา... “พลเอกอนุพงษ์” สละเรือหนี “อำนาจใหม่”

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวการเมือง

พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา
ในสภาวะอำนาจกำลังเสื่อม ที่แกนนำ “กลุ่มขั้วอำนาจใหม่” ต่างประสบพบเจอกันถ้วนหน้า

ไล่ตั้งแต่สองพี่น้องตระกูล “วงษ์สุวรรณ” ทั้ง “บิ๊กป้อม” พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม ที่แสดงอาการร้อนตัวเกินงามกับเรื่องการ “ปลดไม่ปลด”น้องชาย พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ จากเก้าอี้ ผบ.ตร.ด้วยการขวางเต็มประตูว่า

“น้องผมผิดอะไร”

แค่นี้ไม่พอยังส่งคนใกล้ชิดอย่างพลเอก นพดล อินทรปัญญา เลขานุการรมว.กลาโหม ออกมาพูดจาทำนอง

“ข่มขู่”

ว่าจะตอบโต้กับทุกฝ่ายด้วยยุทธการทั้งแบบถูกกฎหมายและนอกกฎหมายหากพัชรวาทถูกปลด ทั้งที่ตัวประวิตร-พัชรวาท-นพดลล้วนเป็นเจ้าหน้าที่รัฐด้วยกันทั้งสิ้น แต่กลับบอกจะใช้วิธีการนอกกฎหมายเพียงเพราะต้องการรักษาอำนาจให้กับกลุ่มของตน

จึงถือเป็นสภาวะสุ่มเสี่ยงที่ “ขั้วอำนาจใหม่” จะหลุดวงโคจรการกุมอำนาจฝ่ายความมั่นคง ทั้งกองทัพ-ตำรวจ ในเวลาอันไม่นานนับจากนี้แน่นอน

ส่วนซีกฝ่ายการเมืองของกลุ่มอำนาจใหม่ก็หนักหนาพอกัน เพราะตอนนี้หลายฝ่ายกำลังจับตาผลการตัดสินคดีของศาลฎีกาฯ ในคดีทุจริตกล้ายางพาราในวันที่ 17 สิงหาคม ที่มี นายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย ซึ่งเป็นหัวแถวของฝ่ายการเมืองในขั้วอำนาจใหม่ เป็นจำเลยคนสำคัญในคดีนี้

เพราะหากวันนัดอ่านคำพิพากษา เกิดเหตุอะไรขึ้นกับคดีนี้ จนอาจส่งผลสะเทือนการเมืองชนิดพรรคภูมิใจไทยเกินกว่าจะต้านทานไหว มันจะส่งผลสะเทือนกับการขับเคลื่อนของกลุ่มอำนาจใหม่แน่นอน

เรา-ทีมข่าวการเมือง ขอชี้ให้เห็นว่า อีกหนึ่ง “หัวหอก”ของกลุ่มอำนาจใหม่ กลับเลือกที่จะซุ่มดูสถานการณ์ความขมึงเกลียวของฝ่ายการเมืองกับกองทัพ และจังหวะที่อาจเกิดการพลิกผันในซีกพรรคร่วมรัฐบาลกับคดีความของเนวิน ชิดชอบ ด้วยสไตล์เดิมๆ คือ

เพลย์เซฟ อีกครั้ง

หัวหอกคนที่ว่า ไม่ใช่ใครอื่น

“บิ๊กป๊อก”พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.

ผู้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอันยากที่นายทหารคนไหนจะเลียนแบบนั่นคือ

“กลมกลืนทุกค่าย-เข้าได้ทุกขั้ว”

อันเป็นสิ่งเอกลักษณ์อันโดดเด่นยิ่งนักบนเส้นทางทหารของ ผบ.ทบ.คนนี้ เพราะยามนี้ขนาดที่ “พี่ป้อม”ของ “น้องป๊อก”กำลังเจอมรสุมรอบด้าน อันเป็นผลพวงมาจากคดีสนธิ ลิ้มทองกุล จนทำให้ทั้ง

“พี่ป้อม-น้องป๊อด” กำลังซวนเซเจียนอยู่เจียนไปหลายรอบบน ทว่าเมื่อพี่ป้อมเหลียวคอเพื่อมองหา

“กำลังใจ-แบ๊กอัพ”จากอนุพงษ์

เพื่อหวังให้ “น้องป๊อก”มาช่วยค้ำเก้าอี้อำนาจให้พัชรวาทอีกแรง ด้วยที่รู้ดีว่านายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์เวชชาชีวะเกรงใจอนุพงษ์อย่างมากหลังจากช่วยทำให้อภิสิทธิ์ผ่านพ้นวิกฤตการเมืองช่วงสงกรานต์เลือดมาได้

ด้วยการส่งทหารออกมาช่วยควบคุมสถานการณ์หลังมีการประกาศ พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉิน อันแตกต่างไปจากสมัยสมัคร สุนทรเวช-สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่แม้อดีตนายกรัฐมนตรีทั้งสองคนจะประกาศ พ.ร.ก..ฉุกเฉินเพื่อให้อนุพงษ์ส่งทหารมาปราบปรามกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ชุมนุมในทำเนียบรัฐบาลและหน้าสนามบินสุวรรณภูมิ แต่ไม่เป็นผล

จึงทำให้อภิสิทธิ์ให้ความเกรงใจอนุพงษ์สูงยิ่ง

ดังนั้น “พี่ป้อม”จึงหวังในตัว “น้องป๊อก”อย่างมาก เพราะหากเพียงแค่ “น้องป๊อก”ขยับนิดเดียว “อภิสิทธิ์”ก็คงเลิกความคิดปลดพัชรวาท

แต่อนุพงษ์เลือกที่จะเล่นบทประคองตัว ปล่อยให้พี่น้องวงษ์สุวรรณเผชิญชะตากรรมกันไปเอง จนประวิตร-พัชรวาท ต้องไปพึ่งบริการทางการเมืองจาก “คนเสื้อน้ำเงิน”เพื่อให้เชื่อมต่อไปถึงผู้จัดการรัฐบาล สุเทพ เทือกสุบรรณ เพื่อตอกย้ำ

“ต่อมความทรงจำ –ไม่มีเขาก็ไม่มีเรา”

จึงมิแปลก ที่เมื่อสังคมหนุนหลังอภิสิทธิ์ให้ปลด พัชรวาท แต่สุเทพกลับขวางสุดตัวโดยไม่มีคำอธิบายใดๆ มาแจงต่อสังคมได้ ถึงการไม่ปลดพัชรวาททั้งที่พบความผิดพลาดในการทำหน้าที่เป็น ผบ.ตร.หลายต่อหลายเรื่อง

ดังนั้น ไม่ว่าผลของตำแหน่ง ผบ.ตร.จะเป็นอย่างไร ก็เชื่อเถอะว่านับจากนี้ สายสัมพันธ์แบบพี่แบบน้อง ในกลุ่มอำนาจใหม่ของ “ประวิตร-พัชรวาท”กับ “อนุพงษ์” ไม่เหมือนเดิมอีกแล้วนับจากนี้

เพราะวันนี้ เห็นชัดแล้วว่า เหตุที่อนุพงษ์ เล่นบทลอยตัวในเรื่องนี้ ไม่ใช่เพราะเห็นว่าพัชรวาทปฏิบัติหน้าที่ ผบ.ตร.ไม่ดี ทำงานบกพร่อง ไร้ประสิทธิภาพจึงไม่คิดจะช่วยเหลือ

แต่เป็นเพราะอนุพงษ์ประเมินแล้วว่า ถึงวันนี้ ทั้งประวิตร-พัชรวาท กำลังนับถอยหลังรอการเสื่อมอำนาจและหมดประโยชน์ที่จะคบค้าและพึ่งพิงกันต่อไปแล้ว

จึงเลือกที่จะผละจาก “วงษ์สุวรรณ”แบบค่อยๆ ตีตัวออกห่าง

นี่แหละคือตัวตนของอนุพงษ์ ที่เป็นทหารซึ่งเล่นกับ”เกมอำนาจ”ได้อย่างช่ำชองและมักไม่พลาด

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าจับตามองอีกด้านหนึ่ง ก็คือบทบาทของอนุพงษ์ในทางทหารและการเมือง ว่าเขาจะเลือกอยู่ฝ่ายไหนกันแน่ ระหว่างการเป็น

“ทหารของประเทศชาติ หรือทหารของกลุ่มอำนาจ”ที่รับใช้คนมีอำนาจเพียงไม่กี่คน แบบที่ผ่านมาต่อไปอีกเรื่อยๆ

เพราะถึงตอนนี้สังคมเริ่มตั้งข้อสงสัยกับตัวอนุพงษ์ มากขึ้นทุกเรื่อยๆ กับการเล่นบท

“กลมกลืนทุกค่าย-เข้าได้ทุกขั้ว”

อันเห็นได้จากตั้งแต่สมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ซึ่งกว่าที่อนุพงษ์ในฐานะแม่ทัพภาคที่ 1 ตอนนั้นจะออกมาแข็งขืนกับทักษิณ ทั้งที่ก็เห็นอยู่ตลอดว่า “ทักษิณจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูง”หลายต่อหลายครั้ง ก็พบว่าอนุพงษ์เริ่มขยับในช่วงที่ทักษิณบริหารประเทศไม่ได้แล้ว หลังการออกมาขับไล่ของพันธมิตรฯ

และเมื่อมาอยู่กับรัฐบาล คมช. ที่ล้มรัฐบาลไทยรักไทย แต่เมื่อปฏิวัติหน่อมแน้มของ คมช.ที่อนุพงษ์เป็นกำลังหลักให้กับ คมช.อยู่ด้วยล้มเหลวไม่เป็นท่า แล้วพรรคพลังประชาชน ขึ้นมาเป็นนอมินีสืบทอดอำนาจต่อให้กับระบอบทักษิณ

อนุพงษ์ในฐานะ ผบ.ทบ.ก็กลายเป็นมิตรรักต่างวัยของคนอย่างสมัคร สุนทรเวช ที่ควบเก้าอี้ รมว..กลาโหมด้วยชนิดตะลึงกันทั้งกองทัพ

จนมาถึงรัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่สั่งให้ตำรวจของพัชรวาทออกมาทำร้ายประชาชนเมื่อ 7 ตุลาคม 51 อนุพงษ์ก็ได้แต่นิ่งเฉย ปล่อยให้เลือด ชีวิตของพี่น้องชาวพันธมิตรฯ ต้องสูญเสียเพื่อขับไล่รัฐบาลทรราช แต่อนุพงษ์ก็ทำได้แค่ “ปฏิวัติเงียบ” หน้าจอโทรทัศน์ด้วยการขอให้สมชาย ลาออกเพราะประเมินว่า สมชายไม่สามารถอยู่ในตำแหน่งได้อีกแล้ว แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะสุดท้ายสมชายต้องปิดฉากการเมืองด้วยคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ

ไม่ใช่เพราะแรงบีบของอนุพงษ์ ที่หวังเล่นบทฮีโร่กลางโทรทัศน์

การทำตัวเป็น “ทหารการเมือง”แบบที่ผ่านมาของอนุพงษ์ ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องสำหรับการเป็น “ทหารของแผ่นดิน”ที่ต้องยืนหยัดในหลักการเป็นทหารของพระเจ้าอยู่หัว และทหารของประชาชน

ไม่ใช่”ทหารการเมือง”ที่พร้อมทำงานให้กับทุกขั้ว ขอเพียงแค่ให้ได้อยู่ในอำนาจให้ยาวนานที่สุด

ยิ่งล่าสุด “อนุพงษ์”ได้สร้างความผิดหวังให้กับประชาชนอย่างยิ่ง กับการที่ไม่ยอมออกมาแสดงจุดยืนในการปกป้องสถาบัน ในเรื่อง “กลุ่มแดงทรพี” การล่ารายชื่อประชาชนถวายฎีกาเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษให้กับทักษิณ ชินวัตร

โดยอนุพงษ์อ้างกับสังคมยามเมื่อถูกตั้งคำถามถึงเรื่องการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงว่า จะทำให้ประเทศชาติเกิดความวุ่นวาย-แตกแยก และเป็นการก้าวล่วงพระราชอำนาจ

เขาตอบว่า “ผมในฐานะทหารของชาติและทหารของพระเจ้าอยู่หัว ไม่มีความเห็นครับ”

ทั้งที่การเป็นทหารของชาติ จะต้องมีหน้าที่หลักคือพร้อมปกป้องและพลีกายถวายชีวิตเพื่อปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่เมื่อเรื่องนี้ทุกคนในชาติเห็นพ้องต้องกันว่าการล่าชื่อยื่นฎีกาช่วยทักษิณเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม เป็นการกระทำที่สร้างความระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทและจะทำให้ประเทศชาติเกิดปัญหาความแตกแยกและความวุ่นวายขึ้นอีกครั้ง

สิ่งที่ทุกคนต้องการเห็นคือ จุดยืนของอนุพงษ์ในฐานะผู้นำกองทัพ ที่ต้องออกมายืนหยัดเคียงข้างความถูกต้อง ปกป้องสถาบัน ด้วยการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่นสั่งให้หน่วยราชการในกองทัพไปทำความเข้าใจกับประชาชนทั่วประเทศเพื่อไม่ให้เข้าใจผิดในการลงชื่อถวายฎีกา หรือการใช้สื่อของกองทัพที่มีอยู่จำนวนมากทั้งโทรทัศน์-วิทยุอีกนับร้อยสถานี รณรงค์ให้ประชาชนอย่าไปเข้าใจผิดในเรื่องนี้ ด้วยการไม่ไปร่วมลงชื่อถวายฎีกา

แต่อนุพงษ์ กลับอ้าง “ไม่มีความเห็น”อันหมายถึงการไม่ยอมปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในการปกป้องชาติ และสถาบัน ใช่หรือไม่?

หรือต้องการให้เรื่องนี้บานปลายจน “เสื้อแดง”หยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นเพื่อบิดเบือนและล่วงละเมิดสถาบัน แล้วถึงตอนนั้นค่อยมีความเห็นหรอกหรือ?

สิ่งที่เกิดขึ้น กำลังทำให้นายทหารทั่วประเทศและผู้คนในสังคม กำลังตั้งคำถามว่า

อนุพงษ์ ผบ.ทบ.ที่มาจากทหารเสือราชินี วันนี้ยังเหมือนเดิมหรือไม่?
กำลังโหลดความคิดเห็น