xs
xsm
sm
md
lg

คำต่อคำ :“สนธิ” เผยชีวิตก่อน-หลังลอบสังหาร ย้อนอดีตเป็นนักธุรกิจที่โง่

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“สนธิ” เผยอาการหลังโดนสังหาร แผลหายดีแล้ว 70% แต่ยังมีอาการน้ำในหูไม่เท่ากัน และฤทธิ์ยาสลบยังอยู่ในร่างกาย 50% เชื่อคนบงการจะโดนกฎแห่งกรรมเล่นงาน และจะถูกกดดันทางสังคมจากพี่น้องพันธมิตรฯ จนไม่อยากอยู่ ยืนยันพร้อมตายตลอดเวลา เพราะเข้าใจทุกอย่างเป็นเรื่องสมมติ ขอใช้ชีวิตที่เหลืออยู่เพื่อบ้านเมือง ยอมรับเป็นนักธุรกิจที่โง่ในสายตานักธุรกิจทั่วไป ที่เอาทรัพย์สินไปแลกอุดมการณ์ เผยความฝันอยากตั้งสถาบันสอนนักข่าวมืออาชีพ



 คลิกที่นี่ รายการ “แอน จินดารัตน์” - “สนธิ”เผยชีวิตก่อน-หลังลอบสังหาร ย้อนอดีตเป็นนักธุรกิจที่โง่ 


รายการ “แอน จินดารัตน์” ดำเนินรายการโดย นางจินดารัตน์ เจริญชัยชนะ ออกอากาศทางเอเอสทีวี-ของประชาชน ช่วงเวลา 20.30-22.00 น.วันจันทร์ที่ 22 มิ.ย.ที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้มาเป็นแขกรับเชิญในรายการ เพื่อให้สัมภาษณ์พิเศษเกี่ยวกับการใช้ชีวิต ทั้งช่วงก่อนและหลังจากถูกลอบสังหารด้วยอาวุธสงคราม เมื่อวันที่ 17 เม.ย.ที่ผ่านมา โดยนายสนธิบอกว่าแผลที่ถูกยิงที่ศีรษะหายแล้วประมาณ 70% ซึ่งบางครั้งยังมีอาการเวียนหัวอยู่ เนื่องจากน้ำในหูไม่เท่ากัน เลือดที่ส่งไปเลี้ยงสมองยังทำงานไม่เต็มที่ ที่สำคัญเวลาผ่าตัดฤทธิ์ยาสลบที่ใช้ในการผ่าตัดยังคงอยู่ในร่างกายอีก 50% จะทำให้เหนื่อยง่าย ง่วงเร็ว ตรงนี้ต้องใช้เวลาในการขับฤทธิ์ยาออกไป และครั้งนี้เป็นครั้งแรงในชีวิตที่หนักที่สุดสำหรับการผ่าตัดและวางยาสลบ แต่แปลกหลังจากฟื้นรู้สึกตัวเร็วมากไม่มีอาการเมายาสลบเลย สามารถทักทายกับคนทั่วไปได้

เมื่อถามว่าทำไมยังเอาเสื้อ กางเกงที่เปื้อนเลือดมาแขวนไว้ในห้องทำงาน นายสนธิกล่าวว่าต้องการเอาไว้เตือนใจให้รู้ว่า เลือดที่หลั่งลงสู่ดินนี้เป็นเลือดคนบริสุทธิ์ คนที่ทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองต้องมาเสียเลือดเสียเนื้อ และโดนคนซึ่งโดยหน้าที่ควรจะทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองเหมือนกับตน แต่ต้องมาแปลงร่างเป็นอสูรกายมายิงตน งานนี้เป็นคนมีสียิงแน่นอน อย่างไรก็ดีตนเชื่อในเรื่องของเวรกรรม และอโหสิกรรมให้ ทุกวันนี้ได้แต่สวดแผ่เมตตาให้ผู้กระทำ ไม่โกรธ ไม่แค้น ไม่เคืองเขา ให้กฎแห่งกรรมเป็นตัวเร่งให้เขารับกรรมไม่ว่าเขาจะใหญ่แค่ไหน จะมียศเป็นพลเอกก็ตาม

นายสนธิกล่าวต่อว่า คนที่สั่งฆ่านั้นเป็นพวกที่มีอวิชชา คิดว่าตนเป็นคนอันตราย พูดไม่รู้เรื่อง ต้องฆ่า เหมือนสมัยรุ่น 5 ยึดอำนาจก็ส่งคนมายิง เพราะนายสนธิ ซื้อไม่ขาย ขอไม่ให้ ต้องยิงมัน ทั้งนี้ ผู้มีอำนาจมีอิทธิพลจะกลัวคนที่มีจุดยืน ส่วนคนเสื้อแดงนั้นไม่น่ากลัว เพราะไม่มีอุดมการณ์พวกเขาอยู่ได้ด้วยท่อน้ำเลี้ยง ด้วยเงิน แต่เขากลัวพันธมิตรฯ ที่มีจิตวิญญาณ ซื่อสัตย์ จิตบริสุทธิ์ รักชาติบ้านเมือง และมีอำนาจแห่งปัญญาที่วิเคราะห์ได้ว่าอะไรถูกอะไรผิด มีหิริโอตปะ มีจริยธรรม เชื่อว่าพี่น้องพันธมิตรฯ หลายคนเคียดแค้นว่าทำไมตนต้องถูกยิง แล้วถ้าวันข้างหน้ามีการจับคนร้ายได้ แล้วชี้ไปถึงคนที่อยู่เบื้องหลัง เชื่อว่าพันธมิตรฯ มีอิทธิพลในการสร้างความกดดัน ให้คนที่สั่งการอยู่เบื้องหลังการสั่งยิงมีชีวิตอยู่อย่างไม่เป็นสุข ชนิดถ้ามีชีวิตอยู่ สู้ตายดีกว่า เขาจะมองหน้าคนไม่ได้ เพราะคนที่เคียดแค้นแทนมีอยู่ทุกวงการ พันธมิตรฯ คงไม่ทำอะไรเขา แต่สายตาที่มองอย่างดูถูกเขาจะทนไม่ได้

“ช่วงนี้ก็ไปปล่อยข่าวลือว่า ผมถูกสั่งยิงโดยฟ้า แล้วเขาก็ไม่รู้ว่า ทางข้างบนก็รู้ว่านี่คือข่าวลือที่ปล่อยออกมา ใครปล่อยเขาก็รู้ เขาบอกว่าปล่อยผ่านพระองค์หนึ่งแถวยานนาวา พระองค์นั้นท่านก็ฉุนว่าเอาท่านไปเกี่ยวข้องอะไร ท่านก็โทร.ไปรายงานฟ้าเหมือนกันว่าท่านไม่เกี่ยวข้อง แล้วบอกด้วยว่าใครเป็นคนปล่อยข่าวลือ นี่คือความทุกข์ มันปิดไม่มิดหรอก เอามือปิดฟ้าได้ยังไง” นายสนธิกล่าว

นายสนธิกล่าวต่อว่า ชีวิตความเป็นอยู่หลังโดนลอบยิง ยอมรับว่าลำบากขึ้น การที่มีคนเดินล้อมหน้าลอมหลังตนนั้น เป็นเพราะมีเพื่อนที่เป็นตำรวจที่เกษียรแล้วเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยเลยจัดกำลังมาดูแลรักษาความปลอดภัยให้ ลำพังตนไม่ได้ประมาท แต่มีความเชื่อมันในเรื่องกฎแห่งกรรม ถึงแม้จะมีคนล้อมหน้าล้อมหลังมากน้อยแค่ไหน เมื่อมันจะตายอย่างไรมันก็ตาย แต่ถ้าไม่ตายก็ไม่ตาย ขนาดโดยยิงกว่าร้อยนัดยังไม่ตายเลย ตอนนี้ชีวิตไม่ได้ต้องการอะไร นอกจากอยากให้ชาติบ้านเมืองดีขึ้น อยากให้ชาติบ้านเมืองรู้จักถูกผิด มีที่ยืน ไม่ใช่ว่าจู่ๆ วันดีคืนดีมีคนเอาปืนมายิง ซึ่งคนพวกนี้ต้องได้รับกฎแห่งกรรม หรือกรณีที่ คุณธานี สมบูรณ์ทรัพย์ เพิ่งให้สัมภาษณ์บอกว่าเจอตอ เมื่อเจอตอแล้วหาคนร้ายไม่ได้ อย่างนี้ประเทศไม่มีที่ยืนแล้ว หวังไม่ได้แล้ว ทุกคนมีสิทธิ์ตายได้ ถ้าคนมีอำนาจแล้วสั่งฆ่าใครก็ได้

อย่างไรก็ตาม นายสนธิกล่าวต่อว่า ตนพร้อมที่จะตายอยู่แล้ว เพราะเตรียมตัวตายมานาน เพราะนี่เป็นเรื่องสมมุติ แต่เชื่อว่าถ้าตายไปคงได้ขึ้นสวรรค์เพราะทำอะไรให้ชาติบ้านเมืองมามาก ครูบาอาจารย์ก็สอนให้เตรียมตัวตาย ให้กลัวบาป มีหิริโอตตัปปะ ซึ่งตนได้รับอิทธิพลจากภรรยา ที่ดึงเข้าสู่ธรรมะเป็นคนแรก โดยมีเทคนิคการสอนหลายอย่าง ทั้งในเรื่องเตรียมตัวตายเพราะไม่มีใครรู้ว่าจะตายวันไหน แล้วจะต้องสร้างคุณงามความดี ละเว้นจากการทำบาป มีหิริโอตตัปปะ ส่วนอีกอย่างเห็นจะเป็นบทเรียนที่ได้รับจากการบวชเมื่อปี 2541 ที่ จ.หนองบัวลำภู หลวงพ่อญาท่านสอนให้มีสติอยู่ตลอดเวลาแม้กระทั่งขณะทานอาหาร วันที่ศาลสั่งล้มละลายเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว คนแรกที่นึกถึงคือหลวงพ่อญาท่าน ท่านบอกว่าพ้นกรรมแล้ว และได้สอนว่าเสียอะไรเสียไป รักษาใจไว้ให้ดี ใจเท่านั้นที่เป็นของเรา ใครก็เอาไปไม่ได้ ก็เลยคิดออกว่าไม่ว่าจะเป็นนาฬิกา รถ บ้าน เสื้อผ้า ถ้ามันจะหมดก็ให้มันหมดไป รักษาใจไว้ก่อน

นายสนธิกล่าวต่อว่า ก่อนหน้านั้นตนเคยขึ้นปกนิตยสารเอเชียวีก นิวยอร์กไทมส์ เอเชียนวอลสตรีทเจอร์นัล ลอสแองเจลิสไทมส์ มีบริษัทที่สหรัฐอเมริกา แมนเชสเตอร์ ฮ่องกง สิงคโปร์ ไปสหรัฐฯ ปีละหลายครั้ง เดินทางจากนิวยอร์กไปลอนดอนด้วยเครื่องบินคองคอร์ด เคยนั่งกับอีริก แคลปตัน อะไรที่มันที่สุดๆ ตนผ่านมาหมด สมัยนั้นมองว่าเป็นความภาคภูมิใจสุดๆ แต่เมื่อมองย้อนหลังแล้ว ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น รู้สึกสงสารตัวเอง และเห็นคนรุ่นหนุ่มในปัจจุบันเป็นอย่างที่ตนเคยเป็น มองแล้วก็สงสาร เพราะนั่นคือของปลอม

เมื่อถามว่า เป็นนักธุรกิจแบบไหน นายสนธิตอบว่า ตนเป็นนักธุรกิจที่โง่ วงการธุรกิจที่รู้ว่าตนตัดสินใจอย่างไรเขาจะบอกว่าโง่ เช่น ปี 2535 ตนเคยมีบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ 3 บริษัท คือหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ โรงพิมพ์ตะวันออก และไออีซี ที่ตนเคยให้หุ้น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เม็ดเงินทั้งหมดที่ตนมีใน 3 บริษัทไม่ต่ำกว่าพันล้าน แต่ตนเอาธุรกิจเหล่านั้นไปแลกกับอุดมการณ์ เพราะหลังจากนายทหารรุ่น 5 ยึดอำนาจในนาม รสช. ตนลงข่าวสวนทางเขาตลอด เพราะทนไม่ได้ที่ทหารยึดอำนาจจากรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ

นายสนธิกล่าวต่อว่า รสช.ได้เข้าควบคุมสื่อทุกทาง แต่มีหนังสือพิมพ์ผู้จัดการที่กล้าลงข่าวสวนทาง ทั้งที่มีคนเตือนว่าอย่าไปแข็งข้อ ให้ลู่ตามลม แต่อุดมการณ์รักชาติบ้านเมือง จนกระทั่งมีการประท้วงของประชาชน โดยมีพล.ต.จำลอง ศรีเมือง เป็นหัวหน้า ซึ่งได้มีการปิดข่าวทั้งหมดว่าไม่มีคนชุมนุมอยู่ที่สนามหลวง จนกระทั้งได้ร่วมสู้กับ พล.ต.จำลอง ซึ่งวันนั้นเป็นวันที่สำคัญที่สุด ตนได้เรียกประชุมนักข่าวในกอง บก.ว่าสู้หรือไม่ ซึ่งตนมองหน้านักข่าวในกองบก.กับตัวเลขในบัญชี แต่จิตวิญญาณทำให้รำลึกไปถึงตอนเป็นหนุ่มที่มีอุดมการณ์ ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่มีทางเอาชนะได้ จะกอดเงินไว้ก่อน เดี๋ยวอีกหน่อยคนก็ลืม ก็ทำได้ แต่ตนไม่ทำ จึงตัดสินใจลุย และตีพิมพ์หนังสือพิมพ์ผู้จัดการฉบับพิเศษว่ามีคนเรือนหมื่นอยู่ที่สนามหลวง แล้วแจกจ่ายฟรีทั่วกรุงเทพฯ สองแสนห้าหมื่นฉบับ จากนั้นมีคนสั่งยิงตน จึงได้หนีไปอยู่ต่างประเทศ โดยตั้งใจว่าจะไปตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น แต่ก่อนไปได้เซ็นเช็คให้นายชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย โดยให้ไปกรอกจำนวนเงินเอง เพื่อให้นำเงินนั้นไปซื้อข้าวเลี้ยงผู้ประท้วงที่สนามหลวง เพราะคิดว่ายังไงก็เจ๊งอยู่แล้ว จึงไม่ห่วงเงินที่มีอยู่ในบัญชี 200 กว่าล้านบาท

นายสนธิกล่าวถึงการใช้ชีวิตก่อนหน้านี้ว่า ชอบความเป็นส่วนตัวมาก แต่หลังจากมาเป็นแกนนำพันธมิตรฯ ชีวิตเปลี่ยนไปมาก ก่อนหน้านั้นชอบขับรถคนเดียวไปรับประทานอาหารตามจังหวัดต่างๆ บางครั้งก็กินข้างถนน และชอบให้ทิปมากๆ แต่ไม่ใช่ฟุ่มเฟือยหรืออวดร่ำอวดรวย แต่เพราะเห็นใจและสงสารพนักงานที่เงินเดือนน้อย เงินเหล่านี้มีความหมายกับพวกเขามาก นอกจากนี้ตนไม่ชอบเที่ยวตามสถานบริการ เพราะไม่มีรสนิยมและคนที่มาให้บริการนั้นก็มาทำด้วยความจำใจ บางคนมาทำเพราะต้องการเงินไปเรียนในสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียง ซึ่งถือเป็นความคิดที่ผิด เพราะสามารถเลือกเรียนรามคำแหงที่เสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าได้

ทั้งนี้ นายสนธิกล่าวต่อว่า การศึกษาของไทยปัจจุบันด้อยคุณภาพลงไปมาก เพราะเป็นเรื่องของการพาณิชย์เกือบทั้งหมด ตนเคยสอนนักศึกษาปริญญาโท แค่ห้องเดียวมีถึง 60 คน ทั้งที่ควรจะมีแค่ 10-15 คนจึงจะได้มาตรฐาน แต่อาจารย์บอกว่าถ้านักศึกษาน้อยจะไม่คุ้ม

นายสนธิกล่าวว่า ในชีวิตใฝ่ฝันว่า ในอนาคตหลังจากเสร็จสิ้นเรื่องตามต่างๆ แล้ว อยากตั้งสถานศึกษาที่สอนวิชาชีพด้านสื่อมวลชน รับคนที่จบปริญญาตรีมาสอนเรื่องการเขียนข่าว หนังสือพิมพ์ วิทยุ ทุกอย่างที่สือมวลชนควรจะมี ที่สำคัญจะสอนอุดมการณ์และจริยธรรมเข้าไปด้วย ตนคิดอยากทำมานานและนายพงษ์ศักดิ์ พยัคฆวิเชียร ก็คิดเช่นกัน เพราะอยากจะมีสื่อมวลชนมืออาชีพเสียที ไม่ใช่พอมาทำงานสื่อมวลชนทำแล้วโดนเจ้าของครอบงำ เห็นแก่เงิน ตรงนี้ต้องหมดไป อย่างไรก็ตาม โอกาสที่จะทำสถาบันอย่างนี้ ต้องรอให้บ้านเมืองดีขึ้นก่อน หรือให้ประชาชนไล่ออกจากการเป็นแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก่อน ส่วนจะเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่หรือไม่นั้น สัปดาห์หน้าจะมาคุยในรายการนี้อีกครั้ง

คำต่อคำ : สนธิ ลิ้มทองกุล ให้สัมภาษณ์พิเศษรายการ “แอน จินดารัตน์”

จินดารัตน์ - สวัสดีค่ะคุณผู้ชมคะ ขอต้อนรับคุณผู้ชมเข้าสู่รายการแอน จินดารัตน์ค่ะ สารพัดสารพันทุกวันจันทร์กับวาไรตี้มีชีวิต วันนี้ชีวิตที่จะนำเสนออย่างที่คุณผู้ชมได้เห็นโปรโมตของเราไปแล้วตั้งแต่ช่วงเช้านะคะ หลายคนกำลังสงสัยว่า เอ๊ะทำรายการนี้จบแล้วคุณจินดารัตน์จะยังคงมีรายการทำในเอเอสทีวีอยู่หรือเปล่า อันนี้คงต้องถามแขกรับเชิญในวันนี้นะคะ แต่อย่างที่โปรโมตเขาบอกเอาไว้ ซึ่งแอบโกรธน้องเหมือนกัน บอกว่า กล้านะ กล้าทำอย่างนี้ได้อย่างไร บอกว่าวันนี้ไม่มีเจ้านายกับลูกน้อง ยังมีอยู่เหมือนเดิมนะคะ เพราะว่าคุณสนธิเป็นเจ้านายอยู่เสมอ แม้ว่าจะไม่ได้ทำงานที่นี่แล้วก็ตาม เพราะว่าผู้ชายคนนี้หลากหลายสไตล์ชีวิตนั้นมีมากมายจนคุณผู้ชมอาจจะนึกไม่ถึงก็ได้ว่า เออ คนอย่างคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ที่เราเคยเห็นบนเวที ตะโกนเสียงดังๆ หน้าแดงๆ ของขึ้นทุกครั้ง ชีวิตปกติอยู่อย่างไร กินอย่างไร คุณสนธิกินหูฉลามทุกมื้อหรือเปล่า หลายคนสงสัย คุณสนธิออกกำลังกายบ้างหรือเปล่า คุณสนธิเคยดูละครบ้างไหม และเคยฟังเพลงบ้างหรือเปล่า รู้จักไหมว่าตอนนี้วัยรุ่นเขานิยมอะไรกัน หรือว่าอ่านหนังสือประเภทไหน มีบ้างไหมที่นั่งเพลินๆ ว่างๆ แล้วไม่ได้คิดเรื่องการเมือง ถ้าไม่ได้คิดเรื่องการเมืองแล้วคิดเรื่องอะไร

วันนี้ แอนอยากแชร์ความรู้สึกกับคุณผู้ชมด้วยนะคะ ถ้าคุณผู้ชมทางบ้านอยากรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของคุณสนธิ อยากรู้ว่าเบื้องหลังที่ไม่ได้เห็นหน้าจอ ที่ไม่ได้เห็นในม็อบ คุณสนธิเป็นอย่างไร ทำอะไร อยากรู้ตรงไหน โทรศัพท์เข้ามาได้ ฝากคำถามได้ ทีมงานของเราวันนี้เพียบเลยค่ะ 02-629-4433 พักกันสักครู่ ช่วงหน้ากลับมาดูกันว่าใครจะเพลี่ยงพล้ำก่อนกันค่ะ สักครู่ค่ะ

(เบรก 2)

จินดารัตน์ - กลับมาในรายการแอน จินดารัตน์ นะคะ เรียนคุณผู้ชมไปเมื่อช่วงต้นรายการว่า วันนี้ระหว่างพิธีกรกับแขกรับเชิญ ใครจะเพลี่ยงพล้ำก่อนกัน ใครจะโดนน็อกก่อนกัน วันนี้เราเชิญแขกคนสำคัญและพิเศษ ทำไมต้องบอกว่าพิเศษ เพราะว่ารายการนี้จะเป็นรายการแรกที่จะเจาะลึกถึงกระทั่งว่าคุณสนธินั้นตื่นกี่โมง ทำงานกี่โมง กินอะไรเป็นอาหารเที่ยง อาหารเย็น แล้วทำไมหลายคนนี่บอก แหมปากแดง แก้มแดง เพราะกินอาหารดีๆ หรือเปล่า สุขภาพถึงได้ดีแบบนี้ เดี๋ยวต้องฟังคำตอบทั้งหมด และที่สำคัญที่สุด หลายคนอยากรู้ว่า ตกลงจะเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองจริงหรือเปล่า พบกับคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ค่ะ สวัสดีค่ะคุณสนธิ

สนธิ - สวัสดีครับ คุณแอนครับ

จินดารัตน์ - เจ้านายขา สวัสดีค่ะ ไม่ได้ค่ะ เดี๋ยวอนาคตทางการงานจะไม่ดี

สนธิ - ผมโดนหลอกมาออกรายการนี้

จินดารัตน์ - ไม่หลอกนะคะ เพราะแฟนๆ รายการหลายคนถามว่า เที่ยวไปสัมภาษณ์คนโน้นคนนี้ ทำไมเจ้านายตัวเองอยู่ใกล้ๆ ทำไมถึงไม่เชิญมาสัมภาษณ์ แอนบอก แหม อันนี้ก็ต้องเกรงใจกันนิดหนึ่งกว่าจะขอคุณสนธิได้ ก็ต้องให้อาการป่วย อาการโดนลอบยิง ขอประทานโทษนะคะคุณสนธิขา แผลนี่

สนธิ - แผลนี่เป็นกะโหลกที่บุ๋มลงไปเพราะลูกปืน ถามว่าหายกี่เปอร์เซ็นต์แล้ว ผมคิดว่าจริงๆ ก็ 70 เปอร์เซ็นต์ ยังมีอาการ บางครั้งน้ำในหูไม่เท่ากัน

จินดารัตน์ - เวียนหัว

สนธิ - เวียนหัว แล้วก็เลือดที่มันสูบฉีดขึ้นบนสมองมันยังไม่สูบฉีดเข้าไป 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็ดีขึ้นเยอะ ที่สำคัญคือ เวลาคุณผ่าตัด พอดมยาสลบปั๊บ พอคุณฟื้นมา ฤทธิ์ยาสลบหายไป 50 เปอร์เซ็นต์ ให้จำไว้ ส่วนอีก 50 เปอร์เซ็นต์ ยังอยู่ในร่างกายเรา แล้วมันจะซึมเข้าไปในไขมันในเส้นเลือด เข้าใจไหมครับ เพราะฉะนั้นฤทธิ์ตัวนี้ต้องค่อยๆ ผ่องออก อีกประการหนึ่ง ร่างกายคนเรามันจะมีพลังงานสำรอง เวลาคุณแอนทำงานเหนื่อยๆ เหนื่อยมากเลย ตั้งแต่เช้าจดค่ำเลย ติดกัน 2 วัน พอวันที่ 3 คุณแอนนอนหลับ หลับเต็มที่เลย พอตื่นมาสดชื่นไหม สดชื่น เพราะอะไรรู้ไหม เพราะมันมีพลังงานสำรองในร่างกายอยู่ เหมือนเวลาคุณซื้อแบตเตอรี่มาใหม่ คุณต้องชาร์จ 8 ชั่วโมง ใช่ไหม

จินดารัตน์ - ค่ะ

สนธิ - เพื่อให้เกิดพลังงานสำรอง พอคุณเอาไปใช้ปั๊บ พอถ่านหมด ไฟหมด คุณชาร์จต่ออีกชั่วโมงเดียวก็เต็มแล้ว เพราะมันจะมีขั้นพลังงานสำรองที่มีอยู่เดิม ร่างกายคนเราเหมือนกัน พอผ่าตัดปั๊บ พอเขาจรดมีดลง ดมยาสลบปั๊บ พลังงานสำรองมันหมดไปเลยในร่างกาย เพราะฉะนั้นในช่วงแรกที่ผมเริ่มออกจากโรงพยาบาล ผมจะเหนื่อยง่าย ง่วงเร็ว บางทีผมเดินแค่ 10 ก้าวก็เหนื่อยแล้ว ต้องค่อยๆ ฝืนใจนะครับ ผมต้องฝืนใจจนกระทั่งสั่งสมไปเรื่อยๆ ผมคิดว่าตอนนี้พลังงานสำรองผมน่าจะกลับมาสัก 70 เปอร์เซ็นต์แล้ว ครับ ต้องใช้เวลา แล้วมันยังต้องขับพวกฤทธิ์ยาสลบออกไปอีก

จินดารัตน์ - โดยธรรมชาติ?

สนธิ - โดยธรรมชาติต้องเป็นอย่างนั้น

จินดารัตน์ - คุณสนธิ นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตหรือเปล่าคะที่หนักที่สุด

สนธิ - ที่ผ่าตัดเหรอ

จินดารัตน์ - ค่ะ

สนธิ - ครับ เป็นครั้งแรก

จินดารัตน์ - แล้วโดนวางยาสลบนี่ครั้งแรกด้วยหรือเปล่า

สนธิ - ครั้งแรกครับ มันเหมือนฝันน่ะ เวลาเรานอน ลืมตาปั๊บ เขาบอกให้ทำใจสบายๆ พอเขาวางปั๊บ เหมือนกับทุกอย่างมืดไปหมดเลย แล้วมารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนฤทธิ์ยาสลบเริ่มหมด เราฟื้นมาก็ปรากฏว่าเราถูกเข็นแล้ว เราถูกเข็นในรถเข็น แต่แปลก พอผมฟื้นมาปั๊บ ผมรู้สึกตัวดีมาก รู้สึกตัวดี พูดรู้เรื่องทุกอย่าง ไม่ได้เมายาสลบเลยแม้แต่นิดเดียว คุณหมอยังตกใจเลย ว่า เอ๊ะทำไมถึงไม่เมา ไม่มีอาการอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว

จินดารัตน์ - เพราะว่าอาการถ้าโดนวางยาแบบนี้จะเบลอร์ๆ นะคะ

สนธิ - ต้องเบลอร์ครับ

จินดารัตน์ - จะพูดไม่รู้เรื่อง จะเบลอร์ๆ ง่วงๆ จะหลับ

สนธิ - ผมไม่เบลอร์ครับ ผมรู้ตลอดเวลาว่าเขากำลังเข็นรถผมข้ามสะพานออกใส่รถโรงพยาบาลวชิระ เอาไปที่โรงพยาบาลจุฬาฯ แล้วผมก็รู้ พอถึงจุฬาฯ เขาเข็นขึ้นไปอย่างไร เข้าเตียงอย่างไร เข้าห้องอย่างไร ทราบหมดทุกอย่าง แล้วก็ยังทักทายคนโน้นคนนี้ได้

จินดารัตน์ - เดี๋ยวแอนจะให้ดูภาพที่น้องๆ ไปถ่ายที่ทำงาน ออฟฟิศของคุณสนธิ

สนธิ - ได้ครับ

จินดารัตน์ - จะให้ดูภาพ มีอยู่ภาพหนึ่งเป็นเสื้อที่คุณสนธิใส่วันที่ถูกยิง ยังแขวนอยู่ที่ออฟฟิศนะคะ ใครไปใส่กรอบ ใส่อะไรมาให้คะ

สนธิ - ผมใส่เอง

จินดารัตน์ - อ๋อ ค่ะ

สนธิ - คือผมต้องการเอาเสื้อตัวนี้และกางเกงตัวนี้ที่เลือดโทรมเนี่ย เป็นเครื่องเตือนใจ

จินดารัตน์ - แขวนเอาไว้ที่ทำงานเลย?

สนธิ - แขวนไว้ที่ทำงาน ให้รู้ว่าไอ้เลือดที่มันหลั่งลงมาที่สู่ดินน่ะ มันเป็นเลือดของคนบริสุทธิ์ เป็นเลือดคนที่ทำงานให้ชาติบ้านเมือง แล้วก็โดนคนซึ่ง เท่าที่ผมทราบ ก็เป็นคนซึ่งโดยหน้าที่ก็ต้องทำงานให้ชาติบ้านเมืองเหมือนกัน แต่ว่ามาแปลงสภาพเป็นอสุรกายมายิงผม ทั้งๆ ที่เลือดผมที่ชโลมดิน มันก็เหมือนเลือดเขาซึ่งต้องปกป้องแผ่นดิน งานนี้คนมีสียิงผมแน่นอน

จินดารัตน์ - มั่นใจ

สนธิ - 100 เปอร์เซ็นต์

จินดารัตน์ - ถึงแม้ว่าจะจับตัวคนยิงไม่ได้

สนธิ - ผมยังเชื่อในบุญในกรรมนะ เวลาผมบอกว่าผมอโหสิกรรมให้เขาแล้ว ผมอโหสิกรรมให้จริงๆ ผมสวดคาถาแผ่เมตตาให้เขาทุกวัน

จินดารัตน์ - ไม่คิดสาปแช่ง

สนธิ - ไม่มี ไม่มี ผมถือว่าจบ จบแล้วจบเลย คือผมถือว่าผมไม่โกรธ ไม่แค้น ไม่เคืองเขา จากนี้ไปถ้าเขาได้รับผลกรรมอะไร มันเป็นเพราะกฎแห่งกรรม กฎแห่งกรรมเป็นตัวเร่งให้เขาจะต้องรับกรรมไปนะครับคุณแอน ไม่ว่าจะใหญ่แค่ไหนก็ตามนะ ไม่ว่าจะมียศพลเอก หรืออย่างไรก็ตาม ก็ต้องรับกฎแห่งกรรมนี้ไป

จินดารัตน์ - แต่ถ้ามันมาช้าล่ะคะ

สนธิ - มาช้า มันเป็นเรื่องที่ ถ้ายิ่งช้าเขายิ่งทรมาน เข้าใจไหมครับ ยิ่งช้ายิ่งทรมาน แล้วกฎแห่งกรรมมนุษย์เราหนีไม่พ้น ไม่มีทางหนีพ้น ผมก็เลยทำใจได้ ผมก็เลยไม่โกรธเขา ผมกลับเวทนาและสงสารเขา ผมมีความรู้สึกว่าการที่เขาฆ่าผม หรือสั่งฆ่าผม เป็นเพราะเขามีมิจฉาทิฐิ เขามีอวิชชา เขาไปมองว่าผมเป็นศัตรูกับพวกเขา เป็นอันตราย คือคล้ายๆ ว่าสนธินี่พูดไม่รู้เรื่อง ต้องฆ่ามัน

จินดารัตน์ - ดื้อนัก

สนธิ - เหมือนสมัยรุ่น 5 ยึดอำนาจ ตอนนั้น

จินดารัตน์ - รสช.

สนธิ - ฮะ รสช. มีวันหนึ่งตอนกลางคืน เขาส่งคนมายิงผม เป็นทหาร ผมนี่มักจะโดนทหารเล่นงานตลอดเวลา ไม่รู้เป็นอะไรนะ ทั้งๆ ที่เพื่อนที่ผมรักมากหลายคนก็เป็นทหาร เขากินเหล้ากันอยู่ 3-4 คน ในกองทัพภาค 1 ยุคนั้นนะ ยุคนานมาแล้ว ปี 2535 เขาบอกว่าไอ้สนธินี่มันซื้อไม่ขาย ขอไม่ให้ ต้องฆ่ามัน คนที่พูดคนนั้นอดีตเป็นระดับพลอากาศเอก กองทัพอากาศคนหนึ่ง เป็นพลโทกองทัพบกคนหนึ่ง แล้วก็เป็นตำรวจคนหนึ่ง พลตำรวจเอก พลตำรวจโท

จินดารัตน์ - มีครบทุกเหล่าทัพเลย

สนธิ - มีครบทุกเหล่าทัพครับ แล้วเขาก็ส่งคนมาที่ทำงานผม ซึ่งอยู่ตรง ที่ทำงานเก่า ตอนนั้นเราปิดออฟฟิศแล้ว เราไม่มีใครอยู่ ปรากฏว่ามากันทั้งหมด 6 คน แต่งชุดพรางเลย แต่งชุดใส่เสื้อซาฟารีสีน้ำเงินเข้ม แล้วพกปืน มีอยู่ 2-3 คน ถือปืนกลอูซี่มาด้วยนะ ปืนกลอูซี่ในยุคนั้น ในยุคนี้เป็นปืนกลที่ทหารอากาศใช้ เผอิญมีตำรวจหลายคนซึ่งเขาอยู่ท้องที่ชนะสงคราม เขาก็มาตรวจพอดี พวกนี้เห็นเขาก็ถามว่ามาทำไม พวกนี้ก็เลยโชว์บัตรว่าเป็นทหาร ตำรวจพวกนั้นเขาบอกว่าไม่มีใครอยู่แล้วครับที่นี่ ผมก็รอดไป 1 ครั้ง เพราะฉะนั้นแล้วผมคิดว่าสิ่งที่ผู้มีอำนาจมีอิทธิพลเขากลัว เขากลัวคนที่มีจุดยืน ผมเชื่อว่าวันนี้กลุ่มเสื้อแดงไม่น่ากลัวหรอก เพราะว่าเสื้อแดงนั้นอุดมการณ์ไม่แน่ อยู่ได้เพราะว่ามีท่อน้ำเลี้ยง มีเงิน แต่เขากลัวพวกเสื้อเหลือง กลัวพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

จินดารัตน์ - เงินไม่ต้องพูดถึงแล้ว

สนธิ - เงินไม่ต้องพูดถึง

จินดารัตน์ - อยู่นอกเหนือ

สนธิ - เพราะคนพวกนี้เป็นคนซึ่งมีจิตวิญญาณ มีความซื่อสัตย์ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนี่เขาเริ่มด้วยความเสียสละ สอง ซื่อสัตย์ สาม จิตบริสุทธิ์ และสี่ รักชาติ รักบ้านรักเมือง มีอยู่ 4 ข้อ พอครบ 4 ข้อแล้ว มันต่อไปบันไดขั้นที่ 2 ที่เขามีและคนอื่นไม่มี เขามีอำนาจแห่งปัญญา ปัญญาที่เขาได้รับทำให้เขาวิเคราะห์ได้ เขารู้อะไรถูก อะไรผิด และที่สำคัญ เขามีหิริโอตัปปะ เขามีจริยธรรม ผมเชื่อว่าพี่น้องทุกคนที่ดูรายการนี้ทุกคนเคียดแค้นมาก ทำไมผมต้องถูกยิง และผมเชื่อว่าถ้าวันหนึ่งข้างหน้ามีการจับคนร้ายได้ แล้วการจับคนร้ายได้ชี้ไปที่คนที่อยู่เบื้องหลัง จะโดยตรงหรือทางอ้อมก็ตาม ผมเชื่อว่าพันธมิตรฯ ทั้งประเทศจะมีอิทธิพลมากในการสร้างความกดดันให้คนที่อยู่ในขบวนการสั่งยิงผมมีชีวิตอยู่ไม่สู้ตายไปยังจะดีเสียกว่า ในลักษณะนั้น

จินดารัตน์ - ต้องโดนลากคอออกมา

สนธิ - ไอ้เรื่องลากคอคง .. ถ้าเขามีอำนาจคงลากคอเขาไม่ได้ แต่ว่าเขาจะมองหน้าคนไม่ได้ เพราะว่าพันธมิตรฯ เราที่เคียดแค้นแทนผมมีตั้งแต่หมอ พยาบาล ทนายความ อาจารย์ใหญ่ ผู้อำนวยการโรงเรียน คนพวกนี้เป็นคนซึ่งเป็นครูซึ่งสอนลูกพวกเขา สอนหลานพวกเขา เป็นหมอซึ่งรักษาญาติพี่น้องเขา รักษาเพื่อนเขา นึกออกไหม

จินดารัตน์ - หรือแม้แต่ตัวเขาเอง อย่าป่วยแล้วกันนะ ถ้าป่วยขึ้นมาเมื่อไรล่ะ..

สนธิ - ก็คือ พันธมิตรฯ ก็คงไม่ได้ไปทำอะไรเขา แต่ว่าสายตาที่ถูกดูอย่างดูถูกเหยียดหยามน่ะ เขาจะทนไม่ได้

จินดารัตน์ - อ๋อ นี่คือความทรมานที่คุณสนธิพูดถึง

สนธิ - ทุกข์ทรมานมากฮะ ยิ่งช้าเท่าไรยิ่งทรมานมากขึ้นๆ เพราะว่าเรื่องบางเรื่อง คุณแอน คุณไม่จำเป็นต้องไปเอ่ยชื่อว่าใครทำหรอก เพียงแต่ว่าถ้าจับคนร้ายได้แล้วรู้ว่าคนร้ายมันโยงถึงคนๆ นี้ได้ ก็จบแล้ว

จินดารัตน์ - ไม่ต้องมีคำตอบเป็นตัวหนังสือออกมา

สนธิ - แล้วก็ ช่วงนี้ก็ไปปล่อยข่าวลือว่าผมนี่ถูกสั่งยิงโดย..โดยฟ้า แล้วเขาก็ไม่รู้นะครับว่าข้างบนเขาก็รู้ว่านี่คือข่าวลือที่พวกเขาปล่อยมา แล้วใครปล่อยเขาก็รู้ ปล่อยผ่านพระองค์หนึ่งแถวๆ ยานนาวา พระรูปนั้นท่านก็ฉุน ท่านว่าเอาอาตมาไปเกี่ยวข้องอะไร ก็โทรไปรายงานฟ้าเหมือนกัน ว่าท่านไม่เกี่ยวข้อง และบอกด้วยว่าใครเป็นคนปล่อยข่าวลือ นี่คือความทุกข์ไง

จินดารัตน์ - ความชั่วมันปิดไม่มิดหรอกนะคะ

สนธิ - มันปิดไม่มิดหรอกครับ เอามือปิดฟ้าได้อย่างไร

จินดารัตน์ - แต่ว่าชีวิตคุณสนธิก่อนที่จะโดนลอบฆ่า กับหลังรักษาตัวหายแล้ว วิถีการดำเนินชีวิตเหมือนเดิมไหมคะ จะไปไหนมาไหน จะกินอยู่อย่างไร จะมีนัดตรงไหน อย่างไร

สนธิ - มันก็ลำบากมากขึ้น

จินดารัตน์ - แอนเคยเห็นอยู่วันหนึ่ง คุณผู้ชมคะ คุณสนธิออกจากโรงพยาบาลใหม่ๆ แอนไปหาที่บ้านพระอาทิตย์ เห็นเดินออกกำลังกาย แต่รอบข้างน่ะมีประมาณ 15 คนที่เดินไปด้วย

สนธิ - คือผมมีเพื่อนรักที่เขาเป็นตำรวจ เขาเกษียณแล้ว เขาเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยผมมาก ลำพังผมเองผมไม่ได้เป็นคนประมาท แต่ผมเป็นคนมีความเชื่อมั่นในหลักกรรม เพราะคนเราถ้ามันต้องตาย มันก็ต้องตาย ก็ยิงผมตั้งเกือบ 200 นัด ผมยังไม่ตายเลย แต่ถ้าผมจะต้องตาย จะมีคนล้อมผม 15 คน ก็ต้องตาย แต่เผอิญเพื่อนรักคนนี้เขาเป็นห่วงผม เขาก็เลยมาจัดในเรื่องความปลอดภัยให้ผม ผมก็ไม่อยากจะขัดใจ แล้วผมก็รู้ว่าหลายๆ คนเขาก็เป็นห่วงผม คือทำให้ คือบางครั้งเราไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อตัวเราเองนะ เราต้องมีชีวิตอยู่เพื่อคนอื่นเขา

จินดารัตน์ - วันนี้พูดคำนั้นได้ไหมคะ ถ้าสำหรับคุณสนธิเอง

สนธิ - ได้ วันนี้ผมต้องมีชีวิตอยู่เพื่อชาติบ้านเมือง วันนี้ชีวิตผมไม่มีอะไรอีกแล้วนี่ ผมไม่ต้องการอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว ผมเพียงแต่อยากให้ชาติบ้านเมืองมันดีขึ้น และผมอยากให้ชาติบ้านเมืองมันรู้จักถูก รู้จักผิด อยากให้ชาติบ้านเมืองมีที่ยืน ที่ยืนตรงไหนรู้ไหม ที่ยืนตรงที่ว่า จู่ๆ วันดีคืนดีเอาคนมายิงผมด้วยปืนกล 200 นัด ยิงลูกระเบิด เอ็ม-79 สองลูก คนพวกนี้ต้องรับกฎแห่งกรรมไป ใช่ไหมครับ ถ้าสมมุติว่า อย่างคุณธานีเพิ่งให้สัมภาษณ์เมื่อบ่ายนี้ บอกว่าท่านทำงานแล้วท่านเจอตอ ถ้าทำแล้วเจอตอหมายความว่าหาคนร้ายไม่ได้เนี่ย ประเทศไม่มีที่ยืนหรอกคุณแอน

จินดารัตน์ - จะหวังอะไรได้อีก

สนธิ - หวังไม่ได้แล้ว นะฮะ ทุกคนมีสิทธิ์ตายได้ถ้าเขาพอใจจะให้ใครตาย ใครมีอำนาจก็สามารถจะสั่งฆ่าใครก็ได้

จินดารัตน์ - คุณสนธิไม่กลัวตาย? กลัวไหมคะ

สนธิ - ก็กลัว แต่ว่าผมเตรียมตัวตายมานานแล้ว ที่ผมเตรียมตัวตายก็เพราะว่า ผมไม่ได้อ้างว่าผมนี่เข้าซึ้งถึงหลักธรรมอะไรทั้งสิ้น ผมทราบอยู่อย่างเดียวเท่านั้นเองว่า ไอ้นี่มันเป็นเรื่องสมมุติ เรื่องกาย ใช่ไหมครับ จิตนี่สำคัญที่สุด แต่ผมรู้แน่นอนว่าถ้าผมตายผมขึ้นสวรรค์ เพราะผมทำกรรมดีไว้เยอะ ทำอะไรให้ชาติบ้านเมือง ทำอะไรให้แผ่นดิน มีแต่ผลบุญผลกุศลทั้งสิ้น เพราะผมเชื่อมั่นในคำสอนของพ่อแม่ครูอาจารย์ตลอดเวลา ตลอดเวลา สอน เริ่มแรกก็สอนว่าให้เตรียมตัวตาย เราต้องเตรียมตัวตายยังไงคุณแอน คุณรู้วันตายคุณไหม ก็ไม่มีใครรู้ เราต้องเตรียมตัวตาย เราต้องฝึกจิต เราต้องทำคุณงามความดีไว้ เราต้องละเว้นจากการทำบาป เราต้องมีหิริโอตัปปะ

จินดารัตน์ - มาคิดเรื่องเตรียมตัวตาย หรือว่าทำใจยอมรับกับความจริงที่มันจะเกิดขึ้นตั้งแต่อายุเท่าไรคะ ประมาณเท่าไรคะคุณสนธิ คิดเรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อไร

สนธิ - ความจริงผมได้อิทธิพลอันนี้มากเลยจาก อ.จันทร์ทิพย์ อ.จันทร์ทิพย์ เขาเป็นคนที่ประเสริฐมาก เขาเป็นคนดึงผมเข้าสู่ธรรมะคนแรก ผมเป็นคนดื้อนะ แต่เขาจะมีกุศโลบายหลายอย่างที่เขาสอนผม หรือว่ายัดเยียดให้ผม ต้องพูดว่ายัดเยียดเลยนะ

จินดารัตน์ - เดี๋ยวต้องเรียนคุณผู้ชมนิดหนึ่ง เผื่อว่าคุณผู้ชมอาจจะลืมชื่ออาจารย์หญิงของเราไปแล้ว อ.จันทร์ทิพย์ เนี่ยภรรยาของคุณสนธิ

สนธิ - ยัดเยียด แต่ว่าจะยัดเยียดยังไงก็ตาม ในที่สุดแล้วมันก็ค่อยซึมมา ทีละนิดๆๆ

จินดารัตน์ - คือใหม่ๆ ที่โดนยัดเยียดน่ะไม่กล้าปฏิเสธใช่ไหมคะ

สนธิ - มันไม่ใช่ไม่กล้าปฏิเสธหรอก บางครั้งรำคาญ รำคาญก็เลยรับเอาไว้เพื่อที่จะให้หยุดยัดเยียด พอรับไปเรื่อยๆ แล้วมันก็ซึมเข้าไปเรื่อยๆ

จินดารัตน์ - นี่เป็นเทคนิคการครองคู่ชีวิต

สนธิ - ฮะ ส่วนหนึ่ง พอรับไปเรื่อยๆ ก็เลยสนใจ แล้ว อ.จันทร์ทิพย์ เป็นคนรู้จักพ่อแม่ครูอาจารย์เยอะมาก เกจิอาจารย์นี่รู้จักเต็มไปหมดเลย ไม่ใช่เพิ่งรู้จัก รู้จักมานานแล้ว แต่ละองค์ หลวงพ่อ หลวงปู่ หลวงตา รู้หมดเลย มีอยู่ครั้งหนึ่งยังจำได้เลย ไปกราบหลวงตามหาบัวด้วยกัน นานแล้ว ตั้งแต่เริ่มเป็นลูกศิษย์ท่านใหม่ๆ ผมก็กราบ อ.จันทร์ทิพย์ ก็กราบ เอาทองคำไปถวายท่าน อ.จันทร์ทิพย์ เขานั่งตั้งจิตอธิษฐาน นั่งเรื่องอะไรของเขาไม่รู้ เสร็จแล้วหลวงตาก็รับทองเสร็จหลวงตาก็เทศน์เลย ท่านเทศน์เลยนะ ท่านพูดเรื่องนี้ ท่านพูดๆๆๆ พูดจบท่านหันมองหน้า อ.จันทร์ทิพย์ ท่านบอกว่าพอใจไหม ก็คือ อ.จันทร์ทิพย์ ตั้งจิตอธิษฐานว่าขอให้หลวงตาท่านเทศน์ให้ฟัง แล้วผมก็ค่อยๆ สัมผัสไปเรื่อยๆ จนกระทั่งผมเริ่มบวชครั้งแรกกับหลวงพ่อยา

จินดารัตน์ - ตอนนั้นอายุเท่าไรคะ

สนธิ - ตอนนั้น 2541 ประมาณสัก 11 ปีที่แล้ว หลวงพ่อยาท่านผมก็ได้รับบทเรียนเชิงธรรมะจากท่านสูงมาก บวชวันแรกปั๊บ ท่านสั่งให้อยู่เอกา ฉันเอกา ท่านเอากุฏิเล็กๆ ซึ่งห่างไกลจากชาวบ้านมากเลย แล้วท่านสั่งพระทุกรูปไม่ให้ไปยุ่งกับผม ห้ามไม่ให้พูดกับผม มีท่านองค์เดียวที่ไปพูดได้ และผมจำได้วันแรกที่บิณฑบาตท่านจะไปที่กุฏิเลย ท่านไม่ให้ผมไปฉันที่ศาลาด้วยนะ ท่านให้ฉันที่กุฏิด้วยตัวเอง ท่านสอนวิธีฉัน วิธีเคี้ยว เคี้ยวยังไง ให้กำหนดจิตไว้ตรงไหน เวลากลืนให้มีความรู้สึกตามอาหารที่กลืนลงไป ว่ามันผ่านคอไปแล้วหนอ ค่อยๆ ลงไปเรื่อยๆ นั่นก็คือการที่มีสติตลอดเวลา แม้กระทั่งการทานอาหาร

จินดารัตน์ - ทำสมาธิ

สนธิ - เขาเรียกมีสติ มีสติตลอดเวลา แล้วหลวงพ่อยาท่านก็จะให้นั่งสมาธิ สอนเดินจงกลม ก็บวชได้สักพักหนึ่ง สักเดือนกว่าๆ

จินดารัตน์ - ตอนนั้นนั่งได้เหรอคะ เพราะว่าทำธุรกิจตั้งเยอะแยะ

สนธิ - ได้ๆๆ ได้ครับ เพราะว่าช่วงนั้นผมเป็นช่วงซึ่งธุรกิจมันล้มละลาย แล้วก็ประหลาดมาก วันที่ศาลพิพากษาให้ผมล้มละลายนั้น เมื่อประมาณสัก 10 กว่าปีที่แล้ว ตลกมาก คนแรกที่ผมนึกถึงคือหลวงพ่อยาท่าน โทรไปถามท่าน เรียนให้ท่านทราบ ท่านหัวเราะ ท่านบอกเราพ้นกรรมแล้ว ผมก็ไม่เข้าใจท่าน คือผมไปค้ำประกันเงินกู้ของบริษัทในเครือ 8,000 ล้าน แล้วเจ้าหนี้รายหนึ่งคือธนาคารนครหลวงไทย เขาฟ้องผมล้มละลายด้วยเงินค้ำประกัน 100 กว่าล้าน ผมก็สู้นะ ผมสู้สุดฤทธิ์สุดเดชนะ แต่ในที่สุดศาลก็พิพากษาให้ผมล้มละลาย ท่านผู้พิพากษาคนนี้ผมยังจำได้ วันนี้ทำงานอยู่แบงก์กรุงเทพแล้ว ไปเป็นลูกจ้างแบงก์กรุงเทพ ไปรับใช้นายทุนเต็มตัว ผมก็โทรไปหาท่าน ท่านบอกว่า สนธิ เสียอะไรเสียไป รักษาใจให้ดี ใจเท่านั้นที่เป็นของเรา ไม่มีใครเอาจากเราไปได้ ผมก็เลยคิดออก คิดออกว่าไอ้นาฬิกาที่ใส่ ไอ้รถที่มี เสื้อผ้าที่ใส่ เพชรพลอย หรืออะไรก็ตาม ถ้ามันจะหมดไปก็ให้มันหมดไป รักษาใจไว้ก่อน

จินดารัตน์ - แสดงว่าเมื่อก่อนที่จะล้มละลายก็ยอมรับใช่ไหมคะว่า รถก็ต้องมี นาฬิกาก็ต้องแพง

สนธิ - สมัยก่อนผม ถ้าพูดกันตรงๆ นะฮะ พูดอย่างชนิดที่เรียกว่าไม่ได้ไปทับถมใคร ผมเป็นคนไทยที่หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์เคยเอาเรื่องของผมไปลง 1 หน้า ตั้งนมตั้งนานแล้ว ตั้งแต่สมัยคุณทักษิณยังเพิ่งจะมาทำ IBC , AIS ใหม่ๆ เอเชียวีค เอาผมขึ้นปก ขึ้นปกเลยนะครับ มีเรื่องของผมตลอดเวลา แล้วก็มีลอสแองเจลิสไทมส์หลายเล่ม เอเชียนวอลล์สตรีทเจอร์นัล ไทม์แมกกาซีน ก็เคยลง แต่พอมองย้อนหลังกลับไปแล้วมันเป็นเรื่องสมมุติทั้งนั้นเลย ผมพอมามองย้อนหลังแล้วผมรู้สึกเฉยๆ แต่สมัยนั้นผมไปภูมิใจกับมัน ผมไปหลงมันไง ผมไปหลง สมัยนั้นเรามีบริษัทอยู่ที่นิวยอร์ก มีบริษัทอยู่ที่แมนเชสเตอร์ มีบริษัทอยู่ในฮ่องกง ที่สิงคโปร์ โอ๊ยสมัยนั้นไปอเมริกาปีหนึ่ง 3-4 ทริป บินไปอเมริกา คือบินไปลอนดอนก่อน จากลอนดอนต่อไปแมนเชสเตอร์ ไปดูงานที่บริษัท แล้วกลับมาลอนดอน นั่งคองคอร์ดบินไปนิวยอร์ก คองคอร์ดนี่วิ่งแค่ 3 ชั่วโมงครึ่ง

จินดารัตน์ - ซึ่งปกติกี่ชั่วโมงนะคะ

สนธิ - 8 ชั่วโมง นะ บินเร็วกว่าเสียง มีอยู่ครั้งหนึ่งนั่งจากลอนดอนไปนิวยอร์ก นั่งขากลับจากนิวยอร์กมาลอนดอน คนนั่งข้างๆ ผมนี่เป็นใครก็ไม่รู้ ผมก็นั่งคุยกับเขามาตลอด พอลงเครื่องบินไปที่สนามบินฮีทโธรว์ เดินออกพร้อมกัน ก็จับมือลากัน เรย์ เชียรี่ ซึ่งเป็นคนขับรถลีมูซีนที่ผมจ้าง มันก็บอกว่า สนธิ ยูนั่งเครื่องคองคอร์ดมากับเอริค แคลปตัน เหรอ ผมไม่รู้จัก นั่นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคืออะไรก็ตามที่มันที่สุดๆ เราผ่านมาหมดแล้ว อะไรก็ตามที่มันเป็นความเว่อร์ในทางด้าน public relation ประชาสัมพันธ์ เราก็ผ่านมาหมดแล้ว

จินดารัตน์ - นั่นถือว่าเป็นความภาคภูมิใจสุดๆ

สนธิ - สมัยนั้น แต่ผมมามองย้อนหลังแล้วผมมีความรู้สึกว่า ถ้ามีชีวิตย้อนกลับไปอีกทีหนึ่ง ผมไม่อยากเป็นอย่างนั้น

จินดารัตน์ - บางคนนะคะคุณสนธิ ก็เป็นเหมือนคุณสนธิ ว่าวันนี้รู้ตัวตนที่แท้จริงว่าคิดอะไร รู้สึกอย่างไร พอมองย้อนกลับไป รู้สึกเออทำไมเราอีเดียตขนาดนั้น

สนธิ - อีเดียต ผมมีความรู้สึกสงสารตัวผมเอง แล้วก็มีตัวอย่างของผมให้เห็นอยู่ทุกวัน คนรุ่นหนุ่ม 40 กว่า 38 40 กว่า เริ่มต้น 50 ประสบผลสำเร็จในตลาดหลักทรัพย์ คุยโม้ว่ายอดขายผมหมื่นกว่าล้าน 2 หมื่นล้าน 3 พันล้าน 5 พันล้าน ปีนี้จะต้องกำไรเท่านี้ ใส่เสื้อนอก ผูกเนกไท ให้สัมภาษณ์ เท่ห์ไปหมดเลย ผมมามองแล้วผมก็สงสารเขา เพราะว่าผมเคยผ่านช่วงนั้นมาแล้ว แล้วผมรู้ว่านั่นคือของปลอม

จินดารัตน์ - เขาเรียกอาการหลงใช่ไหมคะ

สนธิ - หลง หลงมากๆ

จินดารัตน์ - คุณสนธิเป็นนักธุรกิจประเภทไหนคะ ถ้าจะให้บอก เป็นประเภทกอบโกย เห็นแก่ตัว

สนธิ - ผมเป็นนักธุรกิจที่โง่

จินดารัตน์ - โง่ยังไงคะ

สนธิ - ผมโง่ วงการธุรกิจเขารู้การตัดสินใจอะไรบางอย่างของผม เขาจะด่าผม

จินดารัตน์ - ตัวอย่างเช่น

สนธิ - สมัยนั้นผมมีบริษัทอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ผมมีหนังสือพิมพ์ผู้จัดการอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ โรงพิมพ์ตะวันออก แต่ก่อนผมเป็นเจ้าของ 2 แห่ง แล้ว IEC IEC นี่ผมไปซื้อมาจากบริษัทปูนซิเมนต์ไทย แล้วก็ปั้นบริษัทนี้เข้าไปในตลาดหลักทรัพย์ ผมมีอยู่ 3 บริษัท IEC ผมยังเอาหุ้นให้คุณทักษิณเลย

จินดารัตน์ - ใช่ค่ะ ที่เป็นประเด็นกัน

สนธิ - ที่เป็นประเด็นกันน่ะ ผมให้หุ้นคุณทักษิณในราคา 10 บาท ราคาอันเดอร์ไรท์ 250 บาท แล้วไอ้พวกลิ่วล้อทักษิณมาบอกว่าผมเนี่ยขัดแย้งกับทักษิณ ผมไปขอเงินทักษิณแล้วทักษิณไม่ให้ ปัดโธ่ ผมเป็นคนให้เงินนายทักษิณ 600 กว่าล้านบาท ผมขี้เกียจจะพูดนะฮะ 3 บริษัทที่ผมมีหนี้อยู่ มูลค่าตอนนั้นพูดจริงๆ มีเงินสดก็เป็นพันๆ ล้าน นะ

จินดารัตน์ - เป็นเงินสดเลย?

สนธิ - เป็นเงินสด เอ้าหุ้นเนี่ยถ้าขายทิ้งก็ได้เป็นเงินสดทันที ปรากฏว่าผมได้เอาธุรกิจของผมทั้งหมดมาแลกกับอุดมการณ์ผม

จินดารัตน์ - อุดมการณ์อะไรคะ

สนธิ - ตอนนั้น รสช.เข้ามายึดอำนาจ ใช่ไหม

จินดารัตน์ - ค่ะ ปี 35

สนธิ - ปี 35 เมื่อเข้ายึดอำนาจแล้วเขาก็เซ็นเซอร์หนังสือพิมพ์ เขาขู่หนังสือพิมพ์หมดเลยนะ มีผู้จัดการฉบับเดียวที่ไม่กลัวเขา ลงข่าวสวนทางเขา ลงข่าวสวนทางเขา จนกระทั่งพี่นันต์ คุณอนันต์ อนันตกูล

จินดารัตน์ - ก่อนพฤษภาฯ ทมิฬ ใช่ไหมคะ

สนธิ - ไม่ ตอนช่วงพฤษภาทมิฬเลย

จินดารัตน์ - ในช่วงเวลาพฤษภาทมิฬ

สนธิ - ช่วงเวลาหลังจากที่เขายึดอำนาจแล้ว พี่นันต์นี่ผมจำได้เลย เจอผมที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ ที่ล็อบบี้ ตอนนั้นเป็นโรงแรมรีเจ้นท์ พี่นันต์ก็นั่งคุยกับผม พี่นันต์เตือนผมบอกว่า เขามีอำนาจอยู่นะ สนธิ อะไรก็ตาม ลู่ตามลมได้ก็ลู่ตามลมไปก่อนแล้วกัน เพราะว่าเขามีอำนาจมาก เขาหมายถึงพวก รสช.นะ พล.อ.อิสรพงษ์ หนุนภักดี พล.อ.สุจินดา คราประยูร พล.อ.อ.เกษตร โรจนนิล พล.อ.วิโรจน์ แสงสนิท เอ่ยชื่อมาสิ พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ ผมก็บอกพี่นันต์ ว่าพี่นันต์ครับ ผมรู้ เรื่องเงินเรื่องทองสำหรับผมไม่มีความหมายแล้ว ผมคิดว่าสิ่งใดที่มันเป็นประโยชน์ต่อชาติบ้านเมือง ผมยินดี

จินดารัตน์ - เกิดอาการทนไม่ได้หรือเปล่าคะตอนนั้น หรือยังไงคะ

สนธิ - ผมทนไม่ได้เพราะว่าผมเห็นว่าเขาไปยึดอำนาจจาก พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ และผมเองก็โง่ เพราะว่าผมจำได้ว่าตอนคุณชาติชายถูกยึดอำนาจน่ะ ผมสงสารคุณชาติชาย นายกรัฐมนตรีจะต้องลี้ภัยทางการเมืองไปอยู่อังกฤษ ผมไม่รู้ว่าคุณชาติชายจะมีชีวิตอย่างไร จะไปไหนมาไหนอย่างไร จะต้องเรียกแท็กซี่หรือเปล่า ผมโทรศัพท์ไปบอกเรย์ เชียรี่ ซึ่งเป็นคนขับลีมูซีนประจำของผมตอนนั้น ผมบอกเรย์ ยูติดต่อ พล.อ.ชาติชาย อย่างนี้ๆ นะ ยูเอารถไปบริการ พล.อ.ชาติชาย ค่าใช้จ่ายเท่าไร ไอจ่ายเอง อ้าวตาย ปรากฏว่าผมเคยเดินทางไปเยี่ยมท่าน อ้าวตายห่า ท่านรวยฉิบหายเลย ท่านมีอพาร์ตเมนต์ท่านอยู่แถวๆ แฮร์ร็อด อพาร์ตเมนต์ท่านอยู่ข้างหลังโรงแรมเชอราตัน พาร์ค ทาวเวอร์ ท่านมีคนขับรถท่านเอง ท่านมีรถเก๋ง ท่านยังเชิญผมกินข้าวเที่ยงเลย โอย ท่านเท่ห์มาก ผมก็บอกไอ้ห่ากูนี่โง่จริงๆ ผมก็เลยเป็นบทเรียนครั้งแรกที่ผมรู้ว่านักการเมืองเขามีทางออกของเขาอยู่แล้ว ไอ้เรามันใสซื่อบริสุทธิ์ไง เข้าใจไหม

จินดารัตน์ - ขอขัดจังหวะนิดหนึ่งนะคะ เฉกเช่นเดียวกับเหตุการณ์ช่วยคุณเฉลิมด้วยหรือเปล่า

สนธิ - เหมือนกันๆ แต่ว่าคุณเฉลิมอย่าไปพูดถึงเลย เพราะว่ามันไม่มีราคา ผมไม่อยากจะพูดหรอกนะครับ เป็นเรื่องที่ผมรู้ดี แล้วเขาก็รู้ว่าผมรู้อะไร วันที่เขายึดอำนาจเสร็จแล้วผมก็สู้กับเขาตลอด สู้มาจนกระทั่งเริ่มมีการประท้วงของประชาชนที่พี่ลองเป็นหัวหน้า ตอนนั้นหนังสือพิมพ์ทุกฉบับถูกล็อกหมด

จินดารัตน์ - เราไม่เคยรู้เลยว่าเกิดอะไร

สนธิ - ไม่เคยรู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น

จินดารัตน์ - ใช่ค่ะ

สนธิ - ไม่เคยรู้ว่ามีการชุมนุมกัน ไม่มี ทีวีก็ไม่ให้ออก วิทยุก็ไม่ออก ทุกฉบับไม่เว้นล่ะ

จินดารัตน์ - อันนั้นน่ะคือเผด็จการจริงๆ

สนธิ - เผด็จการจริงๆ แล้วผมยังจำได้เลยวันที่เขายึดอำนาจ รสช. หนังสือพิมพ์มติชนน่ะ คุณขรรชัย บุนปาน เขียนบทนำด่าคนที่ไม่เห็นด้วยกับการยึดอำนาจ แล้วก็บอกเลย บอกว่าบรรดานักเขียนที่เคยเขียนลงมติชนถ้าไม่พอใจไม่ต้องไปเขียนลงอีก เพราะเขายืนอยู่ข้างคุณสุจินดา คราประยูร พล.อ.วิโรจน์ แสงสนิท ปรากฏว่านักเขียนของเขามาขอลงที่ผม คุณทายสิใครบ้าง

จินดารัตน์ - ใครคะ

สนธิ - นิธิ เอี่ยวศรีวงศ์ เจ้าเก่า

จินดารัตน์ - เป็นไปได้นะคะ

สนธิ - อ.เกษียร มาลงที่ผม ผมกล้าให้ลง เพราะเขาไปลงมติชนไม่ได้ มติชนไม่ยอมรับ มติชนตอนนั้นก็ด่า อ.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ เสียผู้เสียคนเลย มีผู้จัดการคนเดียวที่รับเขามาและก็สู้ให้ตลอด จนกระทั่งวันที่พี่ลองต่อสู้ พอพี่ลองต่อสู้ปั๊บ ก็ปรากฏว่าเราก็ร่วมสู้ด้วย วันนั้นเป็นวันที่สำคัญที่สุด เพราะวันนั้นเป็นวันที่เราต้องตัดสินใจว่าเราจะตีพิมพ์ความจริงหรือเปล่าว่ามีประชาชนอยู่ที่สนามหลวง อยู่ที่ราชดำเนิน เป็นเรือนหมื่น ผมก็เรียกประชุมกอง บก.ทั้งหมดเลย คำนูณ สิทธิสมาน อยู่ด้วย ท่าน ส.ว.เราเนี่ย ผมก็บอก เฮ้ยเอาไงพวกเรา พวกนี้ก็บอกแล้วแต่พี่ เพราะว่าเป็นบริษัทของพี่ พูดอย่างนี้เลยนะ เป็นบริษัทของพี่ พี่ตัดสินใจเอง ไอ้เราก็มองหน้าทุกคน มองหน้าคำนูณ สิทธิสมาน มองหน้าคนโน้นคนนี้ คนเก่าๆ สุวัฒน์ ทองธนากุล คนที่ยังอยู่กับผมทุกวันนี้ ผมมองแล้วผมก็คิดถึงตัวเลขในบัญชีผม

จินดารัตน์ - คิดทำไมคะ

สนธิ - คิดว่านี่เรากำลังเอาธุรกิจเราทั้งหมดมาเสี่ยงนะ เพราะว่าวันนั้นไม่มีทางชนะเขาได้

จินดารัตน์ - คุณสนธิก็รู้อยู่แล้ว

สนธิ - รู้อยู่แล้ว

จินดารัตน์ - ว่าไม่มีทางชนะ

สนธิ - ไม่มีทางชนะ แต่ว่าจิตวิญญาณมันบอกว่ามันไม่ใช่ มันเห็นหน้าไอ้เด็กพวกนี้แล้วมันทำให้ผมระลึกไปถึงยุคที่ผมยังเป็นคนหนุ่มแล้วอยู่ด้วยอุดมการณ์ วันนี้ผมกลายเป็นคนรวย มีเงินหลายพันล้าน ผมจะกอดเงินแล้วก็ทิ้งอุดมการณ์ บอก เฮ้ย ถ้าอย่างนั้นเราอยู่เฉยๆ ดีกว่า เฉยๆ ไปเดี๋ยวคนไทยก็ลืม เหมือนเจ้าของสื่อมวลชนหลายฉบับ ผมทนไม่ได้ ผมบอกลุย

จินดารัตน์ - ขอประทานโทษนะคะคุณสนธิ เขาว่าโง่ใช่ไหมคะ

สนธิ - ก็นี่ไง

จินดารัตน์ - ขอเพิ่มอีกคำได้ไหมคะ บ้าด้วย

สนธิ - ก็ใช่ไง ทีนี้ผมก็เลยบอกคำนูณ ลุย เราก็เลยตีพิมพ์หนังสือพิมพ์ฉบับพิเศษเลย ประกาศเลยว่ามีคนชุมนุมอย่างนี้ๆๆๆ แล้วคุณแอน ผมสั่งพิมพ์ 250,000 ฉบับ

จินดารัตน์ - เห็นบอกฟรีด้วยใช่ไหมคะ

สนธิ - แจกมันหมดเลยทั่วกรุงเทพฯ เลย สีลมแจกหมด คุณประสงค์ สุ่นศิริ กำลังปราศรัยอยู่ที่โรงแรมดุสิตธานี แจกหมดเลย คนเลยรู้เป็นครั้งแรกว่าที่ข่าวไม่มีนี่แท้ที่จริงแล้วมีคนเรือนหมื่นอยู่ที่สนามหลวง

จินดารัตน์ - คุณประสงค์พูดคำหนึ่งว่า เมื่อเห็นหนังสือพิมพ์ผู้จัดการฉบับพิเศษ ฉบับนั้นที่แจก คุณประสงค์พูดออกมาว่าเราชนะแล้ว

สนธิ - ครับ ก็นั่นล่ะ ฉบับอื่นไม่มีใครสนใจ กลัว คือพอถึงยามวิกฤตจริงๆ แล้วจะต้องหงายไพ่เล่นกันแล้ว ทุกคนวิ่งหนีหมด ทุกคนห่วงทรัพย์สมบัติตัวเอง แต่ผมบอกไม่ได้ เรื่องนี้เรื่องชาติบ้านเมือง

จินดารัตน์ - ไม่กลัวเหรอคะว่าเดี๋ยวจะไม่มีอะไรเหลือ แม้กระทั่งชีวิต

สนธิ - ก็เพราะว่าอย่างนี้ไง เพราะว่ามันทนไม่ไหว มันบอกว่า ถ้าเราไม่ตัดสินใจอย่างนี้แล้วมันนอนไม่หลับ เพราะว่าผมมองหน้าไอ้เด็กๆ ที่อยู่ในกอง บก.ผมก็คิดถึงสมัยที่ผมหนุ่มๆ อุดมการณ์ รักความยุติธรรม ต่อสู้กับความอยุติธรรม แล้วผมก็ตัดสินใจเลย ลุยได้ 2-3 วันแล้วเขาส่งคนไปยิงผมไง ผมก็เลยตัดสินใจไปต่างประเทศ ไปต่างประเทศเพื่ออะไรรู้ไหม เพื่อที่จะเตรียมตัวไปตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น

จินดารัตน์ - คิดอย่างนั้นเลยเหรอคะ

สนธิ - เรื่องจริง เพราะผมรู้ว่ายังไงผมก็แพ้ ก่อนไปก็ไปชุมนุมกับพวกแกนนำนักต่อสู้ทั้งหลาย

จินดารัตน์ - ก่อนขึ้นเครื่อง

สนธิ - ก่อนขึ้นเครื่องประมาณสัก 4 ชั่วโมง ที่โรงแรมรามาการ์เด้นส์ คอฟฟี่ช็อป มีคนหนึ่งที่นั่งอยู่ คือคุณชัชวาลย์

จินดารัตน์ - ชาติสุทธิชัย

สนธิ - ชาติสุทธิชัย แล้วก็ไอ้อ๋า (ธัญญา ชุนชฎาธาร) อ๋านี่เป็นสามีมาลีรัตน์ แก้วก่า หลายคนนั่ง คุณแอน ผมหยิบเช็กขึ้นมา เซ็นเช็ก ผมส่งให้ชัชวาลย์ บอกชัช ไปกรอกตัวเลขเอง เงินมี เอาเงินก้อนนั้นไปซื้ออาหารการกินให้คนที่ประท้วง ชัชวาลย์รับเช็กไป

จินดารัตน์ - เอามาเลี้ยงคนประท้วงที่สนามหลวง

สนธิ - เพราะมันต้องใช้เงินนี่ อาหารการกินน่ะ แล้วผมยังบอกว่า ถ้าไม่พอให้ติดต่อเลขาฯ ผม ผมสั่งเลขาฯ ผมไว้แล้ว ยังมีเงินในแบงก์เหลืออยู่ 200 ล้านบาท เบิกเอาไปใช้เพื่อสู้เพื่อความเป็นธรรม แล้วผมก็ขึ้นเครื่องบินไปลอนดอน

จินดารัตน์ - ไม่ได้ห่วงเลยใช่ไหมคะว่าเขาจะเบิกกันใช้จ่ายกันอย่างไร วินาทีนั้น

สนธิ - วันนั้นผมถือว่าผมเจ๊งหมดแล้วนี่

จินดารัตน์ - อ๋อ เหรอคะ

สนธิ - เพราะผมคิดว่ายังไงผมก็แพ้ ผมเจ๊ง

จินดารัตน์ - ในช่วงที่นั่งเครื่องบินไปลอนดอน คุณสนธิเคยคิด แหม ทำไมโง่ขนาดนี้ บ้าขนาดนี้

สนธิ - ไม่ ไม่คิด ไม่ได้คิดเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ว่านักธุรกิจซึ่งเป็นเพื่อนผมเขาบอกว่า เฮ้ยวันหลังมึงทำธุรกิจอะไรมึงไม่ต้องชวนกูเข้าหุ้นด้วยนะ มันติดมาตั้งแต่ปี 2540 แล้ว แต่ไหนแต่ไรก็เป็นอย่างนี้

จินดารัตน์ - แล้วมันเป็นจุดเริ่มต้นของความทนไม่ได้ อดไม่ได้หรือเปล่าคะ

สนธิ - ทนไม่ได้ อดไม่ได้ มานานแล้ว ตั้งนาน แล้วผมนี่เป็นคนที่สู้ทางด้านนี้ตั้งแต่สมัยผมกลับมาจากเมืองนอกใหม่ๆ ผมกลับจากเมืองนอกใหม่ๆ ผมเป็นบรรณาธิการบริหารของหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตยนะ คุณแอนจะเคยเห็นหรือเปล่าไม่รู้ โตทันหรือเปล่า

จินดารัตน์ - ไม่ทันค่ะ

สนธิ - คุณสุวัฒน์ ทองธนากุล ที่เป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายสัปดาห์ตอนนี้ เป็นหัวหน้ากองบรรณาธิการ เคยได้ยินชื่อคุณจันทรา ชัยนาม ไหม

จินดารัตน์ - อ๋อ แหมไม่มีใครไม่รู้จักนะคะ

สนธิ - จันทรา ชัยนาม ตอนนั้นเป็นนักเขียนคอลัมนิสต์ ชื่อว่าขุนทอง คุณจันทรานี่โกรธผม โกรธมานานแล้ว จิตใจผมนี่ เรื่องการทำสื่อมวลชนมันแสดงออกตั้งแต่สมัยผมทำหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตย ตั้งแต่ปี 2510 กว่า ทำยังไง ผมเข้ามากุมบังเหียนหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตย ผมเห็นคอลัมน์ของคุณแดง ผมเห็นคนที่ไม่ค่อยชอบคอลัมน์ส่วนตัว คอลัมน์ซุบซิบนินทาอะไรพวกนี้ ผมไม่ชอบ พวกหน้า 4 ทั้งหลายเนี่ย พอดีมีอยู่วันหนึ่ง เผอิญ ก็ไม่ได้ว่าคุณแดงนะ คุณแดงบอกว่าพรุ่งนี้วันเกิดของขุนทอง แกเขียนบอกวันเกิดแก เท่านั้นเอง ของขวัญมาเต็มหมดเลย ผมสั่งยกเลิกคอลัมน์แกทันทีเลยวันรุ่งขึ้น แกโกรธผมเป็นปี แกโกรธผมเป็นปี ไม่ยอมพูดกับผม จนกระทั่งหนังสือพิมพ์เจ๊งไปแล้ว ออกไปอยู่ข้างนอก แกก็ยังไม่ยอมพูดกับผม

จินดารัตน์ - คุณสนธิได้อธิบายเหตุผลไหมคะ

สนธิ - ผมอธิบายให้ฟังแต่แกก็ไม่ยอม แกไม่ยอม สมัยนั้นทำหนังสือพิมพ์ก็มัน เพราะอะไรรู้ไหม เพราะสมัยนั้นหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตยเป็นหนังสือพิมพ์ก้าวหน้า เจ้าของคือคุณณรงค์ เกตุทัต คุณพ่อคุณณรงค์ เกตุทัต คือคุณสนั่น เกตุทัต ท่านเป็นอดีตปลัดกระทรวงการคลัง แล้วท่านโดนคดีเรื่องไม้ซุงเถื่อน ทีนี้คุณสนั่นท่านก็เป็นเพื่อนคุณกฤษณ์ ศรีวรา ท่านก็มีเพื่อนเยอะ แล้วโรงพิมพ์ ออฟฟิศก็อยู่ติดกับบ้านท่าน อยู่ติดรั้วเลย คือพูดง่ายๆ ว่า ท่านใส่กางเกงแพรเดินออกมาจากบ้านก็เดินเข้าออฟฟิศได้ทันทีเลย ชั้นล่างก็เป็นแท่นพิมพ์ ข้างบนชั้น 2 ชั้น 3 เป็นกอง บก. ชั้น 4 เป็นฝ่ายบัญชี ก็ปรากฏว่าเวลาเขียนข่าวก็จะต้องไปกระทบกระทั่งเพื่อนคุณสนั่น พล.อ.กฤษณ์ ศรีวรา บ้าง คนโน้นคนนี้บ้าง คุณพ่อ ผมเรียกคุณพ่อ ต้องโทรมา สนธิ พ่อบอกขอได้ไหมคนนี้อย่าไปเขียนถึงเขา เขาเป็นเพื่อนพ่อ เอ้า ผมก็มีหน้าที่เรียกประชุมกอง บก. บอก เฮ้ย ขอร้องเถอะวะ เจ้าของหนังสือพิมพ์เขาขอมาอย่างนี้ ทุกคนก็อึกอักๆ เอ้า ยอม เสร็จเรียบร้อยแล้วหลังจากนั้นก็จะมีมาตลอด มีมาเรื่อยๆ เลยจนกระทั่งผมทนไม่ได้ ผมเดินเข้าไปหาคุณพ่อ บอก คุณพ่อ คุณพ่อมีเพื่อนทั้งหมดกี่คน ลิสต์ชื่อให้ผมหน่อยได้ไหม แล้วผมจะได้เอาชื่อไปแปะที่ข้างๆ แล้วบอกไอ้บรรดาที่มีชื่อทั้งหมดนี่นะมึงอย่าไปเขียนถึง นี่เรื่องจริง

จินดารัตน์ - แล้วไม่โกรธเหรอคะ

สนธิ - นี่เรื่องจริงฮะ แกก็ขำน่ะ แกก็ขำของแกนะ แล้วทีนี้สมัยนั้นแกมีลูกเขยชื่อคุณดำรง ลัทธพิพัฒน์ คุณดำรงก็เป็นนักการเมืองพรรคประชาธิปัตย์ที่ค่อนข้างจะฮอตมาก ข่าวอะไรก็ตามถ้าสมมุติว่าไปกระทบกระเทือนคุณดำรง ผมจะต้องดูแลให้เป็นพิเศษ เอาล่ะ ประเด็นมันก็เป็นบทเรียนสอนผม ว่าเมื่อผมเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์แล้ว ผมต้องเปิดโอกาสให้ลูกน้องผมทำงาน โดยที่ไม่ไปกีดขวางเขา เพราะว่าผมได้บทเรียนมาแล้ว

จินดารัตน์ - แล้วคุณสนธิยึดมั่นอุดมการณ์ตรงนี้หรืออันนี้มาโดยตลอด?

สนธิ - มาโดยตลอด ผมไม่เคยยุ่งเลย

จินดารัตน์ - ไม่ก้าวก่าย

สนธิ - ไม่ก้าวก่าย

จินดารัตน์ - ไม่ล้วงลูก

สนธิ - ไม่ล้วงลูก นอกจากมีเรื่องอะไรที่ผมคิดว่าเขาได้ข้อมูลผิด ผมจะเชิญคนที่ถูกกล่าวหามาที่กอง บก.แล้วผมจะเชิญคนเขียนและ บก.นั่งคุยกัน

จินดารัตน์ - อ๋อ มาเจอกันเลย

สนธิ - เจอกัน ให้เอาหลักฐานหงายให้ดูกันเลย ถ้าเขาเคลียร์ตัวเขาเองได้ผมก็จะบอกลูกน้องผม โอเคไหม โอเค แต่ถ้าสมมุติว่าลูกน้องผมเขียนถึงใครแล้วคนนั้นทะลึ่งเป็นคนที่ผมรู้จักเขาโทรมา พี่สนธิ ทำไมพี่ว่าอย่างนั้น เอ้าเฮ้ย ผมไม่รู้ แต่เดี๋ยวผมจะเช็กให้ ผมก็เช็ก เมื่อผมเช็กแล้วผมก็จะถามเด็กว่ามึงเขียนถึงเขากี่ตอนแล้ว เขาบอก 3 ตอนแล้วพี่ หมดหรือยัง หมดแล้ว ไม่มีอีกแล้ว โอเค พอแล้ว ด่าเขามาวิจารณ์มา 3 ครั้ง ผมก็จะโทรไปบอกเขา

จินดารัตน์ - ว่าหมดแล้วนะ 3 ตอน หรือยังไงคะ

สนธิ - ไม่ใช่ บอกว่าผมพูดกับเด็กแล้ว เด็กเขาโอเค เด็กเขาหยุดแล้ว แต่ถ้ายังเหลืออีกตอนหนึ่งนะ ผมก็จะไม่รับโทรศัพท์

จินดารัตน์ - นี่เขาเรียกว่ากะล่อนแบบนักหนังสือพิมพ์นะคะ

สนธิ - ก็มันจำเป็น ไม่ เราต้องรักษาสัมพันธภาพกับเพื่อนเรา ที่เรารู้จัก แต่ขณะเดียวกัน เราต้องรักษาน้ำใจลูกน้อง ไม่งั้นลูกน้องทำงานไม่ได้ ตรงนั้นก็เลยยึดถือเป็นวิธีการทำงานมาตลอด แต่สิ่งหนึ่งซึ่งผมสบายใจก็คือว่า ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ประชาธิปไตยสมัยก่อน จนถึงปัจจุบัน คนของผมทุกคนที่เข้ามาจะเข้าใจปรัชญาของที่นี่ว่าแนวทางเราเป็นอย่างนี้ๆๆ นะ คุณรับได้ไหม ถ้าคุณรับได้ แล้วหลังจากที่เขาสัมผัสไปแล้ว เขาก็เหมือนกับมีสัมมาปัญญาของเขาเกิดขึ้น พอมีปัญญาเกิดขึ้น เขาวิเคราะห์อะไร ผมไม่ต้องไปบอกเขา มันออกมาแนวทางเดียวกัน อย่างคุณแอนตั้งแต่ทำงานกับผมมา ถึง 4 ปีหรือยัง

จินดารัตน์ - 5 ปีแล้วค่ะ

สนธิ - 5 ปีแล้ว? ผมเคยมาสั่งคุณแอนไหมว่าให้พูดอย่างนั้นให้พูดอย่างนี้

จินดารัตน์ - ไม่เคย

สนธิ - ไม่มี แต่คุณแอนเรียนรู้วัฒนธรรมไปด้วยตัวเอง

จินดารัตน์ - ใช่ค่ะ

สนธิ - ว่าที่นี่ถือว่าอะไรถูกคือถูก อะไรผิดก็คือผิด เพราะฉะนั้นคุณแอนก็เลยว่าเรื่องคุณแอนไปได้ ปอง-อัญชลี ก็ว่าเรื่องคุณปอง-อัญชลี ไปได้ ทุกคน หลายต่อหลายครั้งผมได้รับโทรศัพท์มาต่อว่าผมเรื่องคุณปอง อัญชลี

จินดารัตน์ - ว่าปล่อยให้ไปว่าอย่างนั้นได้ยังไงใช่ไหมคะ

สนธิ - แต่ผมไม่เคยพูดกับคุณปองเลย ผมถือว่าเป็นสิทธิของปอง อัญชลี ผมพูดกับเขาไปเลย หลายต่อหลายครั้ง เพราะฉะนั้นบางครั้งการเป็นหัวหน้าคน มันต้องแบกมากกว่าความกดดันในเรื่องของค่าใช้จ่าย มันต้องแบกเรื่องอิสระ เสรีภาพ ต้องให้เขา ในขณะเดียวกัน ต้องเอาหน้าอกรับกระสุนแทนเขาด้วย ต้องสู้แทนเขา อย่างลูกน้องผมนะถ้าใครมารังแก ผมยอมไม่ได้เลย

จินดารัตน์ - คุณสนธินี่ถือว่าเป็นคนกล้าได้กล้าเสีย กล้าขอก็กล้าให้ อย่างนั้นหรือเปล่าคะ

สนธิ - อืม

จินดารัตน์ - เพราะแอนเคยได้ยินมาว่ากระทั่งมีคนเดินโซซัดโซเซเข้ามา พี่ผมขอเงิน 100 ล้าน ก็เซ็นเช็กให้เขาเฉยเลย จริงหรือเปล่าคะ

สนธิ - เอ่อ (อึ้ง) สมัยนั้นก็เป็นอย่างนั้นจริง

จินดารัตน์ - ทำไมถึงกล้าให้เขา ไม่ได้รู้สึกว่าจะต้องเอาเงินคืนหรืออะไร ทำไมต้องให้ล่ะคะ

สนธิ - มันมีความรู้สึกว่าเขาลำบาก คือเราเคยลำบากมาก่อน พอเรารวยขึ้นมาตอนนั้นก็เลยมีความรู้สึกว่า การที่เขาลำบากเพราะไม่ได้รับความเป็นธรรม แล้วเขามีความสามารถ เรานี่ไม่เคยมีใครให้โอกาสเราเลย ทุกอย่างมาจากน้ำตาเรา หยาดเหงื่อเรา ต้องรวมครั้งหลังสุด หยดเลือดเราด้วย เพราะฉะนั้นแล้วเรามีความรู้สึกถ้าเรามีสิทธิที่ส่งเสริมใครบางคน ให้แล้วเขาไปได้ดี ต้องทำ ต้องทำตลอดเวลา สมัยก่อน แต่สมัยนี้มาขอไม่ได้แล้วนะ

จินดารัตน์ - กำลังจะถามว่าแล้วสมัยนี้ถ้ามาขอสักแสนได้ไหม

สนธิ - ไม่มี ต้องเก็บไว้จ่ายเงินเดือนก่อน

จินดารัตน์ - คุณผู้ชมคะ จริงๆ วันนี้ตั้งใจจะคุยเรื่องงานให้น้อยหน่อย แต่เอาเป็นว่าครึ่งๆ ก็แล้วกัน

สนธิ - ครับผม ได้ๆๆ

จินดารัตน์ - แอนจะขออนุญาตพักก่อนนะคะคุณสนธิคะ ช่วงหน้ากลับมา รวมทั้งคำถามจากทางบ้าน คำถามจากแอนเอง ที่ข้องใจ ไม่เคยถามคุณสนธิ แม้กระทั่งเป็นลูกน้องมา 4-5 ปีก็ไม่กล้าถาม แต่วันนี้จะกล้าถามในรายการ จะเป็นเรื่องอะไร อย่างไร ก็คงไม่ใช่เรื่องที่เปิดเผยอะไรไม่ได้นะคะ เป็นเรื่องส่วนตัว อยากรู้จริงๆ ว่าคุณสนธิอยู่แบบไหน กินอะไร ฟังเพลงอะไร ดูหนังบ้างหรือเปล่า สักครู่เดียวค่ะ

(เบรก 3)

จินดารัตน์ - กลับมาช่วงสุดท้ายรายการ แอน จินดารัตน์ ค่ะ คุณผู้ชมคะเราอยู่กับ คุณสนธิ ลิ้มทองกุล คุยเรื่องความรู้สึก เรื่องทัศนคติ อุดมการณ์ในการทำงานกันไปแล้ว ตอนนี้หลายคนอยากรู้เรื่องส่วนตัวบ้าง แต่ว่ามีคุณผู้ชมทางบ้านส่งข้อความมาหลายคน บอกว่า วันนี้ดูท่าจะคุยไม่จบแน่ๆ เลย คุยไม่จบขอต่ออาทิตย์หน้าได้ไหม แอนขออนุญาตคุณสนธิในนี้เลยนะคะ

สนธิ - ได้ครับสำหรับพี่น้อง ASTV เป็นของประชาชน

จินดารัตน์ - ใช่ แอนกำลังจะบอกว่า เจ้าของสถานีเขาบอก

สนธิ - เจ้าของสถานีเขาบอกมาก็ต้องทำให้ ยินดีครับ

จินดารัตน์ - ถ้าอย่างนั้นต่อสัปดาห์หน้า แอนจะได้ถามคำถามที่แอนเตรียมมาอยู่ในใจ เอาเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ก่อน วันนี้กับหลังจากที่ก่อนหน้านี้ก่อนที่จะโดนยิงเรารู้แล้วละว่าคุณสนธิอาจจะไปไหนมาไหนไม่สะดวกเหมือนเมื่อก่อน มีคนล้อมหน้าล้อมหลังอาจจะเยอะขึ้น ไม่มีความเป็นส่วนตัว แต่เมื่อก่อนคุณสนธิใช้ชีวิตอยู่อย่างไร

สนธิ - จริงๆ แล้วผมเป็นคนที่ชอบความเป็นส่วนตัวมากๆ อันหนึ่งที่ผม

จินดารัตน์ - ไม่ชอบพิธีรีตอง

สนธิ - ไม่ชอบเลยครับ อันหนึ่งที่ผมมีความรู้สึกมากๆ คือ ตั้งแต่มาเป็นแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ชีวิตผมเปลี่ยนหมด ผมเป็นคนชอบไปทานอาหารอะไรเงียบๆ ของผมเอง ผมจะชอบขับรถไปทานอาหารที่ต่างจังหวัด

จินดารัตน์ - ขับเองด้วย

สนธิ - ขับเองด้วย คนเดียวด้วยนะครับ วันดีคืนดี วันอาทิตย์ 10 โมงเช้าขับรถไปแล้ว ไปสุพรรณบุรี ไปกินกุ้งย่างที่แม่บ๊วย หรือไม่ก็ขับรถไปที่กาญจนบุรี

จินดารัตน์ - เมืองกาญจน์ไปกินปลา

สนธิ - ไปกินปลา ที่ร้านเจ๊ออ ที่ท่าเรือนะครับ บางครั้งก็ขับไปสิงห์บุรีไปกินร้านอาหารที่อยู่ริมถนน ขับไปอ่างทองไปกินปลาแม่น้ำที่ลุงหล่อ ซึ่งอยู่ริมแม่น้ำ ผมจะชอบของผมอย่างนี้

จินดารัตน์ - กินริมถนนด้วยหรอคะ

สนธิ - อ๋อ บ่อยครับ

จินดารัตน์ - คุณสนธิ เรื่องกินริมถนนมีคนถามเข้ามานะคะ ถามว่า ชีวิตคุณสนธิเคยรับประทานข้าวเหนียวหมูปิ้งข้างถนนไหม

สนธิ - ไม่ใช่เพียงแต่รับประทานข้าวเหนียวหมูปิ้งข้างถนนอย่างเดียว ผมช่วยเขาปิ้งหมูด้วย เพราะว่า 1.เขาบริการไม่ทัน ผมก็เลยหยิบหมู บอกว่าผมช่วยตัวเองได้ไหม เขาบอกเชิญค่ะ ผมก็เอาหมูที่ผมจะกินปิ้ง

จินดารัตน์ - ยืนปิ้งเลยหรอคะ

สนธิ - ยืนปิ้งของผมเอง แล้วผมก็บริการผมเองเอาข้าวเหนียวกินเสร็จเรียบร้อย แล้วผมก็จ่ายเงิน ทีนี้จะดูเหมือนผมเป็นคนฟุ่มเฟือย แต่จริงๆ ไม่ใช่ ผมกินผมก็รู้ว่าอย่างมาก 15-20 บาท ผมให้แบงก์ 100 บาทไปแล้วผมบอก น้องเก็บไว้เถอะ ไม่ใช่ผมอวดรวย แต่ว่าสำหรับผม 100 บาทโอเค 500 บาทโอเค 1,000 บาทโอเค แต่สำหรับเขา 10 บาทมีความหมายมาก ไม่อย่างนั้นเขาไม่มาเข็นรถหรอก เหมือนเวลาผมไปทานอาหารผมจะทิปเยอะ

จินดารัตน์ - คุณสนธิไม่ใช่เพิ่งเป็นตอนนี้ใช่ไหมคะ

สนธิ - ผมเป็นมานานแล้ว เพราะว่าผมสงสารเด็กที่ทำงานบริการ ผมมีความรู้สึกว่า คนบางคน ผู้หญิงบางคนซื้อเพชรเป็นล้านเป็นแสนได้ ผู้ชายบางคนไปเที่ยวบาร์ เที่ยวไนท์คลับ เที่ยวหมอนวด จ่ายเงินให้หมอนวดทีนึง 5,000 - 10,000 บาทได้ แต่พอไปกินข้าว เด็กบริการให้เสร็จเรียบร้อย อาหารโต๊ะ 2,000 บาท ปลิ้นแบงก์ 20 บาทวางให้ 1 ใบ นึกออกไหม ของแบบนี้ขี้เหนียว แต่ทีของซึ่งมันไร้สาระไม่ควรจะจ่าย ผมไม่ได้เป็นคนอวดร่ำอวดรวย แต่ว่าผมเห็นแววตาเด็ก ว่าถ้าผมทิปเขา 100-200 บาท ตาเขาเป็นประกาย

จินดารัตน์ - มีกำลังใจทำงาน

สนธิ - เพราะว่า ตรงนั้นคือส่วนแบ่งเขาตอนกลางคืน ที่เขาทำจนถึงเที่ยงคืนแล้วเขาเลิกแล้วเขามาแบ่ง เพราะผมเคยทำงานที่อเมริกาไง ผมรู้ ผมเคยทำงานเป็นบริกรที่อเมริกา ผมรู้

จินดารัตน์ - เด็กเสิร์ฟ

สนธิ - เสิร์ฟ ผมรู้ว่า สิ้นสุดของวันนั้น ร้านปิดแล้ว ทิปมากองแบ่งกัน หลายครั้งทิปกองนี้คือค่าใช้จ่ายของเขา ค่ากินอยู่ของเขา เพราะเงินเดือนมันน้อยมาก ผมเชื่อว่า บริกรเงินเดือนอย่างมากก็ 3,000 - 4,000 บาท ไปตามโรงแรมต่างๆ จะเป็นโรงแรมชั้น 1 เงินเดือนบริกรก็ต่ำมาก แต่จะมีส่วนแบ่งตรงทิป เพราะฉะนั้นแล้ว จอดรถ จอดเสร็จเด็กส่งกุญแจรถให้ก็ให้ไป 100 บาท เพราะว่า คนพวกนี้ 100 บาทสำหรับเขามีความหมายมาก ตรงนี้ต่างหากที่ผมคิดว่า อะไรที่ควรจะให้จ่าย จ่ายไปเถอะ แต่อะไรที่ไม่ควรจะจ่ายเลยแม้แต่บาทเดียวไม่ควรจะจ่าย

จินดารัตน์ - ที่บอกไม่ควรจะจ่าย อย่างที่ยกตัวอย่างไป ได้จ่ายบ้างไหมคะ

สนธิ - ไม่มี ไม่มีเลย สบายใจได้เลยคุณแอน คุณไม่ต้องมาทำหน้าเจ้าเล่ห์กับผม ไม่สำเร็จหรอก ไม่มี

จินดารัตน์ - จะไม่ได้เห็น สนธิ ลิ้มทองกุล ในสถานที่แบบนั้นเด็ดขาด

สนธิ - ไม่เห็น ไม่เห็น ไม่มีวัน ผมเป็นคนเลิกเที่ยวมานานแล้ว ผมมีความรู้สึกมันไร้รสนิยม แล้วผมมีความรู้สึกว่า บางครั้งผู้หญิงซึ่งทำงานบริการรับเงินจากเราไปไม่ใช่เขาสนุกนะเขาจำเป็นต้องทำ

จินดารัตน์ - จำใจ จำเป็น

สนธิ - จำใจ จำเป็นที่ต้องทำ แต่ว่าก็อีกแหละ ผมก็มีแง่คิดของผม เหมือนกับ คำถามก็มีอยู่ว่า มันมีงานอย่างอื่นไหมที่จะทำได้ แล้วคุณลดค่าใช้จ่ายคุณซะหน่อย เหมือนกับเด็กผู้หญิงสมัยนี้ ที่บอกว่าจะต้องเสียเนื้อเสียตัว หรือว่าต้องไปทำงานอันโน้นอันนี้เปลืองตัวเพื่อเอาเงินมาเรียนหนังสือ ผมเจอเด็กหลายคนที่เคยคุยด้วย ผมถามว่า ทำไมไม่เรียนรามคำแหง เขาบอกมันไม่เท่เขาต้องเรียนมหาวิทยาลัยเอกชน เขาต้องยอมเสียค่าเล่าเรียน 30,000 บาท 40,000 บาท 50,000 บาท เพียงเพราะว่าชื่อที่มันทำให้เขาเท่ ตรงนี้คือปัญหาใหญ่ของสังคมไทย คนไทยต้องเปลี่ยนค่านิยมใหม่ ต้องมีจริยธรรม ต้องเข้าใจว่าอะไรคือสิ่งที่ถูกต้อง อะไรคือสิ่งที่ผิด

เหมือนเด็กคนหนึ่งเรียนกฎหมาย มาสัมภาษณ์ผม ผมถามว่าลูกเรียนที่ไหน เขาก็บอกชื่อมหาวิทยาลัยเอกชน เรียนคณะอะไร คณะนิติศาสตร์ ผมพูดกับเขาว่า คุณรู้ไหมคณะนิติศาสตร์ที่ดีที่สุดตอนนี้คือ รามคำแหง ทำไมคุณไม่เรียนรามคำแหง เขาบอกที่ไม่เรียนรามคำแหงเพราะรามคำแหงไม่มีระบบบังคับให้เด็กเรียน ต้องเรียนมหาวิทยาลัยเอกชนเขามีเช็กชื่อ ผมบอกว่า ถ้าลูกคิดอย่างนี้ชีวิตลูกไม่ไปไหนหรอก แสดงว่าชีวิตลูกต้องมีคนบังคับตลอด อีกหน่อยลูกมีผัวลูกก็ต้องโดนผัวบังคับ หรือคุณมีเมียคุณต้องให้เมียบังคับ

จินดารัตน์ - อันนั้นผัวอาจจะดีใจก็ได้

สนธิ - ไม่ใช่ ผมเล่าให้ฟัง คือเด็กเรียนปี 3 ปี 4 แล้วคิดเป็นเพียงแค่นี้อนาคตเมืองไทยวูบไปแล้วนะ

จินดารัตน์ - คุณสนธิเจอบ่อยไหมคะเด็กที่เป็นแบบนี้ ระยะหลังมานี้

สนธิ - ระยะหลังผมพูดได้ว่า คุณภาพการศึกษาเมืองไทยต่ำ ต่ำมากๆ ผมอาจจะโชคดีและโชคร้าย ผมได้ไปสัมผัสเด็กที่เรียนปริญญาโท และปริญญาเอก ผมเคยสอนเด็กปริญญาโทที่ธรรมศาสตร์ วารสารศาสตร์ธรรมศาสตร์ และเด็กปริญญาเอก ผมมีความรู้สึกว่าแม้กระทั่งเด็กซึ่งจบปริญญาตรีและกำลังเรียนปริญญาโท คุณภาพยังไม่ถึง

จินดารัตน์ - เป็นอย่างไรคะ

สนธิ - รู้ไม่จริง องค์ความรู้แทบจะไม่มีเลย บางทีสอนไป ผมคิดว่าเราเน้นปริมาณมากเกินไป อาจเป็นเพราะปริมาณนั้นมันต้องคูณด้วยตัวเลขมันถึงจะทำให้โครงการกำไร ผมสอนปริญญาโทครั้งแรกผมช็อกเลยนะ นักเรียนปริญญาโท 66 คน ผมนึกในใจ ตายแล้วกู 66 คนแล้วจะสอนได้ยังไง 66 คน ผมคิด นักเรียนปริญญาโทที่กำลังพอเหมาะ 10 - 20 คน อาจารย์ก็น่าสงสาร แกบอกว่า อาจารย์ขาถ้าไม่ถึง 60 คนขาดทุนค่ะ

จินดารัตน์ - อยู่ไม่ได้

สนธิ - เมื่อใดก็ตามที่การศึกษากลายเป็นเชิงพาณิชย์ไปเรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวนี้เปิดกันหมดแล้วนะปริญญาโท ราชภัฏก็เปิด ที่ศรีสะเกษกำลังมีเรื่องมีราวหลายแห่ง เปิดโครงการปริญญาโท เอาพ่อค้า คหบดีที่มีเงินมีทองแต่ไม่มีการศึกษามาเรียน แล้วเป็นที่ทำมาหากินของครูบาอาจารย์กัน ครูบางคนทำมาหากินกับโครงการพวกนี้ ถ้าอยากจะผ่านต้องมีข้าวของมาส่งให้ บางคนใช้วิธีให้เกรดเด็กด้วยวิธีสุ่มให้จากคอมพิวเตอร์ ไม่ได้ดูว่าเขาสอบได้หรือไม่ได้

จินดารัตน์ - อย่างนี้จะโทษใครดีคะคุณสนธิ

สนธิ - ผมคิดว่าต้องโทษระบบ ต้องโทษรัฐบาล ผมเคยสอนปริญญาโทแล้วผมหยุดสอนไป เหตุผลข้อ 1. ผมไม่ว่าง ข้อที่ 2. ประท้วง แต่ข้อที่ 3. ผมเรียนท่านอาจารย์ที่สนิทกันมาก ผมบอก อาจารย์อย่าเอาผมสอนเลย ผมจะต้องให้เด็กตก

จินดารัตน์ - เพราะไม่ได้มาตรฐาน

สนธิ - ไม่ได้มาตรฐาน แกบอก ตายแล้วอาจารย์อีกหน่อยไม่มีใครมาเรียนแล้วโครงการนี้ นี่เรื่องจริง ผมบอกผมไม่ขอยุ่งเกี่ยวดีกว่า ชีวิตผมใฝ่ฝันที่จะผ่านพ้นเรื่องราวต่างๆ แล้วผมอยากจะตั้งสถาบันการศึกษาที่สอนวิชาชีพทางด้านสื่อมวลชน แล้วผมจะรับคนที่จบปริญญาตรี ผมจะใช้เวลา 1 ปีเต็ม ตั้งเป็นสถาบัน สอนเรื่องการทำหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ วิทยุ การเขียนข่าว การแสดงออกอะไรทุกอย่างหมด

จินดารัตน์ - สอนทุกอย่างที่สื่อมวลชนควรจะเป็น

สนธิ - สื่อควรจะเป็น ที่สำคัญ สอนอุดมการณ์ สอนจริยธรรม

จินดารัตน์ - ซึ่งตามมหาวิทยาลัยไม่มีสอน

สนธิ - ไม่มีครับ มหาวิทยาลัยสอนในเรื่องที่ค่อนข้างจะเพ้อฝัน ทฤษฎีว่าอย่างนี้ๆ นะแต่ข้อเท็จจริงไม่ใช่ แต่ผมจะสอนข้อเท็จจริง

จินดารัตน์ - จริงๆ เรื่องนี้คุณสนธิคิดมานานแล้วใช่ไหมคะ

สนธิ - ผมคิดมานานแล้ว ผมคิดมากับพี่ป๋อง คุณพงษ์ศักดิ์ พยัคฆวิเชียรติ พี่ป๋องใฝ่ฝันเหมือนกันอยากจะมีสถาบันอย่างนี้ จะได้ฝึกสื่อมวลชนมืออาชีพสักที ไม่ใช่ว่ามาทำงานสื่อมวลชนสักพักหนึ่ง โดนเจ้าของครอบงำ หรือเห็นแก่เงินที่เจ้าของให้ หรือเห็นแก่ผลประโยชน์ที่ตัวเองทำรายการ บางคนอยู่รายการโทรทัศน์มีชื่อมีเสียง บางคนเขียนหน้า 4 หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ กลายเป็นคนซึ่งมีคนเอาอกเอาใจ เขียน 1 คอลัมน์ได้เงินสัก 10,000 บาท เอารูปลงหน้า 4 ได้เท่านี้ๆ มันต้องหมดไปแล้วของแบบนี้

จินดารัตน์ - มันมีโอกาสจะมีสถาบันอย่างที่คุณสนธิวาดหวังเอาไว้บ้างไหม

สนธิ - ก็มีโอกาสให้บ้านเมืองมันดีกว่านี้หน่อยได้ไหม แล้วก็โอกาสให้ประชาชนไล่ผมออกจากแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยซะก่อน

จินดารัตน์ - เขาจะไล่ไปเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองซะก่อน

สนธิ - นั่นนะซิ

จินดารัตน์ - เดี๋ยวเรื่องนี้อุบไว้ก่อน ยังไม่คุยเรื่องพรรคการเมือง กลับมาคุยเรื่องอาหารนิดหนึ่ง มีผู้อาวุโสย่านดอนเมือง เป็นหญิงสูงวัย เขาเรียกกันว่า คุณย่า คุณย่าบอกว่า ขอเรียกคุณสนธิว่า ตี๋น้อย ได้ไหม เลยถามว่า ทำไมคุณย่าถึงเรียก ตี๋น้อย ก็มี พล.อ.สนธิ เดี๋ยวชื่อจะสับสนกัน ที่สำคัญ ตี๋น้อยของคุณย่า แก้มแดงปากแดง กินอะไรหรอฝากไปถามหน่อย

สนธิ - เขาเรียก พล.อ.สนธิ ว่า สนธิบัง แล้วเขาเรียกสนธินี้ว่า สนธิลิ้ม

จินดารัตน์ - แต่คุณย่าไม่เรียกค่ะ

สนธิ - แต่เรียกตี๋น้อยก็ไม่เป็นไรผมยินดี คืออาหาร ผมจะเรียนคุณแอนนิดหนึ่ง ผมอยากฝากบอกไปกับท่านผู้ชมที่บ้านด้วย เราเป็นอะไรทุกวันนี้เกิดจากอาหารที่เราทาน

จินดารัตน์ - มากกว่าครึ่ง

สนธิ - มากกว่าครึ่งของเหตุปัจจัยทุกอย่าง ส่วนหนึ่งที่ผมฟื้นฟูสุขภาพร่างกายผมได้เร็วก็เพราะว่า ร่างกายผมมีภูมิคุ้มกันที่ดี ผมเป็นคนซึ่งจะเรียกว่าจู้จี้เรื่องอาหารก็ได้ แต่จะเรียกว่า กินง่ายที่สุดก็ได้ ถ้าผมนึกอะไรไม่ออกผมมองเห็นอาหารพวกนี้ผมทานแล้วมีปัญหาแน่ผมก็ทานข้าวไข่เจียว จบ

จินดารัตน์ - มีหลักฐานด้วยนะคะ น้องๆ ทีมงานไปถ่าย น้ำแกงถ้วยเล็กๆ แล้วก็ข้าวไข่เจียว แอนยืนยันเพราะว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งที่เรานำเกษตรกรมาขายมังคุด ขายลำไย แล้วแอนไปหาคุณสนธิที่ออฟฟิศ เห็นนั่งกินข้าวไข่เจียวอยู่

สนธิ - เพราะว่าอาหารเดี๋ยวนี้ ร่างกายคนเรา คุณแอน ผมสูง 180 เซนติเมตร สำหรับผมไม่ถือว่าอ้วนนะ

จินดารัตน์ - มีพุงนิดหน่อย

สนธิ - มีพุงนิดหน่อย จริงๆ แล้วร่างกายคนเราลมเยอะ คนโบราณถึงบอกเลือดลมไม่ดี ลมทำให้เราปวดขา อั้นทำให้เราพอง ตัวเราบวม ขาเจ็บ ลมนี่ตัวการสำคัญ อาหารหลายประเภทเป็นตัวการก่อลม เช่น ผักสด ผักคนจีนโบราณเขาต้องลวกก่อนถึงทาน

จินดารัตน์ - ทำไมต้องลวก

สนธิ - เพราะไปไล่ลม ผักสดก่อให้เกิดลม เต้าหู้ทำให้เกิดลม ถั่วทำให้เกิดลม เพราะฉะนั้นแล้ว ผมเคยถามหมอจีนซึ่งเขาเก่งมากเรื่องเส้น ผมถามว่า ทำไมถึงไม่แนะนำให้ เวลาปวดหลัง ปวดเส้นแก้ไม่ได้ ต้องไม่ผ่าตัด เขาบอกว่า ลมในร่างกายมันอยู่ทุกจุด มันอยู่ในเลือดด้วยนะ เพราะว่า พระอาจารย์ชัยณรงค์ เวลาท่านรักษาผม ท่านจะเอาเข็มปักแล้วดูดเลือดตรงนั้นออกมา ท่านบอกลมอยู่ในเลือดเยอะ ปรากฏว่าจริงของท่าน เพราะเลือดที่ออกมาเป็นฟอง คือดูดลมออกจากเส้นเลือด

จินดารัตน์ - ที่เราได้เห็นกันครั้งที่แล้ว

สนธิ - นั่นแหละ สมมุติว่านี่คือเส้น เส้นเอ็นของเรา เส้นเชื่อมจากก้นกบลงไปถึงขา ลมจะวิ่งผ่านเส้น ถ้าลมอุดตันเส้นจะดันให้เส้นงอ เวลาคุณเอ็กซเรย์คุณเห็นแต่เส้นงอคุณไม่เห็นลม หมอฝรั่งเลยบอกต้องผ่าตัด พอคุณผ่าตัดลมก็หายไป พอผ่าเสร็จเรียบร้อยแล้วลมก็มาอีก เพราะคุณไม่ระวังเรื่องอาหารการกิน ผมถึงบอกว่า เรื่องเกี่ยวกับกระดูก เส้น ถ้ากระดูกไม่แตกหรือหัก อย่าใช้วิธีตะวันตก

จินดารัตน์ - คือห้ามผ่า

สนธิ - ห้ามผ่า ให้หาหมอจับเส้นที่เก่งจริงๆ ให้เขาดึงเส้นออกมา แกะเส้นออกมา คนที่อเมริกาเขาสอนผมมา ซึ่งดีมาก เขาเอากะลา

จินดารัตน์ - กะลามะพร้าว

สนธิ - กะลามะพร้าวที่ขูดเรียบร้อย สะอาด เขาบอกว่าให้เอากะลาวางตรงก้น นั่ง แล้วนอนลงไปโดยที่ไม่มีหมอน กะลาจะดันเส้นตรงก้นกบ ซึ่งเป็นศูนย์รวมเส้นให้มันคลาย ผมเคยขาชา หลังจากท่านอาจารย์ชัยณรงค์รักษาพักหนึ่งแล้วผมก็ใช้วิธีนี้ ตอนนี้ขาหายชา เพราะฉะนั้นเรื่องเส้นสำคัญมาก ทีนี้เรื่องอาหารการกิน แน่นอนที่สุด ต้องไม่ใส่ผงชูรส อาจจะเป็นเพราะผมฝึกได้ถึงจุดที่ตอนนี้ อาหารอร่อยแค่ไหนก็ตาม ถึงจะเป็นอาหารที่ผมชอบที่สุด ผมทานจานเดียว ไม่ใช่ข้าวพูนๆ ด้วยนะ ข้าวครึ่งจาน

จินดารัตน์ - แอนเห็นตักมานิดเดียว

สนธิ - กินแค่นั้น พอรู้สึกอิ่มหยุดกิน ความที่ผมปฏิบัติธรรม ผมได้พัฒนาตัวรู้ ตัวรู้สำคัญ ตัวรู้คือสติ ตัวรู้คือ รู้ว่าเริ่มอิ่มแล้วหยุดได้แล้ว หยุดเลยรวบช้อน

จินดารัตน์ - แต่มันทำยากนะคะ

สนธิ - ได้ซิ ถ้าคุณมีสติอยู่กับตัวคุณเองคุณจะรู้ เหมือนกับโกรธ ตัวรู้กำลังจะบอก เฮ้ยสนธิเอ็งกำลังโกรธนะ หยุดโกรธ

จินดารัตน์ - อุณหภูมิจะค่อยๆ ลด

สนธิ - มันลด บางทีผมนั่งรถยนต์ ผมเห็นคนขับรถนำผมมันโง่จริงๆ โง่จนผมโกรธ แต่แว้บนึงตัวรู้บอกผมว่า เฮ้ยจะโกรธมันทำไม ก็มันเป็นของมันอย่างนี้แหละ ผมก็เลยหยุดเลย ไม่สนใจ

จินดารัตน์ - ทำได้อย่างนี้เลยหรอคะ สั่งอัตโนมัติอย่างนี้

สนธิ - ได้ ต้องได้ รู้ว่ากำลังโลภ ก็หยุด รู้ว่ากำลังหลง ก็หยุด หยุดหมด

จินดารัตน์ - แล้วความเครียดล่ะคะ ถ้ารู้ว่ากำลังเครียด

สนธิ - ไม่มี ความเครียดผมไม่มี ที่ผมเปลี่ยนแปลงไปหลังจากที่ถูกยิงกับก่อนถูกยิง สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไปได้ ก็คือว่า ที่ชัดที่สุดคือ มันเป็นของมันอย่างนี้แหละ คือเข้าใจ มันเป็นของมันอย่างนี้แหละ จะไปบังคับจะไปฝืนมันไม่ได้ อะไรมันจะเกิดต้องให้มันเกิด เพราะทุกอย่างมันเป็นอนิจจัง ไม่มีอะไรเที่ยงแท้เลยแม้แต่นิดเดียว

จินดารัตน์ - คุณสนธิอย่าบอกนะคะว่าไม่เคยเครียดเลยทุกวันนี้

สนธิ - เครียดจริงๆ อยากรู้ไหม

จินดารัตน์ - อยากรู้ค่ะ

สนธิ - ผมเครียดจริงๆ อยู่เรื่องเดียว

จินดารัตน์ - กำลังจะถามว่าเครียดเรื่องอะไร

สนธิ - หาเงินเดือนให้พวกคุณ

จินดารัตน์ - แสดงว่าเดาถูก

สนธิ - เรื่องจริงไม่โกหก เพราะว่ามันเป็นความรับผิดชอบของพนักงานทั้งหมด ผมรู้ว่าพอถึงเวลาแล้วเขาต้องเอาเงินไปจ่ายค่าเช่าห้อง บางคนต้องผ่อนบ้าน บางคนต้องผ่อนรถ เขามีค่าใช้จ่าย บางคนต้องซื้อนมให้ลูก บางคนต้องจ่ายค่าเล่าเรียนลูก ตรงนี้ทำให้ผมเครียดมาก

จินดารัตน์ - เรื่องเดียว

สนธิ - เรื่องเดียวเท่านั้น เรื่องอื่นไม่สำคัญเลยสำหรับผม

จินดารัตน์ - เป็นอย่างนี้มานานแล้วหรือยังคะหรือว่าเพิ่งมาเป็นช่วงระยะหลังนี้

สนธิ - ช่วงระยะหลังนี้

จินดารัตน์ - ช่วงม็อบหนักๆ นี่คุณสนธิยอมรับว่าเครียดเหมือนกัน

สนธิ - เครียดแต่เครียดคนละแบบ

จินดารัตน์ - เครียดยังไงคะตอนนั้น

สนธิ - เครียด เกรงว่าอันตรายจะเกิดขึ้นกับประชาชน เกรงและกลัวมาก กลัว ตัวเองไม่กลัวแต่กลัวประชาชนจะเจ็บ เครียดตรงนั้น ส่วนเรื่องพนักงาน ช่วงนั้นต้องขอบพระคุณพี่น้องประชาชน เพราะว่า พี่น้องประชาชนบริจาคเงินมา ก็เลยช่วยให้มีเงินเดือนให้พนักงาน แต่พอหยุดประท้วง หยุดชุมนุมเรียบร้อยแล้ว การบริจาคก็หายไป

จินดารัตน์ - ตอนนี้เปลี่ยนมาเครียดเรื่องพนักงานแทน

สนธิ - เปลี่ยนมาเครียดเรื่องพนักงานแทน เพราะว่าเขาทุ่มเทใจให้ แล้วเขาก็เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย แล้วเขาไม่ถอย เขาไม่กลัว

จินดารัตน์ - คุณสนธิไม่มีโรคประจำตัวอะไรเลย

สนธิ - ไม่น่าจะมี ผมไม่มีจริงๆ นะ

จินดารัตน์ - ตรวจร่างกายบ้างไหมคะ

สนธิ - ตรวจตลอดเวลา ปีละ 2 ครั้ง

จินดารัตน์ - ไม่มี ความดันปกติ

สนธิ - ความดันผมปกติ เพอร์เฟ็กต์มาก ขนาดผมผ่าตัด

จินดารัตน์ - แต่ความดันทุรังสูงใช่ไหมคะ

สนธิ - ถ้าดันทุรังนี้เยอะมากเลย เต็มไปหมดเลยตอนนี้

จินดารัตน์ - ปกติทุกอย่างเพราะว่าออกกำลังกายเป็นประจำ เป็นอดีตนักกีฬาด้วย

สนธิ - ผมเล่นรักบี้ทีมชาติ ผมอยู่อัสสัมชัญศรีราชา ผมเป็นโกลฟุตบอล ผมเป็นนักวิ่งแชมป์ จ.ชลบุรี ผมเป็นนักรักบี้ทีมโรงเรียน ผมติดทีมชาติ 1 ปี

จินดารัตน์ - เรื่องออกกำลังกาย ดูแลสุขภาพ อาหารการกิน บางคนอาจจะพูดประชดว่า ก็แหมแหงหละมีตังค์นี่กินของดีๆ

สนธิ - ไม่เกี่ยว แค่รู้ผมทานอะไรทุกวันแล้วจะงง ข้าวไข่เจียว ข้าวหมูสับผัดพริกไข่เจียว 1 ฟอง น้ำแกงจืด บางทีก็ข้าวไข่ตุ๋น ข้าวคำนึงไข่ตุ๋นคำนึง บางทีก็ผัดผักบุ้งทุบพริกใส่ ใส่เต้าเจี้ยว กินกับข้าวสวยจานเดียวจบ แค่นี้

จินดารัตน์ - แล้วเมื่อก่อนตอนเป็นมหาเศรษฐีมีเงินเป็นพันล้าน

สนธิ - มันก็ไปกินตามสถานภาพของสังคม ต้องเข้าสังคมพวกเศรษฐีจอมปลอม พวกเศรษฐีขี้เวอร์ ต้องเวอร์ไปตามมั่นด้วย เช่น ต้องใส่เสื้อนอกไปกินนอร์มังดี กรีลล์ อาหารมื้อละเกือบหมื่น หรือไปนิวยอร์ก ก็ไปกินที่เลาจน์ โฟร์ซีซัน ซึ่งมีชื่อมาก

จินดารัตน์ - ถึงแม้จะกินอาหารหรูๆ แต่ไม่ได้หมายถึงว่าจะไม่กินไข่เจียว จะไม่กินของข้างถนน

สนธิ - ไม่ ไม่ เบสิกแล้วสุดยอดอาหารของผม ไปที่ไหนก็ตาม คือ ข้าวไข่เจียว ถ้าเข้าครัวได้ผมเข้าครัวทอดเลย เหมือนอย่างเวลาไป ตอนนั้นผมจำได้ ไปทิเบตกับทีมสื่อมวลชน เขาทำอาหารมา โทษนะครับ สุนัขไม่รับประทาน ผมเดินเข้าครัวผมบอกว่า ขอทำกับข้าวหน่อยได้ไหม ผมทำกับข้าวเลี้ยงพวกเขานะ ผมทำหมูผัดซีอิ๊ว ไข่เจียว ให้เขาทานกัน

จินดารัตน์ - คุณสนธิมีแนวคิดในการดำรงชีวิตหลายเรื่อง แต่แอนยังไม่ถาม แอนอยากให้คุณสนธิฟังคนที่อยู่กับคุณสนธิมานาน มีอาจารย์สุวัฒน์ ทองธนากุล พี่คำนูณ สิทธิสมาน พี่เพชร พชร และน้องแอ้ม สโรชา มีทุกรุ่นเลยนะคะ เราไปฟังกันดูว่าแต่ละคนพูดถึงคุณสนธิกันอย่างไร ไปฟังกันเลยค่ะ

(VTR คนใกล้ชิดคุณสนธิ ลิ้มทองกุล)

จินดารัตน์ - นี่คือลูกน้องที่อยู่ใกล้ชิดมาอย่างยาวนาน รุ่นเด็กๆ ลงมาก็มีน้องแอ้ม สโรชา กับพี่เพชร หลายคนความรู้สึกแปลกแตกต่าง แต่ที่เหมือนกัน คล้ายกันก็คือ รู้สึกดีที่ได้เป็นลูกน้อง อันนี้พูดโดยส่วนตัว เท่าที่บันทึกเทปมา คุณผู้ชมทางบ้านส่งคำถามเข้ามาเยอะ คุณสนธิคะ เอาเป็นว่า สัปดาห์นี้คำถามคงถามกันไม่หมดไม่ทัน แอนยกยอดไปสัปดาห์หน้านะคะ ขออนุญาต แต่จะอ่านคร่าวๆ ว่าเขาถามอะไรกันบ้าง

จากปทุมธานี ถามว่าสอนลูกอย่างไรให้มีความคิดเหมือนกับคุณสนธิ แล้วคุณสนธิมีเวลาพักผ่อนบ้างไหม เอาคำถามหลังก่อนก็แล้วกัน พักผ่อนเต็มที่หรือเปล่าคะ

สนธิ - ผมเป็นคนที่นอนประมาณเที่ยงคืน ก่อนนอนจะนิสัยเสียอยู่อย่าง ต้องอ่านหนังสือก่อนนอน จะเป็นหนังสืออะไรก็ได้ แม้กระทั่งหนังสือกำลังภายในก็อ่าน อ่านจนกระทั่งตาเริ่มหนักแล้วปิดไฟนอน 06.00 น.จะรู้สึกตัวโดยอัตโนมัติโดยไม่ต้องตั้งนาฬิกาปลุก 06.00 น.เสร็จเรียบร้อยแล้วก็ลงมา แปรงฟันเสร็จเรียบร้อยก็ลงมาทานกาแฟ ทานน้ำอุ่น 3-4 ถ้วย แล้วทานข้าวเช้า บางทีมาทานที่ออฟฟิศ ผมจะเป็นคนแต่งตัวเร็วมาก ผมถอดแล้วแก้ผ้าโทงๆ อยู่ข้างหลัง ผมจะเดินไปที่วางเสื้อผ้า ผมเป็นคนไม่เลือกเสื้อผ้าใส่ อะไรที่อยู่ใกล้มือก็หยิบมา

จินดารัตน์ - แต่ดูเท่ทุกชุดเลยนะคะ

สนธิ - ผมเป็นคนธรรมดาเลือกเสื้อผ้าแบบง่ายๆ คุณแอนจะเห็นผมใส่เสื้อสีขาวเยอะ เสื้อสีฟ้าเยอะ ถ้าเป็นเสื้อลายจะเป็นลายเส้นแค่นี้ เพราะฉะนั้นเสื้อผมรูปแบบจะไม่มาก

จินดารัตน์ - แอนประทับใจ ขออนุญาตคุณสนธิคะ แอนประทับใจอยู่ครั้งหนึ่งที่แอนมาทำงานที่ ASTV ได้ไม่นาน เช้าวันหนึ่ง แอนทำรายการเช้ากับพี่อัญ อัญชลีพร กุสุม แอนนั่งอยู่ในห้องทำงาน ทำรายการเสร็จ คุณสนธิเดินเข้ามา ใส่หมวก หมวกใบที่คุณสนธิชอบใส่ คุณผู้ชมขา ใส่เสื้อเชิ้ตสีดำแขนยาว และกางเกงสีเปลือกมะนาว ซึ่งผู้ชายทั่วไปไม่มีใครใส่ได้เท่ขนาดนี้ แอนตกใจมาก แล้วแอนก็ยืนอึ้งอยู่พักหนึ่ง เออเนาะ คือไม่น่าเชื่อ

สนธิ - ผมมีกางเกงสีน้ำเงิน มีอีกตัว ผมเลิกใส่ไปแล้ว กางเกงสีแดง

จินดารัตน์ - ซื้อเองหรือเปล่าคะ

สนธิ - ทีนี้ นิดหนึ่งคือ ผมจะเป็นคนเชื่อมั่นในภูมิปัญญาตะวันออกมาก ยาสีฟันที่ผมใช้ ผมจะใช้ยาที่มันคล้ายๆ วิเศษนิยม ตอนค่ำผมจะมีน้ำมัน เรียกว่า ตรีมูรติ สมุนไพรใส่น้ำมันงา ผมจะเอาน้ำมันมานวดศีรษะ

จินดารัตน์ - ทำอย่างนี้ทุกวันหรือเปล่าคะ

สนธิ - ทุกวัน ให้น้ำมันซึมเข้าไปในหัว เสร็จแล้วเอาเช็ดหน้า หน้ามันเลย ทิ้งไว้สัก 1-2 ชั่วโมง ระหว่างนั้นอ่านหนังสือ ดูทีวี พออาบน้ำแล้วเอาผ้าเช็ดออก ผมทำอย่างนี้มาพอสมควรแล้ว ที่ทำเพราะผมมีความรู้สึกว่า หน้าคนเรามันโดนแดดมาก มันโดนของสกปรกมาก หน้าต้องชุ่มชื่น แล้วผมเป็นคนไม่ชอบครีมของฝรั่ง

จินดารัตน์ - ไม่ใช้ยี่ห้อเดียวกับคุณทักษิณใช้

สนธิ - ไม่ครับ เพราะว่าครีมฝรั่งมีสารเคมี เขาเรียก เคมีคอลเบส ของเรา เฮอร์บอลเบส น้ำมันตรีมูรติ เป็นของพระอาจารย์เชาว์ พระซึ่งท่านรักษาผมประจำ ท่านทำมา แล้วเป็นน้ำมันที่ทานได้ นี่คือที่มาของ คุณแอนดูซิ ผม 62 ย่าง 63

จินดารัตน์ - แต่มีเรื่องหนึ่งคนติมาเยอะนะคะ อะไรก็ดีหมด

สนธิ - ไม่ยอมเลิกบุหรี่

จินดารัตน์ - ใช่ค่ะ เมื่อไหร่จะเลิกสูบบุหรี่ซะที จากคนออสเตรเลีย คุณสนธิทำได้ทุกอย่างยกเว้นเลิกสูบบุหรี่ จริงใช่ไหมคะ

สนธิ - อันนี้ไม่จริงครับ ผมต้องการทดสอบความอดทนผมเหมือนกันว่าจะสูบไปได้อีกนานแค่ไหน

จินดารัตน์ - ถาม จากระยอง กทม. และปทุมธานี ถามว่า เมื่อไหร่จะได้กลับมาจัดรายการกู๊ดมอนิ่งไทยแลนด์ อีก

สนธิ - ช่วงนี้คงจะต้องระวังตัวนิดหนึ่ง การจัดรายการอะไรที่เวลาตายตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงเช้าๆ ที่รถว่าง แล้วคนไม่ค่อยมี

จินดารัตน์ - มันเป็นโอกาส

สนธิ - เป็นโอกาสการทำร้ายผม ผมก็ต้องระวังตัวตรงนี้

จินดารัตน์ - เขาบอกว่า จัดรายการที่บ้านก็ได้ นี่อยากดูมากนะคะ กทม.อีกสาย เขาบอกว่า ตอนนี้ดูรายการเช้าช่องไหนก็ไม่รู้สึกดีเหมือนตอนคุณสนธิจัด จัดรายการจากที่บ้านก็ได้นะ

สนธิ - มันก็เป็นไอเดียที่ไม่เลวนะ

จินดารัตน์ - ดีไหมคะเอารถโอบีไปเลย

สนธิ - เดี๋ยวผมขอคิดดูก่อน

จินดารัตน์ - กทม. บอกว่าจะกลับมาจัดรายการได้เมื่อไหร่ อีกคำถาม คุณสนธิมีลูกกี่คน และภรรยากี่คน

สนธิ - โอ๊ยตายละ ถามอย่างนี้เขาเรียกว่าถามหาเรื่อง อย่างละ 1 ครับ

จินดารัตน์ - อย่างละ 1 เท่านั้นนะคะ จากประจวบฯ ถามว่า คุณสนธิจะให้พี่ปองเข้าพรรคการเมืองใหม่ ไหม

สนธิ - อันนั้นต้องขึ้นอยู่กับพี่ปอง ผมจะไปให้เขาได้ยังไง ถ้าเขาอยากเข้าก็ต้องเข้า ไม่เคยบังคับ

จินดารัตน์ - กทม.บอกว่า อยากเห็นภรรยาคุณสนธิ

สนธิ - หรอครับ

จินดารัตน์ - งั้นสัญญา สัปดาห์หน้านะคะ แอนจะขออนุญาต

สนธิ - ลองดูครับลองดู

จินดารัตน์ - จากจันทบุรี เช่นเดียวกัน อยากเห็นภรรยาคุณสนธิ จากคุณสาโรช ราชบุรี ส่งกำลังใจให้คุณสนธิ คนสำเพ็งบอกว่า อยากเชิญคุณสนธิมาตลาดสำเพ็งเพื่อเป็นศรีแก่ตลาด มาให้ลูกหลานคนจีนเห็นหน้าบ้าง

สนธิ - ยินดีครับ

จินดารัตน์ - ดีเหมือนกันนะคะคุณสนธิ

สนธิ - ผมขออนุญาตไปโดยไม่ต้องบอกได้ไหม

จินดารัตน์ - ไปทำเซอร์ไพรส์ดีกว่า

สนธิ - เอ๊ะตลาดสำเพ็งอยู่ตรงไหนนะ

จินดารัตน์ - อยู่แถวเยาวราชแถวนั้นค่ะ

สนธิ - ผมรู้เยาวราช แต่ผมไม่รู้ตลาดสำเพ็งอยู่ตรงไหน

จินดารัตน์ - บอกน้องๆ น้องๆ พาไปได้ หรือบอกแอน แอนไปเป็นเพื่อน

สนธิ - ได้ครับ

จินดารัตน์ - จากคุณแดง กทม. ขอให้คุณสนธิเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ และเป็นนายกฯ ให้ได้ อย่าปฏิเสธ เรื่องนี้สัปดาห์หน้าต้องคุยกัน เป็นกำลังใจให้คุณสนธิค่ะ ป้าหมวยรังสิต บอกว่า ดีใจจังที่เห็นคุณสนธิออกรายการ ขอให้คุณพระคุณเจ้าคุ้มครองคุณสนธิด้วย

สนธิ - ขอบคุณมากครับ

จินดารัตน์ - คุณมาทิตา ลพบุรี อยากให้คุณสนธิดูแลสุขภาพมากๆ คุณวีระภูเก็ต คุณสนธิเป็นความหวังเดียวของพวกเรา อย่าลืม มีคนถามว่า คุณสนธิไม่คบกับคนแซ่ลิ้ม ไหหลำ จริงหรือเปล่า

สนธิ - ไม่จริง ผมแซ่ลิ้ม แซ่ถั่ว แซ่เฉิน แซ่ตั้ง อะไรผมคบหมด ไม่มีแซ่ผมยังคบเลย

จินดารัตน์ - จากคุณลลนา กทม.บอกว่า ชอบคุณสนธิมากๆ ยิ่งฟังยิ่งได้ความรู้ จากเชียงใหม่ ถามว่า ทำไมคุณสนธิไม่มาที่สันกำแพงบ้างอยากให้เสื้อแดงเห็นแล้วอาย จากสตูล อยากให้คุณสนธิเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ จาก กทม.บอกว่า ต้องมีฐานเสียงทางอีสานและเหนือให้ได้นะ จากระยอง อยากให้คุณสนธิพักผ่อนมากๆ จากอุดร คุณสนธิเป็นอะไรกับนิ้วชี้ด้านขวาหรือเปล่า ทำไมเวลาสัมภาษณ์ต้องเกาตลอด

สนธิ - มันเคยชินครับ

จินดารัตน์ - แต่ไม่ได้เป็นอะไรนะคะ

สนธิ - ไม่ได้เป็นอะไรครับ ยังดีที่เกานิ้วไม่ได้เกาก้น ถ้าผมนั่งไปเกาก้นตายเลย

จินดารัตน์ - จากชุมแพ ใครเป็นคนทำให้คุณสนธิเสียใจที่สุด

สนธิ - ผมเอง หลายเรื่องในอดีต ตัวเองทำให้ตัวเองเสียใจที่สุด

จินดารัตน์ - แต่เล่าได้ใช่ไหมคะว่าเรื่องอะไรบ้าง

สนธิ - อย่าเพิ่งรู้เลย

จินดารัตน์ - จากฮ่องกง บอกว่าอยากให้หนังสือพิมพ์ผู้จัดการไปขายที่ฮ่องกงบ้าง กทม. คุณสนธิตอนหนุ่มไม่หล่อเท่าตอนแก่ ทีมงานมีภาพตอนหนุ่มๆ ไหม ขอดูภาพตอนหนุ่มหน่อย เพื่อเป็นการยืนยันว่าจริงหรือเปล่า คุณสนธิคิดอย่างนั้นหรือเปล่าคะ

สนธิ - คนเรามันดูทีตามวัยที่มันควรจะเป็น วัยหนุ่มก็ควรจะดูแบบนั้น คือถ้าแก่ก็งามแบบคนแก่ หนุ่มก็หล่อแบบคนหนุ่ม เพราะฉะนั้นแล้วจะเทียบหนุ่มกับแก่ไม่ได้หรอก แต่ที่สำคัญที่สุด ใจต้องงามไม่ว่าหนุ่มหรือแก่ ใจต้องงามตลอด

จินดารัตน์ - จากธนบุรี ถ้าสมาชิกส่วนใหญ่อยากให้คุณสนธิเป็นหัวหน้าพรรค คุณสนธิจะว่าอย่างไร ยังไม่ตอบนะคะ ปราณบุรี อยากให้คุณสนธิวิเคราะห์เรื่องเศรษฐกิจการเงิน เรื่องเงินๆ ทองๆ ว่าตอนนี้จะขึ้นหรือลง ควรไปทางไหน จากศรีสะเกษ อยากให้คุณสนธิอายุยืนยาว จากเชียงใหม่ เห็นด้วยกับคุณสนธิเรื่องปริญญาโท
และอีกหลายสาย ต้องขออภัยนะคะ อ่านไม่ทันจริงๆ เราติดเอาไว้ ยกไปสัปดาห์หน้า

สนธิ - วันจันทร์หน้าครับ

จินดารัตน์ - คุณสนธิอยากพูดอะไรทิ้งท้ายหน่อยไหมคะ

สนธิ - ก็ไม่มีอะไรครับ ที่ผมตัดสินใจมาออกรายการคุณแอน จินดารัตน์ ข้อที่ 1. เนื่องจากเป็นคนกันเอง เรื่องที่ 2. ผมคิดว่า ชีวิตผม ผมเป็นคนสาธารณะ ผมไม่มีอะไรปิดบัง ผมเพียงแต่หวังว่า การพูดจาของผม หรือคำตอบของผมในบางครั้งมันอาจจะทะลึ่ง หรือดูห่าม แต่ว่ามันไม่ใช่ความก้าวร้าว มันเป็นลักษณะนิสัยแท้จริง ผมเป็นธรรมชาติของผม ผมอยากให้ท่านผู้ชมเข้าใจตรงนี้เอาไว้ว่าผมเป็นคนอย่างนี้ เหมือนว่าผมแสดงออกว่า ผมนั่งเกาก้น ผมก็เกาให้ดู นี่คือ สนธิ ลิ้มทองกุล ตัวจริง แต่ที่สำคัญกว่านั้น ผมหวังว่าการพูดจาครั้งนี้ของผมจะให้ข้อคิดคน เพราะว่า 62 ปีที่ผ่านมา ผมผ่านร้อนมาหลายร้อน ผ่านหนาวมาหลายหนาว เปียกฝนไม่รู้ตั้งกี่ฤดูกาล บาดเจ็บสาหัส เลือดตกยางออก น้ำตาไหลอยู่ข้างในตั้งไม่รู้กี่ครั้ง ของพวกนี้ผมไม่อายที่จะพูด ถึงแม้บางครั้งมันเป็นความผิดพลาดของผม ผมก็กล้าพูด ผมเพียงแต่หวังว่าสิ่งที่ผมพูดนั้นจะเป็นบทเรียนเตือนใจคนได้ ที่ผมอยากให้ดูมากๆ ให้คนทางบ้านดูมากๆ คือ คนหนุ่มคนสาวยุคใหม่ มาเรียนรู้จากคำพูดของผม มากกว่าคนแก่ๆ ซึ่งเขาเป็นแฟนประจำอยู่แล้ว อยากให้เอาลูกเอาหลานมานั่งฟัง ให้เขาคิด เพราะว่าผมมีอะไรที่ผมสอนเด็กรุ่นหลังได้เยอะมาก และเป็นเรื่องสำคัญๆ ที่เขาควรจะรับรู้เอาไว้ นั่นละครับที่ผมอยากจะฝากท่านผู้ชม

จินดารัตน์ - แน่นอนค่ะ สัปดาห์หน้าท่านผู้ชมคะ โดยเฉพาะเรื่องของชีวิตคู่ เรื่องครอบครัว ผู้ชายคนนี้สามารถสอนน้องๆ หรือลูกน้องในออฟฟิศได้ทุกเรื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตาม อย่างที่น้องแอ้มบอก แม้กระทั่งเรื่องการหมักหมู เอาหมูเข้าไมโครเวฟ เพื่อที่จะดูแลสามี

สนธิ - ผมเป็นคนทำกับข้าวอร่อยมาก และเก่งมาก แต่ไม่มีใครรู้

จินดารัตน์ - วันหลังต้องขอชิมแล้วนะคะ วันนี้หมดเวลาแล้ว สัปดาห์หน้าพลาดไม่ได้ อีกหลายเรื่องเรายังไม่รู้เลยว่า คุณสนธิชอบดูละคร ชอบดูหนัง ชอบฟังเพลงอะไรหรือเปล่า และเวลาไม่คิดเรื่องการเมืองคิดอะไร ที่สำคัญที่สุด จะเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ไหม สัปดาห์หน้าเจอกันนะคะเวลาเดิม วันนี้ขอบพระคุณคุณสนธิค่ะ ลาไปก่อนนะคะสวัสดีค่ะ




กำลังโหลดความคิดเห็น