ผ่านอรุณรุ่งของเช้าวันศุกร์ที่ 12 มิ.ย.52 ได้ไม่กี่นาที ก็เกิดเหตุอุกฉกรรจ์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้อีกครั้ง สร้างความสะเทือนใจประชาชนคนไทยทั้งประเทศ
เมื่อเกิดเหตุคนร้ายสองคนนั่งซ้อนรถมอเตอร์ไซด์ ใช้อาวุธปืนอาก้ากราดยิงพระสงฆ์ 2 รูป ระหว่างบิณฑบาตใจกลางเมือง ยะลา คมกระสุนปืนทำให้พระสงฆ์เสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ 1 รูป ส่วนพระอีก 1 รูป บาดเจ็บสาหัส
ผู้พบเห็นเหตุการณ์ และเห็นภาพที่เกิดขึ้นถึงกับช็อก เพราะไม่คิดว่าการฆ่าพระสงฆ์ จะเป็นภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ในแผ่นดินสยามทำให้ทุกฝ่ายหวั่นวิตกว่า ปัญหาความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อาจพัฒนาความรุนแรงและสร้างความเข้าใจผิดของคนในพื้นที่ จนบานปลายกลายเป็น
สงครามศาสนา
อย่างที่มีบางคนออกมาเตือนหรือไม่ ยิ่งกับข่าวที่ปรากฏออกมาบนบทวิเคราะห์หลังเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่มัสยิดอัลฟุร์กอน ที่ ต.จวบ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส ที่มีการรัวเอ็ม 16 กราดยิงแหลกจนมีผู้เสียชีวิต 11 ศพ ขณะที่ทั้งหมดกำลังปฏิบัติศาสนกิจเมื่อ 8 มิถุนายน 52 บนการอ้างอิงตามรายงานข่าวของสื่อมวลชนที่เล็ดลอดออกมาจากห้องประชุมคณะกรรมการพัฒนาพื้นที่พิเศษ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ ครม.ภาคใต้ 11 มิ.ย.52 ที่ทำเนียบรัฐบาล ที่มีคนในหน่วยงานความมั่นคง วิเคราะห์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า
“เป็นวิธีการที่หวังผลในเรื่องการสร้างความแตกแยกทางศาสนา ด้วยการทำให้คนในพื้นที่เกลียดชังและเข้าใจว่า เจ้าหน้าที่รัฐหรือคนไทยพุทธเป็นผู้ลงมือ เพื่อนำไปสู่สงครามทางศาสนา”
อันเป็นบทวิเคราะห์ที่เกิดขึ้นระหว่างการประชุมครม.ภาคใต้ ครั้งที่ 2 ของปี 2552 !
หรือพูดให้เข้าใจง่าย เกือบ 6 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลประชาธิปัตย์ของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ผู้คนคาดหวังว่าความเป็นประชาธิปัตย์ ที่เป็นพรรคการเมืองภาคใต้ และแกนนำพรรคหลายคน ก็เป็นคนในพื้นที่รับรู้ปัญหาเรื่องภาคใต้มาหลายปี
และที่ผ่านมา ขุนพลประชาธิปัตย์ ไม่ใช่เฉพาะ ส.ส.ภาคใต้ต่างก็แสดงวิสัยทัศน์แก้ปัญหาภาคใต้หลายอย่าง และโจมตีความล้มเหลวในการแก้ปัญหาภาคใต้ของหลายรัฐบาล
ทั้งรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร –พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ และ คมช.-สมัคร สุนทรเวช-สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ดังนั้น เมื่อประชาธิปัตย์ขึ้นมาบริหารประเทศ ประชาชนทุกภาคส่วนต่างก็คาดหวังกับประชาธิปัตย์และอภิสิทธิ์อย่างมากว่า
จะสามารถแก้ไขปัญหาวิกฤติไฟใต้ ได้เห็นเป็นรูปธรรมมากกว่ารัฐบาลอื่น
แต่การที่รัฐบาลชุดนี้ ประชุมเรื่องปัญหาภาคใต้เพียงแค่ครั้งที่ 2 ในรอบปี
ทั้งที่ปัญหาภาคใต้ถือเป็นปัญหาเร่งด่วน และเป็นวาระแห่งชาติที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ควรต้องจัดอันดับความสำคัญไว้เป็นอันดับต้นๆ รองลงมาจากปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาความแตกแยกของคนในชาติ ไม่ใช่มามัวแต่แก้ปัญหาการเมืองภายในพรรคร่วมรัฐบาลและหวังต่ออายุรัฐบาลให้นานที่สุด จนไปทำงานอย่างอื่นเช่นตั้งหน้าตั้งตาจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ นิรโทษกรรมการเมือง
แล้วพอเกิดเหตุภาคใต้รุนแรงหนักขึ้นเรื่อยๆ ก็มี”ขันนอต”กันที หลังเห็นว่า ไม่ได้การแล้ว สถานการณ์รุนแรงหนักถึงขั้นสังหารกันในมัสยิดเลยต้องเรียกประชุมสารพัดคณะกรรมการเพื่อ
สร้างภาพว่ารัฐบาลเอาใจใส่ปัญหาภาคใต้
แล้วมุ่งแก้ปัญหาด้วยการใช้เม็ดเงินเป็นตัวหลักกับการเห็นชอบแผนงบประมาณดับไฟใต้ปี 2553 วงเงิน 1.8 หมื่นล้านบาท
มาถึงวันนี้ บทวิเคราะห์ดังกล่าวที่ระดับบิ๊กๆในฝ่ายทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง ฝ่ายข่าวกรอง ร่วมหารือกันในที่ประชุมครม.ภาคใต้ รวมถึงการประเมินสถานการณ์จากผู้รับผิดชอบการแก้ปัญหาภาคใต้โดยตรง อาทิ ถาวร เสนเนียม รมช.มหาดไทย ผู้รับผิดชอบศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้(ศอ.บต.) ที่แสดงความคิดเห็นว่า เหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นในภาคใต้ช่วงหลายวันที่ผ่านมา
กลุ่มผู้ก่อเหตุความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ใช้ยุทธศาสตร์ที่รุนแรงมากขึ้น ถึงขั้นไม่สนใจมวลชนในพื้นที่ด้วยการสังหารชาวไทยมุสลิม ณ ศูนย์กลางศาสนา
ทีมข่าวการเมือง ก็เหมือนกับประชาชนคนไทยทุกคน ที่ปวดร้าว เสียใจ กับเหตุรุนแรงในภาคใต้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งพบว่าในช่วงไม่กี่ปีมานี้ หลังเริ่มเกิดเหตุรุนแรงในภาคใต้ในช่วงรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร ได้ทำให้มีผู้เสียชีวิตไปแล้ว 3 พันกว่าคน
ซึ่งทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน ก็ล้วนแต่เป็นคนไทยด้วยกัน จะเป็นประชาชน เจ้าหน้าที่รัฐ ผู้หลงผิดไปร่วมงานกับกลุ่มผู้ก่อการร้าย พระสงฆ์ ผู้นำศาสนา ผู้นำชุมชน ครู พยาบาล เด็กเล็ก
ทุกคน ทุกชีวิตที่บาดเจ็บ เสียชีวิต ทุกหยดเลือด ก็คือเลือดของคนไทย
ที่ไม่สมควรต้องมาสูญเสียไปกับเหตุการณ์ภาคใต้ ซึ่งบัดนี้ได้พัฒนาจากสงครามการต่อสู้ทางความคิดไปสู่สงครามการแบ่งแยกดินแดนนานแล้ว บนการแฝงไว้ด้วยผลประโยชน์อยู่ข้างหลังมากมาย เช่น ยาเสพติด
และเราก็ไม่พอใจ ที่เหตุใดทุกรัฐบาล ทุกนายกรัฐมนตรี จึงยังไม่สามารถแก้ปัญหาไฟใต้นี้ได้เสียที จนทำให้เกิดความสูญเสียมากมาย ไม่ใช่แค่ชีวิตและหยดเลือดของคนไทยด้วยกันโดยเฉพาะประชาชนผู้บริสุทธิ์ ไม่นับกับงบประมาณอีก 1 แสนกว่าล้านบาทที่หลายรัฐบาลทุ่มลงไปในการแก้ปัญหาภาคใต้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ผ่านสารพัดโครงการ หลายเมกะโปรเจกต์และหลายนโยบายทั้งเปิดเผยและงบลับ
เช่น งบหาข่าว งบความมั่นคง ผ่านหน่วยงานต่างๆ เช่น กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) สภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) สำนักข่าวกรองแห่งชาติตำรวจสันติบาล-ตำรวจและทหารในพื้นที่
ทว่า สิ่งที่ได้คือความล้มเหลวในการปฏิบัติหน้าที่ ความหละหลวม ไม่เอาใจใส่อย่างจริงจังในการทำงาน จนทำให้เกิดความสูญเสียอย่างมากมายตามมา
โดยที่เราก็เห็นชัดว่าพวกทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง ที่ส่งไปทำงานในพื้นที่ หาได้รู้สึกรู้สาอะไรไม่ เสมือนกับว่าธุระไม่ใช่ ทำแค่ลูบหน้าปะจมูกก็พอแล้ว
เพราะพวกนี้ลึกๆ อาจคิดและวางแผนในใจมาตลอดว่า
ที่มาอยู่ในพื้นที่ ก็เพื่อมา”เอาตำแหน่ง”เอาประวัติการทำงานให้มีบันทึกความดีความชอบในแฟ้มประวัติการทำงานว่าเคยอยู่ในพื้นที่ภาคใต้ซึ่งมีความเสี่ยงสูง ซึ่งไม่ค่อยมีข้าราชการคนไหนอยากมาอยู่
ทำให้บางคนที่อยู่ในพื้นที่ได้รับการพิจารณาเรื่องการเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งการทำงานเป็นพิเศษจากผู้บังคับบัญชา
แล้วพอสบโอกาสก็เคลื่อนย้ายปรับเปลี่ยนไปที่อื่นเพื่อไปรับตำแหน่งที่ดีกว่า ทั้งที่ตลอดเวลาที่ผ่านมา กลุ่มคนพวกนี้ทั้งทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง เมื่ออยู่ในพื้นที่ก็ไม่ได้ทุ่มเทเอาใจใส่กับการทำงานและแก้ปัญหาภาคใต้อย่างจริงจัง
แต่ทำงานแบบเพลย์เซฟตัวเอง และเพื่อหวังตำแหน่งไปเรื่อยๆ
สุดท้ายคนที่รับกรรม ก็คือ ประชาชนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่มาเจอพวกข้าราชการเกียร์ว่าง ใจเสาะ ไม่ทุ่มเทเอาใจใส่ ในการดำเนินตามยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาภาคใต้ ที่ต้องเข้าใจเข้าถึงแล้วพัฒนา ส่งผลให้ปัญหาภาคใต้ กลายเป็นภารกิจ
“เลี้ยงไข้”
ไปเรื่อยๆในความรู้สึกของประชาชนจำนวนไม่น้อย และนี่เองอาจทำให้เมื่อเกิดเหตุสังหารโหดที่มัสยิดอัลฟุร์กอน จะเกิดสงครามข่าวสารจิตวิทยาการเมืองในพื้นที่ทันทีว่า
เป็นฝีมือเจ้าหน้าที่รัฐ
ซึ่งถือเป็นการสร้างข่าวสารที่ทำลายเครดิตเจ้าหน้าที่รัฐอย่างรุนแรงมาก และแม้จะมีการพยายามปฏิเสธอย่างหนักแน่นจากเจ้าหน้าที่รัฐทุกหน่วย แต่กลับพบว่า ยิ่งปฏิเสธข่าวนี้ก็ยิ่งถูกกระพือมากขึ้น
โดยการเผยแพร่ข่าวสารในพื้นที่ว่า ช่วงนี้อยู่ในช่วงที่กำลังจะมีการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีของหน่วยงานราชการต่างๆ เจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งฝ่ายปกครอง ทหาร ตำรวจ เลยไม่เต็มที่กับการแก้ปัญหา เพราะเมื่อเกิดเหตุบ่อยครั้งและรุนแรง ก็จะเป็นเรื่องปกติที่รัฐบาลคงยอมไม่ได้ ต้องจัดสรรงบประมาณเป็นการด่วนและเป็นงบพิเศษ
อันเป็นการสร้างข่าวซึ่งทำให้เจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งปฏิบัติงานในพื้นที่เสียหายและเสียกำลังใจไม่ใช่น้อย ยกเว้นแต่หากจะมีใครคิดเช่นนี้จริงๆ ก็ถือว่าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ข้าราชการ ที่เลวมากและไม่สมควรอยู่ในตำแหน่งต่อไป
เพราะจะว่าไปความรู้สึกของสังคมส่วนใหญ่ ไม่เชื่อว่าจะมีเจ้าหน้าที่รัฐคนไหน คิดทำร้ายประเทศเช่นนี้เพียงเพื่อหวังผลกับงบประมาณ และการเพิ่มกำลังคนในพื้นที่เพื่อช่วยลดความเสี่ยงให้กับตัวเอง
เพราะหากคิดเช่นนั้น เจ้าหน้าที่รัฐก็ไม่แตกต่างอะไรไปจากโจรก่อการร้ายดีๆ นี่เอง
การออกมายืนกรานเสียงแข็งจากผู้นำกองทัพ ฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายปกครอง ว่าเจ้าหน้าที่รัฐไม่ได้เกียร์ว่าง หรือสร้างสถานการณ์และมีส่วนรู้เห็นกับเหตุการณ์สังหารโหดที่มัสยิดอัลฟุร์กอน เป็นสิ่งที่ฝ่ายรัฐคงต้องเร่งทำ เพื่อไม่ให้ประชาชนในพื้นโดยเฉพาะชาวไทยมุสลิมเกิดความเข้าใจผิด หรือเกลียดชังอำนาจรัฐ
จนเกิดความคับแค้น แต่สิ่งที่ดีกว่านั้นก็คือ ต้องเร่งหาข้อบกพร่อง จุดอ่อน และปัญหาการทำงานว่าที่ผ่านมาได้ทำผิดพลาดตรงไหน มีช่องโหว่อย่างไร ?
เหตุใดการข่าวในพื้นที่จึงไม่ได้รับรายงานล่วงหน้าว่า จะมีการสังหารโหดที่มัสยิดทั้งที่เป็นเรื่องใหญ่คนที่วางแผนต้องมีการเตรียมการมานานพอสมควร แล้วเหตุใดเจ้าหน้าที่รัฐจึงไม่ได้แจ้งเบาะแสดังกล่าว หรือว่าแนวร่วมประชาชนในพื้นที่ไม่ไว้วางใจเจ้าหน้าที่รัฐ ถ้าไม่ไว้ใจก็ต้องหาเหตุผลว่าเพราะเหตุใด หรือเพราะความหวาดกลัวจึงไม่แจ้งเบาะแสก็ควรที่ฝายรัฐต้องปรับกระบวนการทำงานเสียใหม่ เพื่อดึงหัวใจของประชาชนในพื้นที่ให้มาอยู่กับฝ่ายรัฐให้มากที่สุด
และไม่ควรอย่างยิ่งที่ผู้เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาภาคใต้ ที่เสียหน้าไปกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จะแก้หน้าด้วยการ
“โชว์เหนือ”
พูดและแสดงท่าทีกร่างสารพัด เช่นท่าทีของพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม-พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ที่อ้างว่า รู้ความเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ก่อเหตุในภาคใต้มาตลอด มีรายชื่อผู้อยู่เบื้องหลังการก่อเหตุทั้งหมด การอ้างถึงการจัดตั้งอำนาจซ้อนของผู้ก่อเหตุในภาคใต้ใน 217 หมู่บ้าน ที่เป็นหมู่บ้านพื้นที่สีแดง หรือการอ้างว่าที่ผ่านมาการแก้ปัญหาภาคใต้ด้วยการใช้การเมืองนำการทหารมาถูกทางแล้ว
พูดแบบนี้ คนฟังแล้วบอกว่า “เหม็นขี้ฟัน”!
เพราะดีแต่พูดเพื่อไม่ให้ตัวเองเสียหน้า โชว์ภูมิว่าเก่งจริง รู้หมด แต่รู้แล้วทำไมไม่จัดการ ไม่ปราบปรามไม่จับกุม ไม่วางแผนรับมือ ประเภทเกิดเหตุแล้วมาอ้างแบบนี้
มันไม่ใช่วิสัย ชายชาติทหาร
ที่พร้อม “รับผิด”มากกว่า “เอาแต่ความชอบ”
“บิ๊กป๊อก-บิ๊กป้อม”ถ้ามือไม่ถึง ใจไม่สู้ ไม่เข้าใจปัญหาที่แท้จริง ไม่คิดทุ่มเท
ก็เปิดทางทหารอาชีพ มารับไม้แทนจะดีกว่าไหม?