“ทนายกู้ชาติ” เชื่อมั่นพันธมิตรฯ ชุมนุมที่สุวรรณภูมิไม่เข้าข่ายก่อการร้าย เพราะไม่ได้สร้างความเสียหาย หลังหยุดชุมนุมเปิดใช้สนามบินได้ทันที ขณะมาตรา 135/1 ของ พ.ร.ก.ก่อการร้าย ระบุชัดการชุมนุมเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมไม่เข้าข่าย ยันมีหลักฐานญาติ “ไข่แม้วดำ” สั่งปิดสนามบิน โยนบาปให้พันธมิตรฯ ด้านอดีตอธิบดีกรมตำรวจระบุเป็นการใส่ร้ายด้วยข้อหาเลื่อนลอย
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ "รู้ทันประเทศไทย"
ในที่สุดตำรวจก็ออกหมายเรียกแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและผู้ปราศรัยบนเวทีที่สนามบินดอนเมือง และสุวรรณภูมิ ระหว่างการชุมนุมขับไล่รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เมื่อปลายปี 2551 ในข้อหามั่วสุม ใช้กำลังประทุษร้าย และอีกหลายข้อหารวมทั้งข้อหาหนักที่สุดคือก่อการร้ายซึ่งมีโทษสูงสุดถึงขั้นประหารชีวิต อย่างไรก็ตาม นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความพันธมิตรฯ มีความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมว่าการชุมนุมในสนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมืองของพันธมิตรฯ นั้นไม่เข้าข่ายก่อการร้ายอย่างแน่นอน
เรื่องดังกล่าว นายสุวัตรเคยพูดไว้โดยละเอียดทางรายการ “รู้ทันประเทศไทย” ดำเนินรายการโดย ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง และนายสันติสุข มะโรงศรี ออกอากาศทางเอเอสทีวี เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2551 โดยมี พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ อดีตอธิบดีกรมตำรวจ มาร่วมรายการ ซึ่ง พล.ต.อ.ประทินในฐานอดีตบอร์ดการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยก็เห็นเช่นกันว่า พันธมิตรฯ ไม่ได้กระทำผิดในข้อหาก่อการร้ายแต่อย่างใด
นายสุวัตรยืนยันว่า พันธมิตรฯ ไม่ได้ปิดสนามบินตามที่มีการกล่าวหา โดยมีเหตุการณ์ที่ไล่เรียงได้ วันนั้น (25 พ.ย.) พันธมิตรฯ จะไปขัดขวางการประชุม ครม.ที่ทำเนียบชั่วคราว สนามบินดอนเมือง แต่แล้วก็ไม่มีการประชุม โดยมีข่าวว่าจะประชุมที่กองทัพไทย แต่เมื่อไปที่กองทัพไทย ก็ไม่มีการประชุม พอดีมีข่าวว่านายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น จะเดินทางกลับมาจากเปรู ซึ่งมีข่าวว่าอาจจะลงที่สนามบินสุวรรณภูมิหรือดอนเมือง จึงไปชุมนุมในลักษณะล้อมอยู่ข้างนอก ไม่ได้เข้าไปข้างใน แม้แต่การชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาลก็ใช้ที่สนามหญ้า การไปสุวรรณภูมิก็ต้องการไปอยู่ข้างหน้า
นายสุวัตรกล่าวต่อว่า วันนั้นที่พันธมิตรฯ ไป มีกลุ่มคนขับแท็กซี่ชุมนุมอยู่ก่อนแล้วและมาไล่ตีพันธมิตรฯ บางส่วน แล้วหลังจากนั้นนายเสรีรัตน์ ประสุตานนท์ ผอ.สนามบินสุวรรณภูมิ ก็ประกาศปิดสนามบินทันที อ้างว่ากลัวความวุ่นวาย และผู้โดยสารไม่ได้รับความสะดวกสบาย แต่จริงๆ แล้ว ที่ตนรู้มานายเสรีรัตน์ (ญาตินายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำคนเสื้อแดง) ต้องการจะโยนบาปให้พันธมิตรฯ เพราะการปิดสนามบินส่งผลกระทบมาก รวมถึงผู้สนับสนุนพันธมิตรฯ ด้วย แต่ความจริงแล้วพันธมิตรฯ ต้องการไปอยู่ข้างหน้า โดยที่ผู้โดยสารที่อยู่ข้างในสามารถออกมาได้ คนที่จะเข้าไปก็เข้าไปได้
ระบบขนส่งสาธารณะไม่มีอะไรที่พันธมิตรฯ เข้าไปแตะ ไม่ว่าจะเป็นรันเวย์ งวง ตัวเครื่องบิน หอบังคับการบิน แต่นายเสรีรัตน์ประกาศปิด ก็หยุดทำงานหมด ผู้โดยสารที่ขึ้นเครื่องแล้วก็สั่งให้ลง ผู้โดยสารบนเครื่องที่อยู่บนท้องฟ้าก็ไม่มีที่ลง เป็นการปิดโดยไม่วางแผนอะไรรองรับ แทนที่จะหาที่อื่นให้ลงเพราะประเทศไทยมีสนามบินนานาชาติตั้งหลายที่ แต่กลับประกาศปิดเช่นนี้ นายเสรีรัตน์ต้องรับผิดชอบ
นายสุวัตรฯ กล่าวอีกว่า เท่าที่ทราบมาในบอร์ดของการท่าฯ ได้ตำหนิการกระทำของนายเสรีรัตน์ และเขาจะต้องรับผิดชอบ ซึ่งศาลจะเป็นคนพิสูจน์เองว่าใครควรรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น ซึ่งผู้ส่งออก ผู้โดยสารทั้งจะไปจะกลับ สามารถฟ้องสนามบินได้ ถ้าจะฟ้องพันธมิตรฯ ด้วย เราก็พร้อมจะพิสูจน์ ศาลจะบอกว่าสนามบินปิดเพราะใคร
พล.ต.อ.ประทิน ในฐานะอดีตบอร์ดของการท่าอากาศยานกล่าวว่า จากหลักฐานวันนั้น เมื่อสนามบินถูกสั่งปิด ผู้โดยสารที่อยู่บนเครื่องที่กำลังจะบินขึ้นออกไป ต้องกลับมาอยู่ในสนามบิน ก็ยังเข้ามาได้ ซึ่งถ้าพันธมิตรฯ ไปขัดขวาง ผู้โดยสารเหล่านั้นก็ไม่สามารถกลับเข้ามาได้ เอาไปพักตามโรงแรมไม่ได้ แสดงว่าถ้าเครื่องบินจะขึ้นลงก็ทำได้ ซึ่งความจริงถ้าจะปิดต้องแจ้งล่วงหน้า เพราะพันธมิตรฯ จะไปบอกเป็นชั่วโมง และตอนไปก็ไม่ได้บอกว่าจะไปขัดขวางเครื่องบินไม่ให้ขึ้นลง แต่ไปเพื่อต้อนรับนายสมชาย ถ้าผู้บริหารมีวิธีการจัดการที่ดี ความเสียหายจะไม่เกิดแน่นอน เพราะพันธมิตรฯ ไม่ได้เข้าไปในส่วนเช็กอินหรือตรวจคนเข้าเมือง นอกจากนี้ ระบบข้างในก็ไม่มีอะไรเสียหาย หลังจากหยุดชุมนุมแล้ว ก็สามารถเปิดใช้ได้เลย
นายสุวัตรกล่าวต่อว่า การตัดสินใจปิดสนามบินนั้น ตนไม่เชื่อว่านายเสรีรัตน์จะตัดสินใจเอง เพราะนายเสรีรัตน์เป็นพี่ชายของนายศรีวิไล ประสุตานนท์ ภรรยาของนายวีระ มุสิกพงศ์ ผู้ดำเนินรายการความจริงวันนี้ และอดีตแกนนำ นปก. ซึ่งหลังปิดสนามบินก็มีการโยนบาปให้พันธมิตรฯ ทันที ทั้งที่เราไม่ห้ามคนเข้า-ออก ไม่ได้ไปไล่ทำร้ายใคร ไม่เหมือนที่พวกเขาเอาหินไล่ทุบรถ ส.ส.เมื่อวันที่ 15 ธ.ค. ขณะที่ของเรา วันที่ 7 ตุลาฯ มีการห้ามแม้แต่รั้วสภาก็ไม่ให้ไปแตะ เราไปสุวรรณภูมิก็เช่นกันเราไม่ปิดทางเข้าออก ไปรอแค่นายสมชายเท่านั้น ดังนั้นที่มากล่าวหาเราเรื่องนี้ เราจะฟ้องแน่นอน
ส่วนกรณีที่ตำรวจนำเอากรณีการไปชุมนุมหน้าสนามบินไปตั้งข้อหาว่าพันธมิตรฯ เป็นผู้ก่อการร้ายนั้น พล.ต.อ.ประทิน กล่าวว่า เหตุการณ์ที่สนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมือง การที่ตำรวจเอามาพูดอย่างนั้นไม่สมเหตุสมผล มันไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะบอกว่าพันธมิตรฯ เป็นผู้ก่อการร้าย ภาพที่ปรากฏไม่ได้ไปยึดสนามบินเพื่อขัดขวางเครื่องบินไม่ให้ขึ้นลง แต่ไปต้อนรับนายสมชาย จึงไม่ถือว่าเป็นผู้ก่อการร้าย แถมตำรวจยังไปข่มขู่ห้างร้านที่สนับสนุนพันธมิตรฯ ว่าสนับสนุนก่อการร้าย เอา 66 บริษัทไปให้ ปปง.เพื่อตรวจสอบยึดทรัพย์ ยิ่งไปกันใหญ่
“การกล่าวหาว่าพันธมิตรฯ เป็นกบฏ ศาลบอกแล้วว่าเป็นข้อกล่าวหาที่เลื่อนลอย ไอ้นี่ยิ่งกว่าเลื่อนลอยอีก เลื่อนลอยคือมันไม่มีหลักฐาน อันนี้ก็แย่อยู่แล้ว ผมมาเห็น พล.ต.อ.จงรัก จุฑามาศ ขออ่าน “จุฑามาศ” ก็แล้วกัน หรือ่านจุฑาหมาด เพราะไปดำน้ำมาใหม่ๆ นี่ให้ตำรวจไปงมอาวุธในคลอง ทั้งที่เขาน่าจะรู้ว่า ในช่วงที่พันธมิตรฯ อยู่ในทำเนียบ ตำรวจรายล้อมอยู่ตลอด 24 ชั่วโมง ถ้าเผื่อพันธมิตรฯ เอาอาวุธไปทิ้ง ไม่เห็นเลยหรือ อันที่ 2 แสดงว่าการข่าวของตำรวจไม่มีเลย อยากจะโชว์อะไรก็เอาความโง่เง่า ให้คนเขาหัวเราะกันเล่น”
พล.ต.อ.ประทิน กล่าวต่อว่า การพูดอย่างนี้เป็นการใส่ร้ายว่าพันธมิตรเป็นผู้ก่อการร้าย ประชาชนทั่วไปเห็นเลยว่า สภาพพันธมิตรฯ ไปนอนที่สนามบิน มีแต่คนเฒ่าคนแก่ ขึ้นไปร้องเพลง ไม่ได้ทำอะไรเลย และที่สำคัญที่สุด ตอนไปอยู่เป็นช่วงที่ผู้อำนวยการการท่าฯ มีการสั่งปิดสนามบินแล้ว นอกจากนี้ เมื่อพันธมิตรฯ ถอนการชุมนุมแล้ว สนามบินก็สามารถใช้การได้ทันที
พล.ต.อ.ประทิน กล่าวว่า ถ้าเป็นการยึดสนามบินโดยมีการเรียกร้องข้อแลกเปลี่ยน ต่อรองว่าจะเอาไอ้นั่นจะเอาไอ้นี่ เช่น ปิดสนามบิน หรือจี้เครื่องบินเพื่อให้ปล่อยตัวนักโทษ นี่จึงจะเป็นการก่อการร้าย ส่วนการเรียกร้องให้นายกฯ ลาออกก็เป็นการชุมนุม และคนที่ปิดสนามบินไม่ใช่พันธมิตรฯ มีการสั่งปิดก่อน แล้วพันธมิตรฯ เข้าไปชุมนุม
นายสุวัตรกล่าวเพิ่มเติมว่า ข้อหาก่อการร้ายนั้นมีขึ้นในสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกฯ หลังจากมีเหตุก่อการร้ายที่นิวยอร์กวันที่ 11 ก.ย.2544 และทำขึ้นอย่างรีบๆ โดยออกเป็นพระราชกำหนด มีมาตรา 135/1 ตั้งข้อหาผู้ก่อการร้าย ซึ่งข้อหาก่อการร้ายนั้น ผู้คนโดยทั่วไปก็จะต้องนึกถึงกลุ่มตอลีบาน กลุ่มอัลกออิดะห์ พวกวางระเบิด เผา อาวุธปืนครบมือ พันธมิตรฯ มีแต่มือตบ ถ้ามาตั้งข้อหาการก่อการร้ายนี่ ไม่ต้องเป็นนักกฎหมายหรอก ตาสีตาสา ยายมียายมาก็ตัดสินได้ว่าไม่ใช่
อย่างไรก็ตาม สำหรับมาตรา 135/1 ซึ่ง นายแพทย์เหวง โตจิราการ เอาไปแจ้งความอ้างว่าพันธมิตรฯ ทำความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ระบบการขนส่งสาธารณะ ระบบโทรคมนาคม หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะ เขาแจ้งอย่างนี้ แล้ว พล.ต.อ.จงรักรับลูกเลย แล้วจะส่ง 66 บริษัทจะให้ ปปง.ตรวจเงินยึดทรัพย์
แต่ในข้อเท็จจริงวันที่ 3 ธ.ค.หลังจากพันธมิตรฯ มอบพื้นที่คืน ถอนตัวออกมา นายสันติ พร้อมพัฒน์ รักษาการ รมว.คมนาคมขณะนั้นให้สัมภาษณ์เลยว่า ไม่มีอะไรเสียหาย ใช้ได้เลย ทั้งดอนเมืองและสุวรรณภูมิ เพราะฉะนั้นจึงถือว่าไม่มีอะไรเสียหายร้ายแรง ซึ่งคำว่าร้ายแรงแค่กระจกแตกบานเดียวก็ไม่ใช่ และความผิดฐานก่อการร้ายตามกฎหมายมาตรา 135/1 นั้น ต้องการเจตนาพิเศษ ไม่ใช่เจตนาธรรมดา จึงจะเข้าข่ายก่อการร้าย แต่พันธมิตรฯ ไม่ได้มีเจตนาพิเศษ
“มิหนำซ้ำ วรรคสุดท้ายของมาตรานี้ มีเหตุยกเว้นความผิดของกฎหมายมาตรานี้ เขาเขียนเลยว่า การกระทำในการเดินขบวน ชุมนุมประท้วง โต้แย้ง หรือเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องให้รัฐช่วยเหลือหรือให้ได้รับความเป็นธรรมอันเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ไม่เป็นการกระทำความผิดฐานก่อการร้าย ชัดเจน”
นายสุวัตรกล่าวต่อว่า การกระทำของตำรวจยังเข้ามาตรา 200 ตั้งข้อหาเกินจริง มีโทษอีก เพราะเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดนมาตรา 157 ด้วย
ด้าน พล.ต.อ.ประทินกล่าวว่า ข้อหาก่อการร้ายนั้นตำรวจดำเนินการตามการแจ้งความของหมอเหวงโดยที่ยังไม่มีการสอบสวนเลย ไม่มีการรวบรวมพยานหลักฐานเลยว่าเข้าองค์ประกอบการก่อการร้ายหรือเปล่า ก็ออกมาให้สัมภาษณ์เลย อย่างนี้เป็นนายตำรวจที่ใช้ไม่ได้เลย เป็นการทำให้คนที่ไม่รู้กฎหมายตกอกตกใจและกลัวจะถูกกลั่นแกล้ง เพราะเขาบริจาคส่วนตัว และคนที่รู้กฎหมายก็จะเห็นว่าตำรวจทำอะไรลวกๆ
นายสุวัตรกล่าวว่า เอกชน 66 รายนั้นไม่เข้าองค์ประกอบการสนับสนุนก่อการร้ายแน่นอน เพราะเป็นการบริจาคเพื่อช่วยเอเอสทีวี บริจาคซื้อข้าว ถ้าจะเข้าองค์ประกอบต้องมีเจตนาพิเศษคือรู้ว่าจะมีการเอาอาวุธไปทำลายสนามบิน ซึ่งถ้ารู้อย่างนั้นใครจะให้ แต่นี่ที่ให้น้ำกันมาให้ข้าวกันมา ให้เงินมาช่วยคนเจ็บ ให้มาช่วยคดี ดังนั้นจึงไม่เข้าข่ายเลย
จวก ตร.ทำงานลวกๆ ป้ายสีพันธมิตรฯ-ยันชุมนุมสนามบินไม่เข้าข่ายก่อการร้าย