ยอมเทหน้าตักกันคราวนี้ สำหรับ พรรคประชาธิปัตย์ ในการโปรยยาหอม หว่านเม็ดเงินเพื่อซื้อใจรากหญ้าประชาชนชาวอีสาน
เริ่มจากก้อนแรก กว่า6 .5 พันล้านบาท ในพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ ผ่านโครงการถนนปลอดฝุ่น สถานีอนามัย และแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรกร
ทั้งหมดนี้ถือเป็นโครงการที่เข้าถึงความต้องการของประชาชนในพื้นที่ภาคอีสานได้เป็นอย่างดี เพราะตรงกับสภาพภูมิประเทศในแถบถิ่นอีสาน ที่พวกเขาต้องการแหล่งน้ำ ทางสะดวก สุขภาพดี
นี่จึงเป็นยุทธศาสตร์สำคัญของพรรคประชาธิปัตย์ หลังจากที่ สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เข้ามาคุมบังเหียนในพรรคแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
โดยวางกลยุทธอันแยบยล พร้อมทั้งรื้อยุทธศาสตร์เก่าทิ้ง แทบจะเรียกได้ว่าเปลี่ยนรูปแบบการบริหารจัดการใหม่ทั้งหมด
ผ่านตัวแทนสายตรงของสุเทพ ในพื้นที่เป้าหมายหลัก อุบลราชธานี ยโสธร และอำนาจเจริญ ที่มี ขุนพลอีสาน วิทูรย์ นามบุตร ส.ส.สัดส่วน แท็กทีมกับ อสิระ สมชัย รมว.การพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์
อาศัยช่วงจังหวะที่พรรคภูมิใจไทยเปิดทางให้พรรคประชาธิปัตย์เข้าไปหว่านนโยบาย ในฐานที่มั่นของตัวเอง โดยอาศัยคราบรัฐบาลบังหน้า
จึงไม่รอช้าที่พรรคประชาธิปัตย์จะไขว่คว้าโอกาสเอาไว้ จนเป็นที่มาของ การทัวร์อีสาน ของ “หนุ่มมาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่ใครจะไปคาดคิดว่า คนระดับหนุ่มนักเรียนหัวนอกจากออกซฟอร์ด จะสามารถลงทุนทำได้ขนาดนั้น
ถ้าไม่ใช่เพราะผลประโยชน์ทางการเมือง
แกนนำพรรคประเมินแล้วว่า งานนี้ได้มากกว่าเสีย ชนิดที่ว่า “ยิงปืนนัดเดียว ได้นกถึงสามตัว”
นกตัวแรก-ได้กระชับความสัมพันธ์กับพรรคร่วมรัฐบาลที่ทรงอิทธิพลที่สุดในขณะนี้ คือพรรคภูมิใจไทย ที่ก่อนหน้านี้มีปัญหาระหองระแหงและความหวาดระแวงไม่ไว้ใจกันอยู่
หลังจากที่ภูมิใจไทยผ่ายศึกเลือกตั้งแบบหมดรูปที่ จ.สกลนคร ด้วยข้อครหาว่า ถูกพรรคประชาธิปัตย์ ‘เตะตัดขา’ งานนี้จึงได้เห็นภาพการจูบปากชื่นมื่นของ แกนนำทั้งสองพรรคอย่างดูดดื่ม
นกตัวที่สอง-เป็นการสร้างกระแสความนิยมให้กับตัว นายอภิสิทธิ์ ที่ก่อนหน้านี้เคยถูกตีตรามาตลอดว่า เป็นนักการเมืองที่ไม่ติดดิน แต่งานนี้ อภิสิทธิ์ ได้เปลี่ยนบทบาทเป็น “ไม้ใหญ่โน้มเข้าหายอดหญ้า” หวังสร้างกระแสความนิยม มาร์คให้เทียบชั้น แม้ว
ยอมลงทุนนั่งอีแต๋น คลุกฝุ่น เบิบข้าวเหนียว ส้มตำ ไก่ย่าง แบบบ้านๆ พร้อมทั้งปล่อยลูกอ้อน ขอใจคนอีสานในวลีเด็ด “ซำบายดีบ่” เล่นเอาพ่อใหญ่แม่ใหญ่ปลื้มไปตามๆ กัน
ถึงขนาด วิทูรย์ นามบุตร ขุนพลอีดสาน ออกอาการหน้าชื่นมื่น ว่า งานนี้สร้างกระแส “มาร์คฟีเวอร์” ไม่แพ้ ราชาเพลงป๊อบ ไมเคิล แจ๊กสัน มีสิทธิ์ทำเอา แดงฝ่อไปทันตาเห็น
นกตัวที่สาม –แม้จะเป็นการลงพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ แต่พรรคคาดหวังว่าจะช้อนเก็บคะแนนนิยมให้กับรัฐบาลภายใต้การนำของพรรคประชาธิปัตย์ในพื้นที่ภาคอีสานที่ยังพ่ายแพ้กระแสโฟนอิน ของ นช.ทักษิณ ชินวัตร อยู่หลายขุม
นี่..นับเป็นแผนการอันแยบยลของพรรคประชาธิปัตย์ ในการล่อให้ภูมิใจไทยวางใจก่อนที่จะช้อนเก็บคะแนนความนิยมมากอดไว้ให้อุ่นใจ
เหตุเพราะเป้าหมายลึกๆแล้วคือ ต้องการขยายฐานที่มั่นเดิมจาก อุบลราชธานี อำนาจเจริญ และยโสธร ให้แผ่ขยายเต็มพื้นที่อีสานใต้ ซึ่งถือเป็นพื้นที่ของภูมิใจไทย ก่อนที่จะตีกินไปถึงอีสานเหนือที่เป็นฐานเสียงหลักของเพื่อไทย
ดังนั้น พรรคประชาธิปัตย์จึงใช้กลยุทธ์ยืมมือ ภูมิใจไทยตี กับ เพื่อไทย แทน
เพราะค่ายสะตอหวังคะแนนความนิยมในตัวพรรคมากกว่าที่จะหวังได้ที่นั่งส.ส.แบบเขตเพิ่มขึ้น
จึงเป็นเหตุผลที่ สุเทพ ต้องลงมาเล่นเอง กำกับเอง โดยไม่หวังพึ่งพา ขุนพลอีสานรุ่นลายคราม อย่าง สุทัศน์ เงินหมื่น อดีตรองหัวหน้าพรรค อีกต่อไป
แม้จะมีปฏิกิริยาอย่างแรง จากขุนพลลายครามผู้นี้ ที่ออกอาการฟาดงวงฟาดงา ปูดข่าวหยั่งกระแสเรื่องจะลาออกจากพรรคไปซบพรรคคู่แข่ง แต่ก็ไม่ได้อยู่ในสายตาของคนอย่างสุเทพ แต่อย่างใด
เหตุเพราะเคยให้โอกาสพิสูจน์ฝีมือหลายๆครั้งแล้ว แต่ก็ไม่สามารถปักธงในพื้นที่อีสานได้ ผลงานที่ผ่านมาคือทำได้เพียงเขตเดียว คือพื้นที่ของลูกชายตัวเอง อภิวัฒน์ เงินหมื่น เท่านั้น
ขณะที่ขุนพลอีสานสายใกล้ชิด สุเทพ อย่าง วิทูรย์ นามบุตร สามารถทำที่นั่งเพิ่มขึ้น ในพื้นที่ อุบลราชธานี และยโสธรได้อย่างใจ
ดังนั้นสุเทพ จึงมั่นใจในแนวทางของตัวเอง โดยการใช้ หนุ่มมาร์ค เป็นตัวชูโรงในการเดินสายขายนโยบายของรัฐบาล พ่วงไปกับนโยบายของพรรคให้กับคนอีสาน
โดยใช้ บุรีรัมย์โมเดล เป็น Pilot Project จัด Reality show เพื่อโปรโมตนายกฯ มาร์ค และนโยบายของรัฐบาลสู่สายตาประชาชน ซึ่งแผนนี้ ทักษิณ ชินวัตร เคยประสบผลสำเร็จอย่างท่วมท้นมาแล้ว
แม้ว่าพรรคประชาธิปัตย์ จะติดปัญหาเรื่อง กลุ่มต่อต้านอย่างมวลชนเสื้อแดง เป็นอุปสรรคขัดขวางทำไม่สะดวกอย่างใจนึกก็ตาม แต่แนวทางนี้จะทำให้คนอีสานเปิดใจรับ “มาร์ค” และพรรคประชาธิปัตย์มากขึ้น เพื่อต่อสู้กับกระแสการปลุกปั่นให้คนอีสานเกลียดพรรคประชาธิปัตย์ ที่หลายปีผ่านมายังไม่สามารถลบล้างออกไปได้
จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ พรรคประชาธิปัตย์ต้องทุ่มทุนมหาศาล เพื่อซื้อใจคนอีสาน โดยจะทำงานควบคู่ผ่านนโยบายของรัฐบาล โดยเฉพาะโครงการนโยบายไทยเข้มแข็ง และงบประมาณปี 2553
พร้อมกันนี้พรรคประชาธิปัตย์จะมีการจัดวางกองกำลังพลใหม่ในอีสานทั้งหมด พร้อมทั้งจัดหาตัวผู้สมัครใหม่ ซึ่งในระหว่างนี้จะให้โอกาสอดีตผู้สมัครที่มีคะแนนรองคู่แข่ง ทำงานในพื้นที่ พร้อมเป็นสปายรายงานกระแสความนิยมต่อพรรค หากยังไม่กระเตื้องก็พร้อมทีจะโละทิ้ง หาคนใหม่ทันที
กำลังขุนพลหลักๆในขณะนี้ ยังคงมอบหมายให้อยู่ในการดูแลของ ไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ รองหัวหน้าพรรคภาคตะวันออกฉียงเหนือ ที่จะทำงานร่วมกับส.ส.สัดส่วนของพรรค เช่น กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ พ.อ.วินัย สมพงษ์ วิทูรย์ นามบุตร และอิสระ สมชัย
ทั้งหมดนี้จะเป็นทีมเวิร์กที่ร่วมกันปักธงในพื้นที่อีสาน เพื่อเป้าหมายขยายที่นั่งให้ได้มากว่าเดิม อย่างน้อย 12 เขต และเพิ่มส.ส.ในระบบสัดส่วนให้มากขึ้น เพราะฐานะคะแนนความนิยมในพรรคประชาธิปัตย์ในตอนนี้ยังอยู่แค่เขตอำเภอเมืองเท่านั้น ส่วนเขตรอบนอกยังถือว่าหินมาก ยากที่จะเจาะเข้าถึง
จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ออกมาขยับตัว ลงพื้นที่ที่บุรีรัมย์ เพื่อเอาใจพรรคร่วมก่อน จากนั้นก็ขยับไปยังพื้นที่ของตนเอง และค่อยๆรุกคืบไปทั่วทั้งประเทศ โดยมี “หนุ่มมาร์ค” เป็นจุดขายเหมือนเดิม
ท่ามกลางมรสุมรอบด้านที่พรรคประชาธิปัตย์จะต้องรีบตักตวงช่วงชิงกระแสในช่วงที่ยังเป็นรัฐบาลให้มากที่สุด เพราะโอกาสไม่ได้มีบ่อยนัก
อย่างน้อยก็หวังเป็น ‘น้ำซึมบ่อทราย” ให้พรรคประชาธิปัตย์ได้เข้าไปนั่งกลางใจคนอีสาน เพราะสถานการณ์ขณะนี้ช้าไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
ยิ่งช่วงนี้กลิ่นอายกระแสยุบสภาพัดโชยใกล้เข้ามาทุกที!