"สนธิญาณ" เผยแผนแม้ว ปูทางกลับประเทศด้วยการล่ารายชื่อหวังเกิดการปะทะมวลชน จนเบื้องสูงต้องลงมาไกล่เกลี่ย แนะนายกฯ อย่าเห็นแต่พรรคร่วมจนบริหารบ้านเมืองไม่ได้ ด้าน"ดร.พิชาย" ชี้ "นช.แม้ว" ไม่มีสิทธิ์ยื่นฎีกา ติงรัฐประเมินสถานการณ์รุนแรงต่ำ จนเกิดความวุ่นวายในประเทศ
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง รายการ คนในข่าว
รายการ “คนในข่าว” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี-ทีวีของประชาชน ช่วงเวลา 20.30-21.30 น. วันที่ 11 มิถุนายน โดยนางสาวรัตน์ติกรณ์ จารุเกษตรวิทย์ เป็นผู้ดำเนินรายการ โดยมีนายสนธิญาณ ชื่นฤทัย นักสื่อสารมวลชนอิสระ และ ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองคณะบดีฝ่ายวิชาการคณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม มาร่วมวิเคราะห์รัฐบาลชุดอภิสิทธิ์และถอดรหัสทักษิณ
นายสนธิญาณ กล่าวว่า การเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงที่ล่ารายชื่อเตรียมยื่นถวายฎีกา เป็นการส่งสัญญาณเตือนให้ระมัดระวังเหตุการณ์รุนแรงใหญ่ที่จะตามมาอาจถึงขั้นนองเลือด ตรงนี้ฟังดูอาจมองว่าตนตีตนไปก่อนไข้หรือพูดให้ร้ายกลุ่มขบวนการเครือข่ายสนับสนุนทักษิณ แต่ด้วยข้อเท็จจริงขณะนี้ ทักษิณ มีคดีติดตัวถูกศาลพิพากษาจำคุกไปแล้ว 1 คดี และยังมีคดีที่จะตามหลังมาอีก 17 คดี นี่ยังไม่รวมคดีหมิ่นเบื้องสูง ถึงแม้จะมีนักกฎหมายอยู่รอบตัวมากมายก็ช่วยอะไรไม่ได้ สมมุติว่าถ้าคดีนี้ขอพระราชทานอภัยโทษได้ ก็ยังมีคดีที่เหลืออีกหลายคดีที่ยังต้องดำเนินการตามกฎหมายอยู่ และสิ่งที่ทักษิณพูดก่อนสงกรานต์ ว่า อยากกลับบ้านให้คนเสื้อแดงช่วยพากลับบ้านหน่อย ข้อเท็จจริงตรงนี้ไม่มีใครห้ามไม่ให้กลับ เหตุที่เขาไม่กล้ากลับคือรู้อยู่แล้วว่าถ้ากลับมาจะต้องติดคุก ถ้าคิดต่อแล้วมันจะมีวิธีใดบ้างที่ทำให้กลับบ้านได้โดยไม่ต้องติดคุก ก็คือ 1. ต้องออกพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ซึ่งปัจจุบันเป็นไปไม่ได้เลยเพราะรัฐบาลประชาธิปัตย์กุมเสียงข้างมากในสภา และ2. ใช้วิธีการที่ไม่ปกติ เช่นเหตุการณ์ สงกรานต์เลือด เมื่อลำดับเหตุการณ์ต่างๆ ดูจะเห็นว่าหลังจากเสื้อแดงก่อเหตุมีเครือข่ายตัวเองเข้ายื่นถวายฎีกาต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ โดยโกหกว่ามีคนเจ็บจำนวนมาก ต่อมาปรากฏว่า ทักษิณ ขานรับแล้วแถลงข่าวเรื่องนี้ต่อยังต่างประเทศ ขณะเดียวกันได้ขอเบื้องบนโดยให้ตัวเองลงมาช่วยประชาชน อ้างเหตุการณ์รุนแรง โดยมีมูลเหตุจูงใจหวังต้องการให้คล้ายกับเหตุการณ์ พฤษภาทมิฬ ที่เบื้องบนลงมาไกล่เกลี่ย
“การล่ารายชื่อนั้น สาระสำคัญไม่ได้อยู่ที่จะล่ารายชื่อครบล้านหรือไม่ แต่สาระสำคัญคือต้องการนำความเสียหายมาสู่สังคม จากการปะทะกันระหว่างกลุ่มที่เห็นด้วยกับการล่ารายชื่อกับกลุ่มที่ไม่เห็นด้วย ซึ่งคนที่อยู่ในเหตุการณ์ 16 ต.ค. จะรู้ดีว่าสถาบันกษัตริย์ กำลังตกอยู่ในภาวะอันตรายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ประเทศชาติกำลังอยู่ในภาวะล่อแหลมที่จะนำไปสู่การนองเลือดทุกขณะ” นายสนธิญาณ กล่าว
นายสนธิญาณ กล่าวอีกว่า กลุ่มแนวร่วมทักษิณพยายามดึงมวลชนเข้าเป็นพวกอย่างต่อเนื่องมีการเลือนไหวและเตรียมการตลอดเวลา ให้ข้อมูลบิดเบือนกับชาวบ้านที่เข้าไม่ถึงข้อมูล โฆษณาชวนเชื่อว่าทักษิณ ทำให้อยู่ดีกินดี อีกทั้งรัฐบาลที่ผ่านมาก็ 6 เดือนแล้วยังไม่มีผลงานไปถึงชาวบ้าน ตรงนี้ยิ่งจะทำให้ชาวบ้านเกิดการเปรียบเทียบ จนทำให้คนกลุ่มนี้รู้สึกว่าทักษิณดี แต่ชาวบ้านไม่เคยรู้ว่าเงินที่เอาไปจ่ายก็คือเงินจากภาษีประชาชน ดังนี้จุดด้อยของรัฐบาลคือยังไม่สามารถควบคุมสื่อได้ หากรัฐยังทำงานตามแบบเดิมๆมันจะเกิดการเปรียบเทียบกับทักษิณอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้นายกฯ จะใจดี ซื้อสัตย์ แต่แค่นี้มันไปไม่ได้มันต้องประกอบกันและต้องเข้าใจสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันด้วย
นายสนธิญาณ กล่าวถึงสิ่งที่ซ้อนเร้นในการล่ารายชื่อ คือการก่อให้เกิดการกระทบกระเทือนต่อสภาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งถึงแม้เสื้อแดงจะบอกว่ามีการแตกแยกเป็นกลุ่มต่างๆไม่ลงรอยกัน แต่ภายใต้การเคลื่อนไหวก็ยังมีคนบงการเป็นคนๆเดียวกัน ทั้งนี้การเคลื่อนไหวไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่และจะเป็นเรื่องอะไรก็ตามที ให้ไปดูที่จุดประสงค์ของการเคลื่อนไหวเป็นประเด็นสำคัญ อย่างกลุ่มคนที่ตามหาวันชาติ ที่ในหลายประเทศเลือกเอาวันเฉลิมพระชนพรรษาเป็นวันชาติ โดยก่อนนี้คณะราชหลังจากเปลี่ยนแปลงการปกครองก็มาเปลี่ยนเป็นวันที่ 24 มิถุนายน สิ่งที่คณะราชพยายามทำตอนนั้นย่อมมองเห็นได้ว่าคณะราชได้เปลี่ยนแปลงการปกครองคู่ความขัดแย้งระหว่าง คณะราชกับสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นคู่ความขัดแย้งกันโดยตรง และเพื่อไม่ให้เป็นเป้าสายตาประชาชนคณะราชก็ต้องทำให้เกิดความชอบธรรมที่ตัวเองก่อขึ้นคือ เอาวันชาติมาเป็นวันเปลี่ยนแปลงการปกครองเอาเรื่องประชาธิปไตยเป็นตัวเดินหน้า แต่เมื่อปี 2503 จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ มาเปลี่ยนเอาวันชาติเป็นวันเฉลิมพระชนพรรษาคือวันที่ 5 ธันวาคม อยู่ๆมีคนมาออกมาตามหาวันชาติเดิมคือวันที่ 24 โดยมีจุดประสงค์ก็เพื่อต้องการลดบทบาทความสำคัญวันที่ 5 ลง และเมื่อถามต่อไปว่าวันที่ 5 เป็นวันอะไร ก็คือวันเฉลิมพระชนพรรษานั้นเอง ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดว่ากลุ่มคนดังกล่าวทำไปเพื่อต้องการลดบทบาทของสถาบันกษัตริย์ลง
“หากเสื้อแดงเคลื่อนไหวต้องไม่มีการสกัดกั้น แต่รัฐบาลต้องควบคุมสื่อให้อยู่ ไม่ใช่ให้สื่อเป็นเครื่องมือของทักษิณ มากกว่าเป็นเครื่องมือของรัฐบาลเช่นในปัจจุบัน รัฐบาลไม่รู้สึกว่า สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ในภาวะอันตราย ไม่รู้สึกว่าบ้านเมืองอยู่ในห้วงวิกฤติ เพราะการเคลื่อนตัวของสังคมถูกจุดประกายแนวคิดผ่านสื่อบิดเบือน เมื่อรัฐบาลไม่เห็นภาพแต่สิ่งเหล่านี้คืบหน้าไปเรื่อยๆ ซึ่งจะน่ากลัวกว่าเหตุการณ์ 16 ต.ค.” นายสนธิญาณ กล่าว
นายสนธิญาณ กล่าวยอมรับว่านายกฯ มีความตั้งใจจริงในการบริหารบ้านเมือง มีความซื่อสัตย์ แต่ภายใต้ปัญหาที่เป็นอยู่ในขณะนี้มีการแบ่งกลุ่มกันเองในพรรคประชาธิปัตย์ รัฐบาลถูกตั้งขึ้นเพราะการเปลี่ยนขั้วของกลุ่มเพื่อนเนวิน จนทำให้รัฐบาลต้องถนอมน้ำใจพรรคที่เข้าร่วม ส่งผลให้เกิดภาพลบต่อรัฐบาลอยู่ตลอดเวลา นายกฯ จะต้องคิดว่าประเทศอยู่ในสถานการณ์วิกฤติและต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน อย่างแรกคือ ปกป้องสภาบันพระมหากษัตริย์ ด้วยการทำความเข้าใจให้ประชาชนได้รับรู้ถึงข้อมูลที่แท้จริงถึงพิษร้ายของระบอบทักษิณ และอีกอย่างคือวิกฤติทางเศรษฐกิจ ที่ต้องมียุทธศาสตร์ในการนำพาประเทศให้อย่างเป็นระบบขั้นตอนและมีแบบแผนอย่างเป็นรูปธรรม ที่ต้องนำพาคนส่วนใหญ่ในประเทศให้อยู่ได้ ตรงนี้นายกต้องมีทีมยุทธศาสตร์ของตัวเองและยอมเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย แล้วจัดการปัญหาด้วยความกล้าหาญ
ดร.พิชาย กล่าวว่า ทักษิณ ไม่อยู่ในเงื่อนไขและไม่เข้าเกณฑ์การยื่นรายชื่อถวายฎีกา สาเหตุที่คนเสื้อแดงยังดันทุรังล่ารายชื่ออยู่นั้น น่าจะมีเป้าประสงค์เพื่อ 1.สร้างกระแสนิยมไม่ให้ความนิยมชมชอบในตัวทักษิณลดน้อยลง 2. เพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพของ ส.ส. 3. บรรดาแกนนำเสื้อแดง พยายามหากิจกรรมทำเพื่อให้สามารถพูดกับคนที่อยู่ต่างแดนว่ายังเคลื่อนไหวทำงานสมน้ำสมเนื้ออยู่นะ 4. เพื่อต้องการสร้างกระแสกดดันรัฐบาล ที่บอกว่าต้องการล่ารายชื่อยื่นถวายฎีกาให้ทักษิณ แล้วพลิกลิ้นไปทำอย่างอื่น เช่นออกกฎหมายนิรโทษกรรม หรืออาจจะเอาไปใช้ในกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ส่วนอีกอันต้องการดึงสถาบันเข้ามาเกี่ยวข้องทางการเมือง แต่ท้ายที่สุดมีเป้าหมายเดียวกันคือต้องการทำให้ ทักษิณ กลับเข้าประเทศโดยไม่ต้องติดคุก
“การเคลื่อนไหวยื่นถวายฎีกา มี 2 กลุ่ม คือกลุ่มเสื้อแดง ที่มีเป้าหมายเพื่อให้ทักษิณ กลับประเทศไทยโดยไม่ต้องติดคุก อีกกลุ่มที่มีอุดมการณ์เรื่องของสังคมนิยมไม่เอาอำมาตย์ ได้ใช้ทักษิณเป็นเครื่องมือล้มอำมาตย์ธิปไตยก่อน แล้วค่อยล้มทักษิณต่อ สาเหตุที่มารวมตัวกันก็เพื่อเป็นตัวเสริมใช้ความชอบธรรมบังหน้า และการยื่นถวายฎีกาเป็นเกมสืบเนื่องจากสงกรานต์เลือด เพื่อกดดันรัฐบาล สร้างกระแส ทั้งที่รู้อยู่ว่าการยื่นฎีกาไม่อยู่ในเงื่อนไขที่จะทำได้ ท้ายสุดเอาไปจุดประเด็นต่อว่าอำมาตย์ ว่ารังแก ทักษิณ อีกแล้ว ทำให้ชาวบ้านที่ไม่ถึงข้อมูลข่าวสารหลงผิด ก่อเป็นประเด็นให้เกิดการรวมคนขึ้นมาร่วมเคลื่อนไหวเพื่อทักษิณ อีกครั้ง”ดร.พิชาย กล่าว
ดร.พิชาย กล่าวถึงการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงในครั้งนี้อาจมีการเตรียมการเรื่องมวลชนไว้พร้อมๆกับล่ารายชื่อ พอถึงวันที่ต้องยื่นอาจมีการชุมนุมเคลื่อนไหวในหลายด้านทั้งใน-นอกประเทศ เพื่อสร้างอณาธิปไตย อันจะนำไปสู่จุดที่ว่า ในหลวง ต้องออกมาไกล่เกลี่ย จะทำให้เกิดประโยชน์กับคนบางคน อย่างไรก็ดีเหตุการณ์ตรงนี้สามารถหยุดได้ หากรัฐบาลประเมินสถานการณ์ตามความเป็นจริง แต่รัฐบาลมักประเมินสถานการณ์ต่ำกว่าความเป็นจริงเสมอ โดยยังไม่เข้าใจว่าตนเองอยู่ในภาวการณ์สู้รบแย่งชิงอำนาจอย่างเข้มข้น ดังนั้นรัฐบาลต้องกำหนดแผน ทิศทางว่าจะทำอย่างไรไม่ให้เกิดเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นอีก
ดร.พิชาย กล่าวต่อว่า รัฐบาลยังคิดว่า สถานการณ์อยู่ในภาวะปกติ และมีพฤติการณ์แก้ปัญหาเฉพาะหน้าเป็นระยะๆไป ไม่เห็นภาพว่ารัฐบาลสร้างวิสัยทัศอย่างไรว่าอีก 1-2 ปีข้างหน้าทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดีเป็นอย่างไร ที่สำคัญชาวบ้านเห็นการทำงานของรัฐบาลชุดนี้เหมือนวงจรเก่าๆ แย่งชิงผลประโยชน์กัน มีการถกเถียงกันในสภาสุดท้ายก็มานัดกินข้าวกัน จนในที่สุดก็จะเกิดการเปรียบเทียบระหว่างรัฐบาลนี้กับรัฐบาลทักษิณ ทั้งนี้ปมปัญหาดังกล่าวเกิดจากตัวนายกฯเอง ที่ยังคิดไม่ตกว่าจะเดินเส้นทางไหนระหว่างการรักษาสภาพภายใต้ระบบรัฐสภากับการนำพาประเทศไปสู่วิสัยทัศใหม่ ซึ่งตอนนี้รัฐบาลดูเหมือนว่าจะเลือกเส้นทางสมานฉันท์ในสภา ไม่เลือกที่จะแตกหัก ตรงนี้เองจะทำให้หลายฝ่ายมองว่ารัฐบาลไม่มีความเด็ดขาดในการบริหารประเทศจนทำให้คะแนนเสียงความนิยมลดลง สุดท้ายพรรคประชาธิปัตย์จะถูกมองว่าไม่มีความสามารถที่จะต่อกรกับระบอบทักษิณได้ ทั้งระบบแนวคิดวิสัยทัศ การจัดตั้ง และมวลชน ดังนี้หากประชาธิปัตย์ยังไม่ปรับปรุง การเลือกตั้งครั้งหน้าจะไม่มีทางสู้พรรคเพื่อไทยได้ แล้วคนชั้นกลางก็จะมองว่าคนที่จะสู้ทักษิณ ได้คนเดียวคือ สนธิ เพราะฉะนั้นพอถึงเวลาต้องเลือกตั้งชนชั้นกลางก็จะหันมาเลือกคนที่ต่อกรกับทักษิณได้ เพราะคนเข้ามองว่าทักษิณ เป็นมหันตภัยและคนที่จะต่อกรกับทักษิณได้ไม่มีใครนอกจากแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย