หากจะพิจารณาย้อนหลังกลับไปเฉพาะในยุคของรัฐบาล สมัคร สุนทรเวช และสังคมก็รับรู้กันไปทั่วว่าเป็น “หุ่นเชิด” ของ “ระบอบทักษิณ” แม้ว่าในรายละเอียดปลีกย่อยยังอาจเรียกได้ว่าต่างฝ่ายต่างสมประโยชน์ซึ่งกันและกันก็ตาม ขณะเดียวกัน หากพิจารณากรณีของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ก็นับได้ว่าเป็นข้าราชการรายที่ 3 ที่ตกเป็นเหยื่อของการเมือง“อธรรม”
เพียงแค่เดือนเศษ รัฐบาลของ สมัคร สุนทรเวช ได้ปลดข้าราชการระดับสูงที่สังคมให้การยอมรับนับถือไปถึง 3 ราย
รายแรกก็คือ สุนัย มโนมัยอุดม ถูกคำสั่งโยกย้ายพ้นจากตำแหน่งอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) อันเป็นผลมาจากการสอบสวนความผิดการ“ซุกหุ้น”ในบริษัทเอสซีแอสเสท ของ “ตระกูลชินวัตร” รายถัดมาก็คือ ปราโมช รัฐวินิจ ที่ถูกปลดพ้นตำแหน่งอธิบดีประชาสัมพันธ์
ซึ่งทุกรายที่ถูกคำสั่งปลดก็มาจากสาเหตุที่ไปขัดขวางพฤติกรรมที่มิชอบของนักการเมืองที่มีอำนาจ หรือถูกปลดเพื่อให้นักการเมืองพ้นผิด เช่น ตัวอย่างของการย้าย สุนัย มโนมัยอุดม สังคมก็รับรู้ว่ามาจากการขุดคุ้ยความผิดของนช.ทักษิณ ชินวัตร
ส่วน พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ถือว่าอาจขวางทางการกระทำมิชอบของฝ่ายการเมือง และหากยังปล่อยให้อยู่ในตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติต่อไป ดังนั้นจึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้พ้นไปให้ได้
แต่อาจจะแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดก็ตรงที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ นอกจากไม่นิ่งเงียบแล้ว แต่ยังฮึดสู้ ทวงถามความยุติธรรมตามแบบฉบับของตัวเอง แม้บางครั้งต้องใช้เวลารอคอยนานเป็นปีก็ตาม
และถ้าจะโฟกัสกันเฉพาะข้อกล่าวหาทั้งหมดที่ทยอยตามกันมามีถึง 12 ข้อจาก 3 คำสั่ง ล้วนฉกรรจ์ทั้งสิ้น หากเป็นคนอื่นอาจต้องถอดใจ ต้องยอมปล่อยไปตามยถากรรม เนื่องจากในยุคนั้นยังมองไม่เห็นทางที่จะต่อกรได้เลย เพราะเห็นกันอยู่ว่า ระบอบทักษิณ ได้คืนชีพกลับมาใหญ่ “คับฟ้า” อีกรอบ ผ่านทา ง“หุ่นเชิด” สมัคร สุนทรเวช
อย่างไรก็ดี ถ้ากล่าวกันอย่างตรงไปตรงมาก็ถือว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ มีต้นทุนทางสังคมสูง ไม่น้อยเหมือนกัน สังคมส่วนใหญ่ยกย่องว่าเป็นนายตำรวจ “ตงฉิน” ตรงไปตรงมา และหากพลิกประวัติกลับไปสมัยรับราชการตอนหนุ่มๆ เมื่อหลายสิบปีก่อน ไม่มีใคร ไม่รู้จัก “วีรบุรุษนาแก” คนนี้
ในยุคที่ขับเคี่ยวต่อสู้กับผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ จนได้รับพระราชทานเหรียญกล้าหาญ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสูง ที่น้อยคนนักที่เคยสัมผัสได้แบบนี้
ขณะเดียวกัน อีกมุมหนึ่งการสอบสวนหาความผิดกับ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กลับกลายเป็นว่าได้สร้าง “ผลลบ” ให้กับสมัคร สุนทรเวช และรัฐบาลพรรคพลังประชาชนของ ทักษิณ ชินวัตร ได้อย่างรวดเร็ว เพราะแทบทุกคนรู้ว่าเป็นการ “กลั่นแกล้ง” ข้าราชการ
ต้องการเตะโด่งคนหนึ่งออกไปเพื่อที่จะดันพรรคพวกเดียวกันขึ้นมาเป็นใหญ่ เพื่อประโยชน์ในเส้นทางอำนาจ และการรักษาอำนาจของตัวเองเท่านั้น
พฤติกรรมของรัฐบาลในยุคนั้นจึงได้สร้างเงื่อนไขให้เกิดการต่อต้านมากขึ้นเรื่อยๆ ทกวัน จนในที่สุดจะด้วยเป็นเพราะธรรมะย่อมชนะอธรรม หรือว่า ความดีย่อมชนะความชั่ว หรือเปล่าก็ไม่รู้ ในที่สุดรัฐบาลหุ่นเชิดชุดนั้นก็ต้องปิดฉากลงอย่างน่าเศร้า และอาจจะต้องมีสิทธิ์ติดคุกติดตะรางตามมาในอีกไม่นานก็ได้
ส่วน พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ หลังจากต้องทนรอมานานกว่า 1 ปี ซึ่งตามระเบียบของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ระบุไว้ว่า ต้องสอบสวนให้เสร็จสิ้น แต่เมื่อเวลาล่วงเลยมาก็ไม่สามารถเอาผิดอะไรได้ เพราะทุกอย่างหักล้างได้หมด จึงไม่มีอะไรใน “กอไผ่”
แต่ในทางตรงกันข้ามจากนี้ไปฝ่ายที่รุกไล่เอาคืน ตามทวงถามความยุติธรรมก็คือ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ นั่นเอง เชื่อว่าจะ “โดน” กันกราวรูดตั้งแต่หัวแถวยันท้ายแถว ซึ่งต้องไปว่ากันตามช่องทางกระบวนการต่อไป
อย่างไรก็ดี นาทีนี้สำหรับเส้นทางราชการของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ถือว่าได้จบลงแล้ว เนื่องจากได้เกษียณอายุ แต่ที่น่าจับตาของหลายฝ่ายก็คือ เขาจะกระโดดลงสู่สนามการเมืองหรือไม่ เพื่อเข้าไปละลายความเน่าเหม็นหรือไม่
เพราะก่อนหน้านี้มีการจับตามอง และคาดหมายกันว่าเขาอาจจะลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร หลังจากเกษียณอายุราชการในปี 2551 แต่ก็มาเกิดเรื่องดังกล่าวขึ้นเสียก่อน
ดังนั้น ไม่ว่าจะเลือกเส้นทางไหน ก็ย่อมขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเขาเอง แต่หากจะลงสู่เส้นทางการเมืองก็ต้องชั่งน้ำหนักให้ดี เพราะอยู่บนเส้นทาง “สองแพร่ง”
และที่สำคัญยังเป็นคนที่มีต้นทุน สังคมยังให้ความศรัทธากำกับอยู่ข้างหลัง !!