“สุเทพ” ประกาศลาออกจากตำแหน่ง ส.ส.แล้ว ขอนั่งเพียงรัฐมนตรี เผย แจ้งเรื่องต่อ “ชัย” อ้างรับไม่ได้คำตัดสิน กกต.ฟันถือหุ้นบริษัทคู่สัมปทานรัฐ ยืนยันเชื่อตัวเองไม่ผิด อ้างซื้อหุ้นก่อนที่จะมีกฎหมายห้าม ทั้งยังขายไปแล้ว จี้ กกต.รับผิดชอบหากศาลรัฐธรรมนูญเห็นต่าง
วันนี้ (17 ก.ค.) นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ด้านความมั่นคง กล่าวว่า ตนได้ลาออกจากการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสุราษฎร์ธานี เขต 1 เรียบร้อยแล้ว เหตุผลที่ลาออกจากการเป็นส.ส.ก็ได้ทำหนังสือกราบเรียนไปยังประธานสภาผู้แทนราษฎรเรียบร้อยแล้ว โดยได้อธิบายข้อเท็จจริงทั้งหมดให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรได้รับทราบในฐานะประมุขฝ่ายนิติบัญญัติในฐาะนผู้บังคับบัญชาของตน ซึ่งตนถูกกล่าวหาและกกต.ได้มีมติว่า ตนถือหุ้นบริษัทเป็นการขัดข้อบังคับของกฎหมาย ซึ่งได้มีการยื่นหนังสือไปแล้วเมื่อบ่ายของวันนี้( 17 ก.ค.)
นายสุเทพ กล่าวต่อว่า ประการที่ 1 หุ้นทั้งหมดเป็นหุ้นที่ตนซื้อไปเมื่อปีพ.ศ. 2538 และซื้อในตลาดหลักทรัพย์เหมือนกับคนที่ซื้อขายหุ้นทั้งหลาย เพราะเป็นธุรกิจที่คนสามารถซื้อขายได้โดยสุจริต ไม่ได้คิดว่าจะไปเป็นเจ้าของหรือไปมีส่วนจัดการบริหารจัดการบริษัทเหล่านั้นด้วยประการใดทั้งสิ้น เช่น หุ้นที่ถือในบริษัท ทรู คอเปเรชั่น จำนวน 5,000 หุ้น ซึ่งทั้งบริษัทมี 4,500 ล้านหุ้น ดังนั้น 5,000 หุ้นของตนเป็นเพียงแค่เศษฝุ่น และตั้งแต่ซื้อหุ้นมาก็ไม่เคยไปประชุมแสดงความคิดเห็น บริหารจัดการรวมกับทางบริษัทใดๆ ทั้งสิ้น ตอนซื้อหุ้นมาก็นึกว่า พอหุ้นมีราคาสูงขึ้นก็จะขายได้ตอนมีกำไร แต่ว่าตั้งแต่ซื้อมาราคาหุ้นไม่ขึ้นซักที ก็เลยตัดใจไม่ได้เก็บเอาไว้ ซื้อตั้งแต่ปี 2538 ก่อนมีบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยการถือหุ้นของสมาชิกสภาราษฎรออกมาใช้บังคับในปีพ.ศ. 2550 หลังจากที่ซื้อหุ้นแล้ว 12 ปี
นายสุเทพ กล่าวต่อว่า ตลอดเวลา 12 ปี ตนได้แสดงการถือหุ้นกับทางป.ป.ช. เมื่อได้เป็นผู้แทนราษฎร ได้เป็นกรรมการบริหารพรรค เมื่อพ้นตำแหน่งผู้แทนราษฎร กรรมการบริหารพรรคแต่ละสมัย รวมแล้วได้แสดงบัญชีต่อป.ป.ช.12 ครั้ง ซึ่งเป็นการแสดงความสุจริตใจของตน และได้อ่านกฎหมายในมาตรา 48 กฎหมายรัฐธรรมนูญว่า การถือหุ้นที่จะเข้าข่ายผิดกฎหมายต้องเป็นไปในลักษณะที่ตนเข้าไปมีส่วนได้เสียแบบเป็นเจ้าของบริษัท ซึ่งตนก็ไม่ได้เป็น ดังนั้นตนจึงไม่ได้ดิ้นรนในการขายหุ้นนี้ เมื่อมีคนร้องเรียน ตนก็ตัดสินใจแก้ความรำคาญขายไปตั้งแต่ตอนโน้นแล้ว เมื่อปี 2551 แต่เมื่อกกต.ยังวินิจฉัยให้ตนขาดคุณสมบัติขั้นตอนต่อไปก็ส่งเรื่องให้ประธานสภาฯ และนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งคนที่โดนเรื่องแบบตนก็ต้องไปสู้คดีที่ศาลรัฐธรรมนูญ การต่อสู้คดีต้องเสียเวลา รวบรวมพยาน หลักฐาน เอกสาร พยานบุคคล ไปสู้คดีกันที่ศาลรัฐธรรมนูญ
“ผมเองมีภาระหน้าที่เป็นรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ทุกวันก็ทำงานไม่ได้ลืมหู ลืมตา อยู่แล้ว ผมไม่อยากไปเสียสมาธิในการเตรียมคดี เสียเวลากับเรื่องนี้ ผมอยากให้มันจบกรณีของผม ดังนั้นผมจึงตัดสินใจลาออกจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ผมเรียนให้กกต.ได้ยินด้วยว่า ผมเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรติดต่อกันมาถึง 31 ปี ไม่เคยลาออกจากตำแหน่งเลย แต่เมื่อวินิจฉัยผมอย่างนี้ผมก็ลาออก” นายสุเทพ กล่าว
เมื่อถามว่า ปัญหาคือเรื่องของกฎหมายทำให้เกิดความเข้าใจผิดระหว่างกกต.กับปปช. นายสุเทพ กล่าวว่า ก็เป็นเรื่องของคนอื่นว่าจะคิดอ่านกันยังไงก็ว่าไป ที่ตนไม่ได้ให้สัมภาษณ์อะไรตอนแรกเพราะว่า ผมตั้งใจจะลาออกอยู่แล้ว ถ้ากกต.ตัดสินผมอย่างนี้ “มันเป็นการที่ผมยากที่จะทำใจให้รับได้ เพราะผมอ่านกฎหมายมาเป็นอย่างดี แต่เป็นอำนาจของท่านๆ ก็รับผิดชอบของท่านไปก็แล้วกัน” เมื่อถามต่อว่า คิดว่าการลาออกจะหมดภาระไป นายสุเทพ กล่าวว่า ลาออกก็พ้นสภาพแล้วไง ไม่เป็นส.ส. ตนก็ไม่ต้องไปขึ้นศาลรัฐธรรมนูญอีกแล้ว และจบแค่นั้นสำหรับตน ส่วนส.ส.ท่านอื่นก็มีเวลาเพราะปิดสมัยประชุมสภาอยู่ ก็ไปเตรียมดคีของท่านได้ และตนก็ยินดีสนับสนุนให้ท่านสู้คดี
ผู้สื่อข่าวถามว่า ส่วนการส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งซ่อมนั้นจะลงเองหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ยังไม่แน่ ยังไม่รู้ให้เลือกเมื่อไร เอาไว้ก่อน เมื่อถามต่อว่า หากฝ่ายค้านมาทวงถามเรื่องของจริยธรรม นายสุเทพ กล่าวว่า จริยธรรมของตนก็ดีกว่าฝ่ายค้านทุกเวลา ตนไม่ได้ตัดสินลาออกด้วยเรื่องของจริยธรรม งานของตนที่เป็นรองนายกฯก็ปวดหัวมากอยู่แล้ว ความดันขึ้นทุกวันทำงานอย่างนี้ ถ้าตนต้องทำงานเป็นรองนายกฯด้วยและเตรียมสู้คดีอีก อย่างนี้ตนรับไม่ไหว เมื่อถามว่า การลาออกจากส.ส.จะทำให้มีปัญหาภายในพรรคประชาธิปัตย์ด้วยหรือไม่กับการทำหน้าที่ในสภา นายสุเทพ กล่าวว่า พอออกจากส.ส.แล้ว ตนเขียนใบลาว่า มีผลตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เพราะฉะนั้นผมก็ไม่ต้องมาต่อล้อต่อเถียงกับกกต.อีกต่อไปแล้ว ไม่ต้องเป็นคู่ต่อสู้ในศาลกับกกต.สิ่งที่เป็นผลในรัฐบาลก็เสียงที่ยกมือในรัฐบาลก็ขาดไปเสียงหนึ่ง แต่ตอนนี้อยู่ระหว่างปิดสมัยประชุม
เมื่อถามว่า ใน 13 ส.ส.ปชป.จะมีใครลาออกตามอีกหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า เรื่องนี้ตนไม่ได้ปรึกษาใคร เพราะคิดว่าเป็นเรื่องส่วนบุคคล แต่ละคนก็มีปัญหาไม่เหมือนกัน เพื่อนส.ส.คนอื่น ตนอยากให้อยู่ต่อสู้ในศาลรัฐธรรมนูญ เพราะว่าอีก 12 คนไม่ได้เป็นรมต.ไม่ต้องมารับภาระในงานบริหาร เขาก็มีเวลาเตรียมตัวต่อสู้คดีได้ เมื่อถามว่า เรื่องนี้ได้เรียนหัวหน้าพรรคแล้วหรือยัง นายสุเทพ กล่าวว่า ไม่ได้เรียนใครเลย ตัดสินใจเอง ไม่ต้องขออนุญาตกรรมการบริหารพรรค ยกเว้นตอนลงสมัคร ตอนลาออกไม่ต้องขออนุญาตใคร
ผู้สื่อข่าวถามว่า การลาออกของผู้จัดการรัฐบาลจะเป็นปัญหาในการคุมเกมในสภาหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ตนยังเป็นผู้จัดการรัฐบาลอยู่ ไม่มีผลอะไรเลยในสภา ตนยังอยู่ครบถ้วนยังทำงานเป็นรองนายกรัฐมนตรีอยู่ ใครมาเรียกร้องให้ลาออก ก็ไม่ลาออก เมื่อถามว่า หากต่อไปศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตรงข้ามกับกกต.ท่านจะดำเนินการยังไง นายสุเทพ กล่าวว่า “กกต.ก็ลาอออกซิ ถึงรอบกกต.บ้างตอนนั้น และผมก็ไม่ร้องหรอก กกต.เขาก็ละอายตัวเขาเอง” เมื่อถามต่อว่า การลาออกตอนนี้ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยคิดว่า การโจมตีจะน้อยลงหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ตนไม่ได้คิดเรื่องการโจมตีหรือไม่โจมตี เรื่องการโจมตีตนถือว่าธรรมดา เพราะโดนจนชินแล้ว ปล่อย สารพัดจะโดน แต่ที่ลาออกเพราะไม่สามารถแบ่งสมาธิได้จริงๆ เพราะถ้าไปสู้คดีตนก็อยากให้ชนะกกต.นะ
เมื่อถามว่า การลาออกต้องรายงานให้กกต.รับทราบด้วยหรือไม่ นายสุเทพ กล่าว กกต.ไม่ใช่ผู้บังคับบัญชาผม เมื่อถามว่า รู้สึกหวิวหรือไม่ที่อยู่สภามาหลายสิบปี แต่อยู่ดีๆ ไม่ได้ไป นายสุเทพ กล่าวว่า อย่ายึดติด