โฆษกส่วนตัวมาร์ค ตำหนิอีเพ็ญยกชั้นพ่อแม้วเทียบคณะราษฎร เย้ยเป็นได้แค่บุรุษคุก เชื่อจัดงานแซยิดให้นายใหญ่ ใช้เงินเป็นตัวล่อตามแผนตากสิน 2 เย้ยกรรมออนไลน์ตามติด “แม้ว” ไปทุกที่ ลั่น ไม่เคยกลัวเงา “นช.แม้ว” แต่กลัวอำนาจเงิน เพราะใช้ซื้อจิตวิญญาณนักการเมืองได้
วันนี้ (22 ก.ค.) นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มคนเสื้อแดงจะจัดงานแซยิดให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯในวันที่ 26 ก.ค.นี้ โดย นายจักรภพ เพ็ญแข ได้ยก พ.ต.ท.ทักษิณ เทียบชั้นกับคณะราษฎรนั้น ตนก็อยากให้ทุกฝ่ายกลับไปดูที่มาและคุณูปการของคณะราษฎรที่มีต่อประเทศชาติ กับพฤติกรรมของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่มีต่อประเทศชาติต่างกันอย่างไร เพราะคณะราษฎรไม่ได้ทำทุกอย่างเพื่อตัวเอง แต่ทำเพื่อประเทศชาติ ในทางตรงข้ามที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ทำทุกอย่างเพื่อตัวเอง ซึ่งต่างกันโดยสิ้นเชิง จึงไม่ควรยกมาเทียบเคียงกับบุคคลในคณะราษฎรที่สังคมให้การยอมรับเป็นถึงรัฐบุรุษ แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นได้แค่บุรุษในคุกเท่านั้นเอง
ส่วนกรณีการทำกิจกรรมของคนเสื้อแดงวันที่ 26 ก.ค.ซึ่งมีการจัดงานโดยใช้เงินจากมูลนิธิไทยคม ซึ่งเป็นเครือข่ายของระบอบทักษิณเป็นหลัก โดยแจ้งว่าจะแจกทุนการศึกษาให้เด็กนักเรียนถึง 6 พันทุนนั้น ก็ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่ที่สอดคล้องกับแผนตากสิน 2 ที่ถูกเปิดเผยออกมาก่อนหน้านี้ ซึ่งทั้งหมดเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ใช้เงินเป็นปัจจัยหลักเห็นได้ชัดว่าวันนี้สมาชิกพรรคเพื่อไทยได้พูดถึงการลงทุนในเหมืองทองในต่างประเทศของ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยบอกว่ามีเงินมากมายที่จะหนุนทางการเมือง โดยสามารถตั้งพรรคได้มากถึง 15 พรรค ซึ่งส่วนตัวเห็นว่าเป็นการตีปี๊บให้ ส.ส.พรรคเพื่อไทย รวมตัวกันเหนียวแน่น จึงอยากเรียกว่าเป็นยุทธการยั่วน้ำลายให้ ส.ส.พรรคเพื่อไทย
นายเทพไท กล่าวต่อว่า การที่กลุ่มคนเสื้อแดงพยายามปลอบใจว่า สิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้รับผลในขณะนี้เป็นเรื่องของวิบากกรรมในชาติปางก่อน ซึ่งจะมีจริงหรือไม่ ตนไม่แน่ใจแต่ชัดเจนว่า สิ่งที่กำลังประสบอยู่นี้น่าจะเป็นจากกรรมของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่เกิดขึ้นในชาตินี้ และเป็นกรรมออนไลน์ ที่สามารถติดตามตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ไปได้ทุกหนแห่ง แม้กระทั่งข้ามน้ำข้ามทะเลไปถึงเมืองดูไบได้ นอกจากนี้ กรณีที่กลุ่มคนเสื้อแดงยังเดินหน้าล่ารายชื่อถวายฎีกาเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ส่วนตัวเชื่อว่าเป็นการนำเรื่องนี้เพื่อชูประเด็นขับเคลื่อนทางการเมืองโดยมีการโฆษณาชวนเชื่อชัดเจนให้เห็นว่ามีการรวมรายชื่อได้ครบ 1 ล้านแล้ว ต่อมาก็บอกอีกว่าจะครบ 3 ล้านและ 5 ล้านตามลำดับ ซึ่งเป็นการหวังผลทางจิตวิทยาให้คนส่วนใหญ่เชื่อว่ายังมีคนรัก พ.ต.ท.ทักษิณ มากมาย แต่ไม่มีการพูดถึงการได้มาของรายชื่อและไม่มีการตรวจสอบว่าถูกต้องอย่างไร หรือไม่
โฆษกประจำตัวนายกฯ กล่าวต่อว่า การล่ารายชื่อยังขยายวงไปถึงวงการสงฆ์ เพราะมีพระสงฆ์ออกมาล่ารายชื่อด้วยถือเป็นครั้งแรกที่มีการนำเรื่องศาสนามาโยงถึงการเมือง จึงขอตั้งข้อสังเกตว่าวันนี้มีการนำสถาบันหลักของชาติคือ ชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ ว่ากลุ่มคนเหล่านี้ได้ดึงมาเกี่ยวข้องกับการเมืองอย่างปฏิเสธไม่ได้ ทำให้คนในชาติแตกแยกเป็นฝักฝ่ายสีต่างๆ ศาสนาเองก็มีการล่ารายชื่อมาสนับสนุนทางการเมือง สถาบันพระมหากษัตริย์เองก็มีการล่ารายชื่อมากดดันต่อรองกับพระราชอำนาจ ซึ่งเห็นว่าน่าเป็นห่วงยิ่ง เพราะสถาบันหลักของชาติทั้ง 3 จะถูกสั่นคลอนจากการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงอย่างแน่นอน แม้กระทั่งนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งเคยเป็นถึงอดีตนายกฯ ผุ้พิพากษาและอดีตปลัดกระทรวงยุติธรรมเองยังเห็นชอบไปกับการล่ารายชื่อนี้ว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว
นายเทพไท กล่าวถึงกรณีการจัดระเบียบของสื่อมวลชน โดยเฉพาะสื่อวิทยุชุมชน ซึ่งพบว่ามีหลายแห่งมีพฤติกรรมเคลื่อนไหวทางการเมืองโดยปลุกระดมก่อให้เกิดภัยต่อความมั่นคงของชาติ ซึ่ง คระกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ได้ตรวจเฝ้าระวังอยู่ราว 7-8 คลื่น แม้พรรคเพื่อไทยจะออกมาตีปลาหน้าไซ ว่า ให้รัฐบาลดำเนินการโดยเท่าเทียมกัน ไม่สองมาตรฐาน ขอยืนยันว่า รัฐบาลมีมาตรฐานเดียวโดยจะดำเนินการอย่างเท่าเทียมกัน โดย กทช.ติดตามตลอดว่าสถานีวิทยุเหล่านี้ฝ่าฝืนวัตถุประสงค์ของการตั้งวิทยุชุมชนมานานแล้ว และคิดว่าจะเอาจริงในการดำเนินการ แม้ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำคนเสื้อแดงพยายามบิดเบือนว่ารัฐบาลปิดกั้นการทำงานของสื่อ ขอชี้แจงว่า รัฐบาลไม่เคยปิดกั้น แต่ให้อิสระมาโดยตลอด แต่การนำเสนอของสื่อต้องอยู่ในกรอบของกฏหมาย หากรัฐปิดกั้น สถานีดีสเตชั่น และวิทยุชุมชนในเครือข่ายระบอบทักษิณก็ไม่มีโอกาสออกอากาศโจมตีรัฐบาลทั้งวันทั้งคืนเช่นนี้ แต่สิ่งที่ถามมาว่า เหตุใดรัฐบาลไม่ดำเนินการกับสถานีเอเอสทีวี ซึ่งเป็นเครื่องมือในการปลุกระดมมวลชนเข้ายึดทำเนียบรัฐบาล และสนามบินสุวรรณภูมิ ตนก็อยากถามนายณัฐวุฒิกลับบ้างว่า พฤติกรรมของสถานีเอเอสทีวี เกิดขึ้นในช่วงรัฐบาลใด ซึ่งเกิดในยุดที่นายณัฐวุฒิเป็นโฆษกรัฐบาลในยุค นายสมัคร สุนทรเวช และ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งเป็นช่วงที่คุณมีอำนาจ แล้วทำไมคุณถึงไม่จัดการกับสื่อเหล่านี้ที่คุณเห็นว่ามีความผิดตามกฎหมาย แต่ในวันนี้รัฐบาลของ นายอภิสิทธิ์ สื่อที่ว่านี้ไม่มีพฤติกรรมปลุกระดมคนมาชุมนุมทำผิดกฎหมายรัฐบาลก็ไม่มีอำนาจจะจัดการ รัฐบาลจะจัดการกับสื่อที่ทำผิดกฎหมายเท่านั้น
“รัฐบาลนี้ไม่เคยกลัวเงาของ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ที่ไม่ประมาท คือ เราไม่ประมาทเงินของ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะเงินเหล่านี้สามารถซื้อจิตวิญญาณ อุดมการณ์ของนักการเมืองบางคน บางกลุ่มที่เลวร้ายยิ่งกว่าการขายตัว ที่ขายแม้กระทั่งวิญญาณและอุดมการณ์ทางการเมือง เรากังวลเรื่องนี้มากกว่า”
ส่วนที่กล่าวอีกรัฐบาลอีกข้อหา คือ รัฐบาลแทรกแซงสื่อของรัฐนั้น ตนขอชี้แจงว่า วันนี้รัฐบาลนี้ถูกวิจารณ์ว่าไม่สามารถนำสื่อของรัฐมาใช้งานได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยไปเสียด้วยซ้ำ หากรัฐบาลแทรกแซงสื่อกระแส หรือผลงานของรัฐบาลจะไม่อยู่ในลักษณะเช่นนี้ ซึ่งต้องยอมรับว่าเราสื่อรัฐบาลในขอบเขต โดยไม่ใช้เป็นกระบอกเสียงของรัฐบาล หากมีการช้จริงก็จะมีการโฆษณาประชาสัมพันธ์ผลงงานของรัฐบาลมากกว่านี้ แต่จะเห็นว่า มีการประชาสัมพันธ์ผลงานน้อยไปด้วยซ้ำ ซึ่งเรื่องนี้ยอมรับว่าต้องปรับปรุง โดยหน่วยงานที่รับผิดชอบควรจะมีประสิทธิภาพมากกว่านี้ ข้อกล่าวหานี้จึงไม่เป็นความจริงตามที่ถูกกล่าวหา