คือพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ สำหรับปวงชนชาวไทยในยามนี้อย่างแท้จริง
พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานพระบรมราชวโรกาสแก่เหล่าผู้พิพากษาประจำศาลยุติธรรมที่เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน
อันมีใจความสำคัญบางช่วงตอน ทีมข่าวการเมืองขออัญเชิญมาถ่ายทอดอีกครั้ง
“การปฏิบัติหน้าที่จะต้องซื่อสัตย์ สุจริต อันนี้เป็นข้อ
สำคัญ หมายถึงว่าท่านจะต้องซื่อสัตย์สุจริตต่อหน้าที่และต่อท่านเองที่ได้กล่าวปฏิญาณ ถ้าไม่ได้ปฏิญาณก็ไม่แน่ที่ท่านจะทำหน้าที่ได้ เพราะว่าเป็นหน้าที่ที่ยาก ตามที่บอกว่า ท่านต้องทำตาม เพื่อที่จะประเทศชาติมีความสงบสุข
ซึ่งหมายถึงว่า จะต้องมีความยุติธรรมในบ้านเมือง ถ้าไปเจอความอยุติธรรมที่ไหนก็ตาม ท่านต้องแก้ไข ไม่ใช่ในศาลเท่านั้น แต่ในหน้าที่และนอกหน้าที่
ขอให้ท่านสามารถปฏิบัติหน้าที่ คือความยุติธรรมของบ้านเมือง เพื่อที่จะให้บ้านเมืองอยู่เย็นเป็นสุข บ้านเมืองมีความสงบสุข และใครทำอะไรไม่ดีที่ไหน ท่านต้องกล่าวถึง ท่านต้องพูด ท่านต้องยืนยันว่า เป็นหน้าที่ของท่านที่จะทำให้ยุติธรรม
คนอื่นทำไม่ยุติธรรมนั้น ถ้าเขาไม่ได้ปฏิญาณก็คงไม่น่าจะเป็นอะไร แต่ว่าทุกคนที่อยู่ในข่ายของการยุติธรรมนั้น คือคนไทยทั้งหมดจะเป็นผู้พิพากษาหรือไม่เป็น ก็จะต้องปฏิบัติด้วยความยุติธรรม
ฉะนั้นท่านต้องดูแล สอดส่องให้เห็นว่าความยุติธรรมยังมีอยู่ในบ้านเมือง ขอให้ท่านสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ตามที่ท่านได้กล่าวไว้ในที่นี้ เพื่อที่จะบ้านเมืองมีความร่มเย็น"
ถือเป็นพระบรมราโชวาทที่ทำให้ปวงชนชาวไทยเป็นสุขใจยิ่งและเป็นอีกครั้งหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงทศพิธราชธรรมของ “พ่อหลวง” ที่ทรงให้ความสำคัญกับเรื่อง
“หลักความยุติธรรม”
เหตุเพราะสังคมไม่ว่าจะยากดีมีจน มั่งคั่งหรือไร้ทรัพย์ จะผิวขาวหรือผิวดำ ผู้คนจะแตกต่างกันในเรื่องชนชั้น ฐานะ การศึกษา การประกอบอาชีพอย่างไรก็แล้วแต่
ทว่า สิ่งที่ทุกคนต้องการมากที่สุดในการอยู่ร่วมกันของสังคมก็คือ
“ความยุติธรรม”
ที่ถือเป็นหลักนิติรัฐอันสำคัญของทุกสังคมตั้งแต่สังคมขนาดเล็กในครอบครัว จนถึงสังคมแห่งความเป็น “รัฐ”และสังคมอารยะประเทศ
ทว่า บัดนี้กลับมีความพยายามของบุคคลกลุ่มหนึ่งที่กระทำการเคลื่อนไหวทางการเมืองแบบมี
“วาระซ่อนเร้น” โดยนำประชาชนขึ้นมาบังหน้า
นั่นคือการเคลื่อนไหวของทักษิณ ชินวัตรและพลพรรคลิ่วล้อหมู่ชนคนเสื้อแดง ที่ถึงวันนี้ยังไม่สำนึกผิด ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี หลังกระทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งตัวนายใหญ่อย่างทักษิณ ชินวัตร ที่โกงกินทุจริตคอรัปชั่น ใช้อำนาจการเมืองแสวงหาผลประโยชน์ให้ตัวเองและพวกพ้อง จนถูกศาลฎีกาตัดสินจำคุกสองปีในคดีที่ดินรัชดาฯ
และกลุ่มคนเสื้อแดง โดยเฉพาะพวกแกนนำ นปช.สามเกลอ สังกัดค่ายความเท็จวันนี้
อย่าง วีระ มุสิกพงษ์-จตุพร พรหมพันธ์-ณัฐวุฒิ ใสเกื้อ ที่สร้างความวุ่นวายให้บ้านเมืองครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่จบสิ้น วันนี้ กลุ่มเสื้อแดง ยังไม่สำนึกผิดที่ได้สร้างความเสียหายให้ชาติและแผ่นดินเกิดในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา แต่กลับกระทำการในลักษณะที่
หมิ่นเหม่ต่อพระราชอำนาจและละเมิดพระราชอัธยาศัย ของพ่อหลวงของชนชาวไทย
ด้วยการเดินหน้าล่ารายชื่อประชาชนให้ได้ 1 ล้านรายชื่อ เพื่อยื่นถวายฎีกาต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อขอพระราชทานอภัยโทษให้กับทักษิณ ชินวัตร ที่ถูกศาลฎีกาตัดสินจำคุกสองปีในคดีทุจริตที่ดินรัชดาฯ โดยทั้งหมดตั้งเป้าว่า
จะรวบรวมรายชื่อประชาชนที่เห็นด้วยกับการยื่นถวายฎีกา 1 ล้านรายชื่อให้ได้ภายในเดือนกรกฎาคมนี้ เพื่อนำไปยื่นต่อสำนักพระราชวัง
และวันนี้ได้พบว่า กลุ่มคนเสื้อแดง ได้เริ่มแจกจ่ายแบบฟอร์มคำขอพระราชทานอภัยโทษเพื่อให้ประชาชนลงรายมือชื่อกันแล้ว!
โดยทั้งหมดกระทำการไปแบบเร่งรีบ รวบรัด โดยไม่สนใจต่อเสียงคัดค้านและเสียงท้วงติง ทั้งในแง่หลักการทางกฎหมายที่ทุกฝ่ายออกมาชี้ให้เห็นว่า
ไม่สามารถกระทำการได้ตามหลักประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ในมาตรา 259 ที่ระบุว่า ผู้ต้องคำพิพากษาให้รับโทษอย่างใดๆ หรือผู้ที่มีประโยชน์เกี่ยวข้อง เมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว ถ้าจะทูลเกล้าฯ ถวายเรื่องราวต่อพระมหากษัตริย์ขอรับพระราชทานอภัยโทษ จะยื่นต่อรมว.ยุติธรรมก็ได้
มาตรา 260 ผู้ถวายเรื่องราวซึ่งต้องจำคุกอยู่ในเรือนจำ จะยื่นเรื่องราวต่อพัศดีหรือผู้บัญชาการเรือนจำก็ได้ เมื่อได้รับเรื่องราวนั้นแล้ว ให้พัศดีหรือผู้บัญชาการเรือนจำออกใบรับให้แก่ผู้ยื่นเรื่องราว แล้วให้รีบส่งเรื่องราวนั้นไปยัง รมว.ยุติธรรม
มาตรา 261 รมว.ยุติธรรมมีหน้าที่ถวายเรื่องราวต่อพระมหากษัตริย์ พร้อมทั้งถวายความเห็นว่า ควรพระราชทานอภัยโทษหรือไม่ ในกรณีที่ไม่มีผู้ใดถวายเรื่องราว ถ้ารมว.ยุติธรรมเห็นเป็นการสมควร จะถวายคำแนะนำต่อพระมหากษัตริย์ ขอให้พระราชทานอภัยโทษแก่ผู้ต้องคำพิพากษานั้นก็ได้
มาตรา 261 ทวิ ในกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นเป็นการสมควร จะถวายคำแนะนำต่อพระมหากษัตริย์ ขอให้พระราชทานอภัยโทษแก่ผู้ต้องโทษก็ได้ การพระราชทานอภัยโทษตามวรรคหนึ่ง ให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา
สรุปรวมได้ว่า ก่อนอื่นผู้จะขอพระราชทานอภัยโทษได้ จะต้อง “รับโทษจริง”ตามคำตัดสินของศาลเสียก่อน
จึงหมายความว่า”ทักษิณต้องกลับมาติดคุกจริงเสียก่อน ถึงจะขอพระราชทายอภัยโทษได้”
ไม่ใช่จะมากระทำการข้ามขั้นตอนกฎหมาย โดยกระทำตัวเป็น
อภิสิทธิ์ชน
อยู่เหนือกฎหมาย ไม่ยอมรับกติกาบ้านเมือง ฉีกทิ้งหลักความยุติธรรม
และนี่คือตัวอย่างอันดีที่สุด อันแสดงให้เห็นธาตุแท้ของทักษิณ ชินวัตรว่า เป็นคนที่หาช่องทางทุกอย่างเพื่อหลบเลี่ยงกฎหมาย กติกาของสังคม ในทางที่ทำให้ตัวเองได้ประโยชน์มากที่สุด
จนถึงขั้นคิดวางแผนจะล่วงละเมิดต่อพระราชอำนาจและราชนิติประเพณี
ไม่สนใจต่อหลักกฎหมายบ้านเมือง ระเบียบกรมราชทัณฑ์ และกระทำการโดยมิบังควร
ทั้งที่ตัวทักษิณก็เคยเป็นอดีตนายกรัฐมนตรี เคยผ่านการเรียนหลักกฎหมายจากโรงเรียนเตรียมทหาร โรงเรียนนายร้อยตำรวจ จบการศึกษาด้านกระบวนการยุติธรรมระดับปริญญาเอกจากสหรัฐอเมริกา
ส่วนวีระ มุสิกพงษ์ ตัวผู้ก่อการเรื่องนี้ ก็เป็นอดีตนักศึกษานิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ เป็นอดีตรัฐมนตรี อดีตส.ส.หลายสมัย ที่ต้องรู้หลักกฎหมายเบื้องต้นเป็นอย่างดี
แม้แต่ตัวนายจตุพร พรหมพันธ์ ตอนนี้ก็เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่มีหน้าที่สำคัญคือการออก กฎหมายแต่วันนี้กลับจะทำผิดกฎหมาย ละเมิดกฎหมายเสียเอง
นี่คือความวิปริต คิดไม่ซื่อ ของทักษิณและแกนนำเสื้อแดงที่อยู่เบื้องหลังการคิดก่อการเรื่องเช่นนี้
ที่ยามนี้กำลังเร่งเครื่องทุกอย่างในการล่ารายชื่อให้ได้ 1 ล้านชื่อแบบเร็วที่สุด แล้วจะได้อ้างได้ว่า
เห็นมั้ย...ประชาชนหนุนหลังทักษิณทั่วทั้งแผ่นดิน แล้วใครจะมาห้ามได้!
ยิ่งเมื่อไปพิจารณาถึงเนื้อหาถ้อยคำในแบบฟอร์มการลงชื่อถวายฎีกา ก็จะพบความไม่เหมาะไม่สมอย่างยิ่ง
เช่นในช่วงที่ยกเหตุผลถึงการต้องขอพระราชทานอภัยโทษให้กับทักษิณ ชินวัตร ที่ระบุว่า
“พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ถูกทำรัฐประหารแย่งอำนาจไป เป็นผู้มีความรู้ความสามารถ และเป็นที่เชื่อถือศรัทธาของข้าพระพุทธเจ้าว่าจะช่วยแก้ปัญหาบรรเทาความทุกข์ความเดือดร้อนได้ก็ต้องลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศ เพราะถูกกระทำโดยอำนาจเผด็จการ ใช้กฎหมายที่ไม่ต้องด้วยหลักนิติธรรมดำเนินคดีเป็นเหตุให้ไม่มีโอกาสที่จะใช้กำลังสติปัญญาความสามารถช่วยเหลือประเทศชาติและประชาชนได้
นับเป็นความสูญเปล่าซึ่งทรัพยากรบุคคล อีกทั้งการใช้ชีวิตอยู่ในต่างแดนเป็นระยะเวลานานๆ ไม่ว่าในซีกหนึ่งส่วนใดของโลกที่จะให้ความสุข ความอบอุ่นเท่าบ้านเกิดเมืองมารดรย่อมไม่มี”
พฤติกรรมและการวางแผนสมรู้ร่วมคิดกระทำการอันเป็นการ “จาบจ้วง-ดึงฟ้าต่ำ”เช่นนี้
เราจำเป็นต้องยกบทวิเคราะห์ของ พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตรองผู้อำนวยการศูนย์ประสานงานข่าวกรองแห่งชาติ แกนนำกลุ่มสยามสามัคคี ที่มีทั้ง ส.ว.-นักวิชาการ-อดีตนายทหาร-อดีตรัฐมนตรี-เอ็นจีโอ ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบการเคลื่อนไหวของทักษิณและคนเสื้อแดงอย่างเข้มข้นบนจุดยืนคือการปกป้องสถาบัน ซึ่งได้แถลงเรื่องนี้อย่างเป็นทางการเมื่อ 1 ก.ค.52 ที่ผ่านมา
อันเป็นการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงที่ชัดเจนและตรงไปตรงมาแบบรู้เท่าทันอย่างแท้จริง
“กลุ่มสยามสามัคคี ได้วิเคราะห์ถึงการเคลื่อนไหวขอพระราชทานอภัยโทษของกลุ่มพ.ต.ท.ทักษิณและพวกแล้ว อาจเป็นไปได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณตกกระไดพลอยโจนไปกับนายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำกลุ่มเสื้อแดง หรือไม่ก็เป็นการสมรู้ร่วมคิดกัน ซึ่งไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไรการเคลื่อนไหวดังกล่าวจะเกิดผลเสีย 3 ด้าน คือ
1. กลุ่มที่ไม่พอใจพ.ต.ท.ทักษิณ หรือฝ่ายตรงข้ามจะออกมาเคลื่อนไหวต่อต้าน ซึ่งจะทำให้เกิดการเผชิญหน้า เกิดการต่อสู้ระหว่างประชาชนกับประชาชนอีกครั้งหนึ่ง
2. การล่ารายชื่อจะทำให้ประชาชนที่อยู่ห่างไกลข่าวสาร เข้าใจว่าพ.ต.ท.ทักษิณยื่นขอพระราชทานอภัยโทษจริง ทั้งที่เงื่อนไขเป็นไปไม่ได้
3. ไม่ว่าจะได้รายชื่อครบ 1 ล้านชื่อหรือไม่ หากไม่เข้าเกณฑ์ทางสำนักพระราชวังก็ไม่สามารถยกเรื่องขึ้นมาพิจารณาได้
เมื่อนั้นจะมีการกล่าวหาสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่ทรงมีพระกรุณาต่อพ.ต.ท.ทักษิณ”
นี่คือบทสรุปมุมมองการเคลื่อนไหวของเสื้อแดงและทักษิณ ซึ่งตรงไปตรงมาที่สุด โดยเฉพาะในข้อที่ 3 ที่ต้องย้ำอีกรอบว่า
“ไม่ว่าจะได้รายชื่อครบ 1 ล้านชื่อหรือไม่ หากไม่เข้าเกณฑ์ทางสำนักพระราชวังก็ไม่สามารถยกเรื่องขึ้นมาพิจารณาได้
เมื่อนั้นจะมีการกล่าวหาสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่ทรงมีพระกรุณาต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ”
และเมื่อเกิดกรณีเช่นนี้ เกิดขึ้น ถึงวันนั้น ก็น่าหวั่นใจไม่น้อยว่า สงครามกลางเมืองรอบใหม่ จะเกิดขึ้นอีกครั้งในไม่ช้า
จึงควรที่ทุกฝ่ายจะต้องสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องกับประชาชน ที่อาจจะไปหลงเชื่อข้อมูลของแกนนำเสื้อแดงบางคน ที่บิดเบือนและไม่บอกกล่าว หลักและขั้นตอนการขอพระราชทานอภัยโทษที่ถูกต้องให้กับประชาชน
เพราะหากประชาชนรู้ข้อเท็จจริงทั้งหมด แผนการที่วางไว้โดยกลุ่มคนเสื้อแดง ที่หวังใช้เรื่องนี้เป็นประเด็นการเมืองก่อให้เกิดความขัดแย้งขึ้นในสังคม และปะทุขึ้นเป็นสงครามกลางเมือง
ก็ย่อมไม่สัมฤทธิ์ผล