รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล “อำนวย นิ่มมะโน” พาลูกน้องมาแถลงข่าวถูกการ์ดพันธมิตรฯ รุมยำทำร้ายร่างกาย ยึดปืน พร้อมสอน “สนธิ” ให้ศึกษาข้อกฎหมายให้ละเอียดก่อนพูดจะได้มีหนทางต่อสู้คดี ขู่ซ้ำยังมีคดีหมิ่นเบื้องสูงรออยู่
วันนี้ (9 ต.ค.) ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล เมื่อเวลา 14.30 น. พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น. พร้อมด้วย ร.ต.อ.สาริษฐ์ อักษร รอง สว.สส.กก.สส.น.1 แถลงกรณีถูกกลุ่มการ์ดพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จับกุมตัวไปและถูกทำร้ายร่างกายเมื่อวันที่ 7 ต.ค. ก่อนที่จะได้รับการประสานปล่อยตัวออกมาวันที่ 8 ต.ค.ที่ผ่านมา
ร.ต.อ.สาริษฐ์ กล่าวว่า ก่อนเกิดเหตุตนได้รับคำสั่งให้ปฏิบัติการสืบสวนหาข่าว และบันทึกภาพบริเวณแยกสวนมิสกวัน ตนจึงออกจากหน่วยมาปฏิบัติการทันที ขณะนั้นเวลาประมาณ 17.00 น.วันที่ 7 ตุลาคม โดยเมื่อมาถึงแยกสวนมิสกวัน ตนเดินเข้าไปและเห็นว่าเหตุการณ์อยู่ในสถานการณ์ตึงเครียดจึงพยายามที่จะเดินออกมาทางแยกวังแดง แต่เส้นทางถูกปิดจึงจะเดินไปเข้าทางสะพานมัฆวานฯ
ร.ต.อ.สาริษฐ์ กล่าวต่อว่า จังหวะนั้นตนก็สังเกตเห็นแล้วว่าการ์ดพันธมิตรฯ เริ่มสงสัยในตัวตนเองจึงรีบเดินออก เมื่อมาถึงหน้ากระทรวงศึกษาฯ ได้ยินเสียงการ์ดพันธมิตรฯ ตะโกนไล่หลังว่า “ตำรวจ ตำรวจที่มันมารื้อเต็นท์พวกเราวันนั้น” จากนั้นมีชายประมาณ 7-8 กรูเข้ามาจับตัว และควบคุมไปที่หน้าเต็นท์กองทัพธรรม ระหว่างนั้นตนก็พยายามแสดงบัตรข้าราชการพร้อมแสดงตัวว่าเป็นตำรวจ แต่กลุ่มการ์ดก็พยายามจับกดให้นั่งลง ซึ่งตนเองไม่ยอมนั่ง เพราะคิดว่าหากนั่งลงคงไม่รอดแน่ เพราะจังหวะนั้นมีประชาชนที่ทราบต่างฮือเข้ามาพยายามทำร้าย โดยมีบางคนถือไม้ได้แทรกตัวเข้ามาจากการ์ดพันธมิตรฯ มาถึงที่ตัว กลุ่มการ์ดนำตัวตนเข้ามาที่เต็นท์กองทัพธรรม
“แต่กลุ่มผู้ชุมนุมก็พยายามจะตามเข้ามาทำร้าย ผมเองเห็นท่าไม่ดีจึงชักอาวุธปืนประจำกาย ขนาด .38 ออกมาเพื่อขู่โดยไม่ได้มีเจตนาที่จะยิง ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่ก็จะถอยออกไป แต่ก็มีการ์ดคนหนึ่งได้ยินเรียกชื่อว่า “พี่สิงห์” เดินเข้ามา หยิบระเบิดและเดินเข้ามาหาพร้อมบอกว่า “งั้นเรามาตายพร้อมกัน” โดยเห็นอีกคนถือปืนยาวไม่ทราบชนิดจ่อมาที่ผมด้วย ผมเองเห็นท่าไม่ดีจึงบอกยอมแล้ว และจังหวะนั้นที่ผมเอากระสุนออกจากลูกโม่ และก้มตัวเพื่อจะวางปืนลงกับพื้นก็ถูกของแข็งตีเข้าที่หัวจนสลบไป จังหวะนั้นคู่หูที่มาด้วยกันพยายามจะเข้ามาช่วยก็โดนรุมทำร้ายอีกคน” ร.ต.อ.สาริษฐ์ กล่าว
ร.ต.อ.สาริษฐ์ กล่าวต่อว่า เมื่อฟื้นขึ้นมาพบว่าทรัพย์สินติดตัวหายไป คือ กล้องดิจิตอล 2 ตัว โทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง และปืนลูกโม่ 1 กระบอก ส่วนที่มือถูกรัดด้วยเข็มขัดรัดสายไฟ และใส่กุญแจมือซ้ำอีก และได้เรียกพยาบาลมาช่วยปฐมพยาบาล แต่เนื่องจากแผลลึกมาไม่สามารถเย็บได้ แต่กลุ่มการ์ดพันธมิตรฯ ก็ยังไม่ยอมปล่อยตัว ให้พยาบาลพันแผลไว้เฉยๆ และคุมตัวอยู่ในเต็นท์
กระทั่งเช้าจึงได้เรียกหมอมาช่วยเย็บแผล ซึ่งเย็บไปทั้งสิ้น 6 เข็ม และนอนพักอยู่ในเต็นท์ จังหวะนั้นประชาชนที่ทราบว่าตนและคู่หูถูกจับกุมตัวอยู่ก็พยายามที่จะเข้ามาทำร้ายตลอดเวลา แต่ก็มีคนของกองทัพธรรมพยายามห้ามไว้ตลอด แต่บางส่วนที่ห้ามไม่ได้ก็เข้ามาทำร้ายอีก จนได้รับบาดเจ็บที่ขาเป็นรอยช้ำบวมเพิ่มเติม จากนั้นจึงได้รับการประสานจากกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ฝ่ายนั้นเรียกว่า “ผู้ใหญ่” ให้ปล่อยตัวและมีการนำรถยนต์มารับที่เต็นท์ และมาปล่อยที่หน้า สน.ดุสิต เวลา 12.00 น.วันที่ 8 ตุลาคม
ด้าน พล.ต.ต.อำนวย กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กองบัญชาการตำรวจนครบาลมีความห่วงใย ขนาดเจ้าหน้าที่ตำรวจยังโดนกระทำขนาดนี้ บ้านเมืองมีกฎหมาย กฎกติกามารยาทต้องรักษาไว้ หากว่าไม่มีการรักษาให้กฎหมายมีความศักดิ์สิทธิ์ บ้านเมืองคงอยู่ลำบาก ขณะนี้เราทราบแล้วว่าผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์มีใครบ้าง ซึ่งจากนี้จะดำเนินการแจ้งความ และต้องมีการจับกุมดำเนินคดีอย่างถึงที่สุด เพราะแม้กระทั่งปืนที่ยึดไป กว่าจะติดต่อเอามาคืนก็ตอนเย็น พร้อมบังคับให้ ร.ต.อ.สาริษฐ์ เซ็นยินยอมว่าจะไม่เอาเรื่อง จึงจะยอมคืนปืน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรู้สึกว่าบ้านเมืองนี้จะไปกันใหญ่แล้ว
พล.ต.ต.อำนวย ยังกล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่าแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ จะเดินทางเข้ามอบตัวนั้นว่า คงต้องทำความเข้าใจเรื่องข้อหาก่อน เพราะที่ได้ยิน นายสนธิ ลิ้มทองกุล หนึ่งในแกนนำ กล่าวว่า ศาลอนุมัติข้อหาบุกรุก ซึ่งเป็นข้อหาเพียงเล็กน้อยนั้น แต่ที่ศาลอนุมัติหมายจับและข้อหายังอยู่นั้น คือมาตรา 116 คือยุยงปลุกปั่นให้เกิดความกระด้างกระเดื่องต่อแผ่นดิน อัตราจำโทษ 7 ปี และ 215 คือ สมคบกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง ซึ่งมีอัตราจำคุก 5 ปี ก็ยังมีผลอยู่ไม่ถือว่าเป็นความผิดเล็กๆ เพราะฉะนั้น ควรทำความเข้าใจก่อนที่จะเข้ามามอบตัว ถ้ายังไม่เข้าใจข้อกล่าวหาแล้วเข้ามอบตัวเดี๋ยวจะหลงข้อต่อสู้ แต่หากเข้าใจข้อหาเรียบร้อย เข้ามามอบตัวก็คงสามารถให้การหักล้างข้อกล่าวหา เพราะยังมีคดีค้างอยู่ในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
“อยากฝากด้วยว่า ไม่จำเป็นต้องมาเร่งรัดผมเองให้รีบไปจับเจ๊ดา (น.ส.ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล) ขณะนี้สรุปสำนวนเสร็จเรียบร้อยแล้วและส่งอัยการฟ้องแล้ว แต่ของนายสนธิ และนายสมเกียรติ ยังคาราคาซังอยู่เนื่องจากยังไม่ยอมเข้ามาให้การ ส่วนการติดต่อนั้นมามอบตัวนั้นผมยังไม่ได้รับการติดต่อ แต่อาจจะมีการติดต่อผ่านผู้อื่น แต่เมื่อจะติดต่อมอบตัวก็ถือเป็นเรื่องดี เพราะจะได้หักล้างข้อกล่าวหา ตามกระบวนการยุติธรรม และการมอบตัวก็สามารถทำได้และจะได้รับการประกันตัวหรือไม่ก็ต้องว่ากันไปตามกระบวนการ” พล.ต.ต.อำนวย กล่าว
ส่วนที่ศาลสั่งเพิกถอนข้อหากบฏจะมีผลกระทบการทำงานของตำรวจหรือไม่นั้น พล.ต.ต.อำนวย กล่าวว่า ไม่มีผลกระทบเลย เพราะครั้งแรกที่รวบรวมพยานหลักฐานขอหมายจับในชั้นจับกุมนั้นเพื่อให้ได้พยานหลักฐานพอฟังได้เพื่อขออนุมัติหมายจับก่อน จากนั้นจะรวบรวมพยานหลักฐานให้มีความชัดเจนมากขึ้น และผู้ต้องหาต้องหาหลักฐานมาหักล้าง หากหักล้างได้ก็ไม่ฟ้องแต่ถ้าหักล้างไม่ได้ก็จะดำเนินการสั่งฟ้อง ซึ่งการที่ศาลยกข้อหากบฏก็ไม่มีปัญหาในการดำเนินการ ขณะนี้หากแกนนำที่เหลือ ยกเว้น นายสมเกียรติ หากตำรวจพบก็จำเป็นต้องดำเนินการจับกุมในข้อหาที่เหลือ แต่จะมีการแจ้งข้อหากบฏเพิ่มเติมหรือไม่ต้องดูรายละเอียดอีกครั้ง
วันนี้ (9 ต.ค.) ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล เมื่อเวลา 14.30 น. พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น. พร้อมด้วย ร.ต.อ.สาริษฐ์ อักษร รอง สว.สส.กก.สส.น.1 แถลงกรณีถูกกลุ่มการ์ดพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จับกุมตัวไปและถูกทำร้ายร่างกายเมื่อวันที่ 7 ต.ค. ก่อนที่จะได้รับการประสานปล่อยตัวออกมาวันที่ 8 ต.ค.ที่ผ่านมา
ร.ต.อ.สาริษฐ์ กล่าวว่า ก่อนเกิดเหตุตนได้รับคำสั่งให้ปฏิบัติการสืบสวนหาข่าว และบันทึกภาพบริเวณแยกสวนมิสกวัน ตนจึงออกจากหน่วยมาปฏิบัติการทันที ขณะนั้นเวลาประมาณ 17.00 น.วันที่ 7 ตุลาคม โดยเมื่อมาถึงแยกสวนมิสกวัน ตนเดินเข้าไปและเห็นว่าเหตุการณ์อยู่ในสถานการณ์ตึงเครียดจึงพยายามที่จะเดินออกมาทางแยกวังแดง แต่เส้นทางถูกปิดจึงจะเดินไปเข้าทางสะพานมัฆวานฯ
ร.ต.อ.สาริษฐ์ กล่าวต่อว่า จังหวะนั้นตนก็สังเกตเห็นแล้วว่าการ์ดพันธมิตรฯ เริ่มสงสัยในตัวตนเองจึงรีบเดินออก เมื่อมาถึงหน้ากระทรวงศึกษาฯ ได้ยินเสียงการ์ดพันธมิตรฯ ตะโกนไล่หลังว่า “ตำรวจ ตำรวจที่มันมารื้อเต็นท์พวกเราวันนั้น” จากนั้นมีชายประมาณ 7-8 กรูเข้ามาจับตัว และควบคุมไปที่หน้าเต็นท์กองทัพธรรม ระหว่างนั้นตนก็พยายามแสดงบัตรข้าราชการพร้อมแสดงตัวว่าเป็นตำรวจ แต่กลุ่มการ์ดก็พยายามจับกดให้นั่งลง ซึ่งตนเองไม่ยอมนั่ง เพราะคิดว่าหากนั่งลงคงไม่รอดแน่ เพราะจังหวะนั้นมีประชาชนที่ทราบต่างฮือเข้ามาพยายามทำร้าย โดยมีบางคนถือไม้ได้แทรกตัวเข้ามาจากการ์ดพันธมิตรฯ มาถึงที่ตัว กลุ่มการ์ดนำตัวตนเข้ามาที่เต็นท์กองทัพธรรม
“แต่กลุ่มผู้ชุมนุมก็พยายามจะตามเข้ามาทำร้าย ผมเองเห็นท่าไม่ดีจึงชักอาวุธปืนประจำกาย ขนาด .38 ออกมาเพื่อขู่โดยไม่ได้มีเจตนาที่จะยิง ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่ก็จะถอยออกไป แต่ก็มีการ์ดคนหนึ่งได้ยินเรียกชื่อว่า “พี่สิงห์” เดินเข้ามา หยิบระเบิดและเดินเข้ามาหาพร้อมบอกว่า “งั้นเรามาตายพร้อมกัน” โดยเห็นอีกคนถือปืนยาวไม่ทราบชนิดจ่อมาที่ผมด้วย ผมเองเห็นท่าไม่ดีจึงบอกยอมแล้ว และจังหวะนั้นที่ผมเอากระสุนออกจากลูกโม่ และก้มตัวเพื่อจะวางปืนลงกับพื้นก็ถูกของแข็งตีเข้าที่หัวจนสลบไป จังหวะนั้นคู่หูที่มาด้วยกันพยายามจะเข้ามาช่วยก็โดนรุมทำร้ายอีกคน” ร.ต.อ.สาริษฐ์ กล่าว
ร.ต.อ.สาริษฐ์ กล่าวต่อว่า เมื่อฟื้นขึ้นมาพบว่าทรัพย์สินติดตัวหายไป คือ กล้องดิจิตอล 2 ตัว โทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง และปืนลูกโม่ 1 กระบอก ส่วนที่มือถูกรัดด้วยเข็มขัดรัดสายไฟ และใส่กุญแจมือซ้ำอีก และได้เรียกพยาบาลมาช่วยปฐมพยาบาล แต่เนื่องจากแผลลึกมาไม่สามารถเย็บได้ แต่กลุ่มการ์ดพันธมิตรฯ ก็ยังไม่ยอมปล่อยตัว ให้พยาบาลพันแผลไว้เฉยๆ และคุมตัวอยู่ในเต็นท์
กระทั่งเช้าจึงได้เรียกหมอมาช่วยเย็บแผล ซึ่งเย็บไปทั้งสิ้น 6 เข็ม และนอนพักอยู่ในเต็นท์ จังหวะนั้นประชาชนที่ทราบว่าตนและคู่หูถูกจับกุมตัวอยู่ก็พยายามที่จะเข้ามาทำร้ายตลอดเวลา แต่ก็มีคนของกองทัพธรรมพยายามห้ามไว้ตลอด แต่บางส่วนที่ห้ามไม่ได้ก็เข้ามาทำร้ายอีก จนได้รับบาดเจ็บที่ขาเป็นรอยช้ำบวมเพิ่มเติม จากนั้นจึงได้รับการประสานจากกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ฝ่ายนั้นเรียกว่า “ผู้ใหญ่” ให้ปล่อยตัวและมีการนำรถยนต์มารับที่เต็นท์ และมาปล่อยที่หน้า สน.ดุสิต เวลา 12.00 น.วันที่ 8 ตุลาคม
ด้าน พล.ต.ต.อำนวย กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กองบัญชาการตำรวจนครบาลมีความห่วงใย ขนาดเจ้าหน้าที่ตำรวจยังโดนกระทำขนาดนี้ บ้านเมืองมีกฎหมาย กฎกติกามารยาทต้องรักษาไว้ หากว่าไม่มีการรักษาให้กฎหมายมีความศักดิ์สิทธิ์ บ้านเมืองคงอยู่ลำบาก ขณะนี้เราทราบแล้วว่าผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์มีใครบ้าง ซึ่งจากนี้จะดำเนินการแจ้งความ และต้องมีการจับกุมดำเนินคดีอย่างถึงที่สุด เพราะแม้กระทั่งปืนที่ยึดไป กว่าจะติดต่อเอามาคืนก็ตอนเย็น พร้อมบังคับให้ ร.ต.อ.สาริษฐ์ เซ็นยินยอมว่าจะไม่เอาเรื่อง จึงจะยอมคืนปืน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรู้สึกว่าบ้านเมืองนี้จะไปกันใหญ่แล้ว
พล.ต.ต.อำนวย ยังกล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่าแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ จะเดินทางเข้ามอบตัวนั้นว่า คงต้องทำความเข้าใจเรื่องข้อหาก่อน เพราะที่ได้ยิน นายสนธิ ลิ้มทองกุล หนึ่งในแกนนำ กล่าวว่า ศาลอนุมัติข้อหาบุกรุก ซึ่งเป็นข้อหาเพียงเล็กน้อยนั้น แต่ที่ศาลอนุมัติหมายจับและข้อหายังอยู่นั้น คือมาตรา 116 คือยุยงปลุกปั่นให้เกิดความกระด้างกระเดื่องต่อแผ่นดิน อัตราจำโทษ 7 ปี และ 215 คือ สมคบกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง ซึ่งมีอัตราจำคุก 5 ปี ก็ยังมีผลอยู่ไม่ถือว่าเป็นความผิดเล็กๆ เพราะฉะนั้น ควรทำความเข้าใจก่อนที่จะเข้ามามอบตัว ถ้ายังไม่เข้าใจข้อกล่าวหาแล้วเข้ามอบตัวเดี๋ยวจะหลงข้อต่อสู้ แต่หากเข้าใจข้อหาเรียบร้อย เข้ามามอบตัวก็คงสามารถให้การหักล้างข้อกล่าวหา เพราะยังมีคดีค้างอยู่ในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
“อยากฝากด้วยว่า ไม่จำเป็นต้องมาเร่งรัดผมเองให้รีบไปจับเจ๊ดา (น.ส.ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล) ขณะนี้สรุปสำนวนเสร็จเรียบร้อยแล้วและส่งอัยการฟ้องแล้ว แต่ของนายสนธิ และนายสมเกียรติ ยังคาราคาซังอยู่เนื่องจากยังไม่ยอมเข้ามาให้การ ส่วนการติดต่อนั้นมามอบตัวนั้นผมยังไม่ได้รับการติดต่อ แต่อาจจะมีการติดต่อผ่านผู้อื่น แต่เมื่อจะติดต่อมอบตัวก็ถือเป็นเรื่องดี เพราะจะได้หักล้างข้อกล่าวหา ตามกระบวนการยุติธรรม และการมอบตัวก็สามารถทำได้และจะได้รับการประกันตัวหรือไม่ก็ต้องว่ากันไปตามกระบวนการ” พล.ต.ต.อำนวย กล่าว
ส่วนที่ศาลสั่งเพิกถอนข้อหากบฏจะมีผลกระทบการทำงานของตำรวจหรือไม่นั้น พล.ต.ต.อำนวย กล่าวว่า ไม่มีผลกระทบเลย เพราะครั้งแรกที่รวบรวมพยานหลักฐานขอหมายจับในชั้นจับกุมนั้นเพื่อให้ได้พยานหลักฐานพอฟังได้เพื่อขออนุมัติหมายจับก่อน จากนั้นจะรวบรวมพยานหลักฐานให้มีความชัดเจนมากขึ้น และผู้ต้องหาต้องหาหลักฐานมาหักล้าง หากหักล้างได้ก็ไม่ฟ้องแต่ถ้าหักล้างไม่ได้ก็จะดำเนินการสั่งฟ้อง ซึ่งการที่ศาลยกข้อหากบฏก็ไม่มีปัญหาในการดำเนินการ ขณะนี้หากแกนนำที่เหลือ ยกเว้น นายสมเกียรติ หากตำรวจพบก็จำเป็นต้องดำเนินการจับกุมในข้อหาที่เหลือ แต่จะมีการแจ้งข้อหากบฏเพิ่มเติมหรือไม่ต้องดูรายละเอียดอีกครั้ง