1. ใต้เดือด! บึ้มรถเมล์ ตาย-เจ็บเพียบ ด้านโจรใจบาป ฆ่าได้กระทั่งพระ ขณะที่ชาวมุสลิมถูกกราดยิงคามัสยิด-ดับนับสิบศพ!
ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา นอกจากจะเกิดเหตุรุนแรงหลายครั้งจนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมากแล้ว รูปแบบที่คนร้ายใช้สังหารประชาชนผู้บริสุทธ์ยังถือว่าผิดแผกจากที่ผ่านมา เริ่มด้วยเมื่อวันที่ 7 มิ.ย. คนร้ายไม่ทราบจำนวนใช้รถกระบะเป็นพาหนะ วิ่งผ่านถนนรามโกมุท ผ่านหน้าที่ว่าการอำเภอยี่งอ จ.นราธิวาส แล้วใช้อาวุธสงครามกราดยิงใส่นายมะดารี มูหิ และนายมะกะตา ตะโล๊ะดิง อาสาสมัคร(อส.) อ.ยี่งอ ที่นั่งอยู่ริมถนนข้าง สภ.ยี่งอ บาดเจ็บสาหัส หลังนำตัวผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาล นายมะกะตาทนพิษบาดแผลไม่ไหวเสียชีวิตในเวลาต่อมา ทั้งนี้ หลังเกิดเหตุประมาณ 10 นาที นายฮารง หะยีปีเยาะ ปลัดอำเภอฝ่ายความมั่นคง พร้อมกำลัง อส.และตำรวจได้เข้าตรวจจุดเกิดเหตุ แต่ปรากฏว่า คนร้ายได้กดโทรศัพท์มือถือจุดชนวนระเบิดแสวงเครื่องชนิดแอมโมเนียไนเตรท โดยบรรจุไว้ในถังแก๊สหนัก 30 กก.ซุกไว้ด้านหลังรถกระบะที่จอดไว้หน้าร้านขายยาบริเวณดังกล่าว แรงระเบิดทำให้มีผู้บาดเจ็บ 26 คน และเสียชีวิต 1 คน วันต่อมา(8 มิ.ย.) ขณะที่ ส.อ.กิตติ สุวรรณชาติ หัวหน้าชุดลาดตระเวน สังกัด ร.1114 ชุดเฉพาะกิจนราธิวาส 30 พร้อมกำลังพลรวม 7 นาย ใช้รถกระบะลาดตระเวนล่วงหน้าเพื่อเคลียร์เส้นทางในการดูแลรักษาความปลอดภัยคณะครูในพื้นที่ ต.รือเสาะ จ.นราธิวาส เมื่อมาถึงหมู่ 7 คนร้ายได้จุดชนวนระเบิดแสวงเครื่องที่บรรจุในถังดับเพลิงและฝังไว้ใต้ถนนลูกรัง แรงระเบิดทำให้รถกระบะพังยับเยินและกระเด็นห่างจากหลุมระเบิดประมาณ 10 เมตร หลังจากนั้นคนร้ายยังได้ใช้อาวุธสงครามกราดยิงใส่นายทหารดังกล่าว ส่งผลให้ทหารบาดเจ็บ 6 นาย และเสียชีวิต 1 นาย(ส.อ.กิตติ สุวรรณชาติ) นอกจากนี้ช่วงค่ำวันเดียวกัน(8 มิ.ย.)ได้เกิดเหตุสลดขึ้นอีก โดยคนร้ายได้ใช้อาวุธสงครามกราดยิงเข้าไปในมัสยิดอัลฟุรกอน บ้านไอร์ปาแย หมู่ 8 ต.จวบ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส ส่งผลให้ชาวบ้านที่กำลังละหมาดเสียชีวิต 10 คน และบาดเจ็บ 12 คน หลังเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ได้ลงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อหารือกับ พล.ท.พิเชษฐ์ วิสัยจร แม่ทัพภาคที่ 4 และข้าราชการทุกภาคส่วนในพื้นที่ เพื่อหาแนวทางป้องกันเหตุร้าย ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ตั้งข้อสังเกตว่า เหตุการณ์คนร้ายกราดยิงชาวบ้านในมัสยิด เป็นเหตุการณ์ที่แตกต่างไปจากการก่อความไม่สงบในอดีต จึงเป็นเรื่องไม่ปกติ และว่า จะมีการรายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในการประชุม ครม.เศรษฐกิจภาคใต้ ที่ได้ตั้งขึ้นมาเพื่อดูแลงานพัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ด้านนายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกฯ ฝ่ายการเมือง และปฏิบัติหน้าที่โฆษกรัฐบาล ชี้ ความรุนแรงที่เกิดขึ้น เป็นปฏิกิริยาตอบโต้กลับของกลุ่มแกนนำในพื้นที่ เนื่องจากขณะนี้โครงการพัฒนาต่างๆ ลงไปเกือบเต็มพื้นที่ โดยเฉพาะในหมู่บ้านสีแดง ทำให้ชาวบ้านหันมาให้ความร่วมมือกับรัฐบาลจนสามารถจับกุมแกนนำผู้ก่อเหตุได้หลายคน ทำให้กลุ่มผู้ก่อเหตุไม่พอใจ และโต้กลับ ทั้งนี้ ที่ประชุม ครม.(9 มิ.ย.) ได้อนุมัติงบประมาณเพื่อนำไปใช้ในการแก้ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ 1,477 ล้านบาท ด้านนายอับดุล รอซัค อาลี ประธานคณะกรรมการอิสลามประจำ จ.นราธิวาส ได้ออกมาวิงวอนให้คนร้ายสำนึกผิดและคำนึงถึงความรู้สึกของญาติผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บบ้าง พร้อมขอให้มีการติดตามจับกุมตัวคนร้ายที่กราดยิงชาวบ้านในมัสยิดมาลงโทษโดยเร็ว เพราะเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้เกิดความหวาดระแวงกันเองในกลุ่มพี่น้องชาวไทยพุทธกับชาวไทยมุสลิมแล้ว ขณะที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.พูดถึงสาเหตุที่ทำให้สถานการณ์ภาคใต้รุนแรงขึ้นในระยะนี้ว่า เป็นเพราะภาครัฐทำงานได้ดีมาก และว่า ขณะนี้รัฐได้ใช้กำลังพลทหารและตำรวจรวม 4 หมื่นนายเข้าไปพัฒนาทุกพื้นที่ทุกหมู่บ้าน เพื่อรักษาประชาชน 2.1 ล้านคนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4 อำเภอใน จ.สงขลา ไม่ให้ถูกชักชวนเข้าไปสู่ขบวนการ “เราไม่ได้ตั้งเป้าทำให้เหตุร้ายยุติไปเท่านั้น แต่จุดใหญ่ของภารกิจเราคือ การรักษา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ไว้ไม่ให้ถูกแยกดินแดนออกไปตามความมุ่งหมายของเขา การจะทำเช่นนั้นได้ต้องทำให้คน 2 ล้านคนเข้าใจเรา” ด้านคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย หลังจากหารือกับสำนักงานจุฬาราชมนตรีเมื่อวันที่ 9 มิ.ย. ได้ออกแถลงการณ์ประณามเหตุการณ์คนร้ายกราดยิงชาวบ้านในมัสยิด พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นการสร้างสถานการณ์แน่นอน “ผู้ก่อเหตุไม่ใช่มุสลิม และไม่ใช่ประเด็นเรื่องศาสนา แต่มีฝ่ายที่นำจุดแข็งของศาสนาอิสลามในเรื่องศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้ามาหวังปลุกปั่นให้มุสลิมเข้าใจว่าเป็นฝีมือของทหาร และเชื่อว่า ไม่ใช่ฝีมือของมุสลิม เป็นพวกไม่มีศาสนา แม้ในกลุ่มประเทศตะวันออกกลางก็ยังไม่มีกรณีที่ผู้ก่อการร้ายทำร้ายมัสยิด จึงเป็นการสร้างสถานการณ์แน่นอน” ขณะที่คณะกรรมการรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน(ครส.)ได้ออกจดหมายเปิดผนึกเรียกร้องให้รัฐบาลตั้งคณะกรรมการอิสระขึ้นมาตรวจสอบกรณีฆาตกรรมหมู่ชาวบ้านที่มัสยิด พร้อมขอให้ปฏิรูปการทำงานของกองทัพในพื้นที่ ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ได้เรียกประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีพัฒนาพื้นที่พิเศษ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้(รชต.)หรือ ครม.ภาคใต้ เมื่อวันที่ 11 มิ.ย. โดยนายอภิสิทธิ์ได้สั่งการให้ระดับปฏิบัติเร่งหาตัวผู้ก่อความไม่สงบมาลงโทษโดยเร็ว โดยเฉพาะเหตุการณ์ในมัสยิด นอกจากนี้ที่ประชุม ครม.ภาคใต้ ยังได้พิจารณาแผนพัฒนาพื้นที่เฉพาะกิจ 5 จังหวัดภาคใต้ โดยมีโครงการทั้งหมด 300 โครงการ ภายใต้งบประมาณ 5.4 หมื่นล้านบาท โดยจะดำเนินการในปี 2553-2555 รวมทั้งอนุมัติให้เพิ่มกำลังอาสาสมัครเพื่อรักษาความปลอดภัยในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้อีก 1,440 อัตรา โดยใช้งบกลางปี 2552 จำนวน 400 ล้านบาท โดยจะส่งกำลังดังกล่าวไปอยู่ในย่านชุมชน โดยเฉพาะพื้นที่ที่ต้องทำความเข้าใจกับประชาชน ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ พูดถึงการประชุม ครม.ภาคใต้ว่า ได้มีการหารือถึงการปรับแผนการแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยจะดำเนินการ 2 อย่างควบคู่กัน 1.การเร่งรัดพัฒนาพื้นที 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ 2.การดูแลความปลอดภัย โดยตนเป็นผู้กำกับดูแลทั้ง 2 ส่วน และให้นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยมหาดไทย ลงไปอยู่ในพื้นที่ตลอดเวลา ทั้งนี้ แม้หลายฝ่ายจะรุมประณามการกระทำของผู้ก่อความไม่สงบในภาคใต้ แต่โจรใต้ก็ยังก่อเหตุรายวัน โดยเมื่อวานนี้(12 มิ.ย.) คนร้ายได้ใช้อาวุธสงครามยิงพระขณะออกบิณฑบาต จนมรณภาพ 1 รูป และบาดเจ็บสาหัส 1 รูป เหตุเกิดขณะพระสมบัติ ศรีสุวรรณวิเชียร และพระครูธวัชชัย ไชยหมาน ออกบิณฑบาตมาตามถนนสายท่าสาบ-ดอนยาง ต.ยุโป อ.เมืองยะลา ปรากฏว่า ได้ถูกคนร้าย 2 คนขี่จักรยานยนต์เข้าประกบและใช้อาวุธปืนอาก้ายิงใส่ ทั้งนี้ พระสมบัติถูกกระสุนเข้าที่กลางหลังหลายนัดจนมรณภาพ ขณะที่พระครูธวัชชัยถูกยิงที่สีข้างได้รับบาดเจ็บสาหัส ด้านนางจุฬารัตน์ บุณยากร ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) ได้ออกประกาศเตือนไปยังเจ้าอาวาสทุกวัดในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้ระมัดระวังความปลอดภัยระหว่างบิณฑบาตมากขึ้น หากเห็นว่าพื้นที่ไหนไม่ปลอดภัย ควรงดออกบิณฑบาต โดย พศ.จะนำข้าวสารอาหารแห้งไปถวาย และอยากให้พุทธศาสนิกชนช่วยนำอาหารไปถวายที่วัดแทน แต่วัดไหนที่เห็นว่ายังออกบิณฑบาตได้ ให้แจ้งกับอาสาสมัครรักษาหมู่บ้าน เพื่อดูแลความปลอดภัยให้แก่พระด้วย ด้านพระครูปลัดสุวัฒนจริยคุณ เลขาธิการองค์กรชาวพุทธแห่งประเทศไทย บอกว่า องค์กรชาวพุทธทั่วประเทศจะประชุมร่วมกัน เพื่อยื่นข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลให้เพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยให้พระในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้ในวันที่ 14 มิ.ย.นี้ ที่วัดราชาธิวาส เพราะจากการลงพื้นที่ที่ผ่านมา พบว่า ภาครัฐยังไม่ค่อยให้ความสำคัญกับการรักษาความปลอดภัยให้พระเท่าที่ควร และล่าสุด วันนี้(13 มิ.ย.เวลา 12.00 เศษ) คนร้าย 2 คน ซึ่งใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะ ได้ขว้างระเบิดลูกเกลี้ยงเข้าใส่รถโดยสารประจำทางสายบ้านนิคมกือลอง-นครยะลา ขณะกำลังมุ่งหน้าจะเดินทางออกจากเขตเทศบาลนครยะลา เพื่อกลับไปยังนิคมกือลอง อ.บันนังสตา แรงระเบิดส่งผลให้ผู้โดยสารที่นั่งมาทั้งหมด 15 ราย เสียชีวิต 1 ราย และบาดเจ็บ 14 ราย โดยผู้เสียชีวิต คือ นางเสาวนิตย์ เสมาพัฒน์ ทั้งนี้ ในที่เกิดเหตุ พบใบปลิวเขียนด้วยหมึกสีแดงว่า “มึงฆ่าผู้บริสุทธิ์ที่หมู่บ้านไอปาร์แย กูฆ่าผู้บริสุทธิ์ของมึง” ซึ่งเบื้องต้นเจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่า เป็นฝีมือของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบที่ต้องการสร้างสถานการณ์ และต้องการสร้างความแตกแยกระหว่างคนไทยพุทธและมุสลิม
2. “เพื่อไทย-ภูมิใจไทย”ซัดกันนัว ต่างฝ่ายต่างยื่นให้ยุบพรรค ด้าน “ทักษิณ”โฟนอิน ส.ส.ไม่ต้องห่วงเรื่องทุน!
การนำรัฐมนตรีและ ส.ส.ของพรรคภูมิใจไทยลงพื้นที่ จ.สกลนคร เพื่อจัดสัมมนาและจัดกิจกรรมกับประชาชนของนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค และรัฐมนตรีมหาดไทย โดยมีนายเนวิน ชิดชอบ แกนนำกลุ่มเพื่อนเนวิน(ที่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปีจากกรณียุบพรรคไทยรักไทย) คอยกำกับดูแลอย่างใกล้ชิดระหว่างวันที่ 5-7 มิ.ย.ที่ผ่านมา ที่ ต.หนองไผ่ อ.พรรณานิคม ไม่เพียงถูกหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า การกระทำของพรรคภูมิใจไทยและนายเนวินส่อขัดคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญที่ห้ามผู้ถูกตัดสิทธิทางการเมืองจากกรณียุบพรรค เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมืองหรือไม่ แต่ยังสร้างความกังขาด้วยว่า การลงพื้นที่หาเสียงของแกนนำและรัฐมนตรีพรรคภูมิใจไทยที่ จ.สกลนครครั้งนี้ ถือว่าผิดกฎหมายเลือกตั้งหรือไม่ และส่อซื้อเสียงหรือไม่ เพราะพื้นที่ดังกล่าวอยู่ใกล้กับเขตเลือกตั้งซ่อม ส.ส.สกลนคร เขต 3 ที่จะมีการเลือกตั้งในวันที่ 21 มิ.ย.นี้ แถมนายชวรัตน์ ยังได้แจกเงินให้ชาวบ้านคนหนึ่ง 2,000 บาท ซึ่งนายชวรัตน์ อ้างว่า การให้เงินหญิงพิการดังกล่าว ไม่ได้เป็นการซื้อเสียง เพราะไม่ได้อยู่ในเขตเลือกตั้งซ่อม เป็นที่น่าสังเกตว่า แม้นายชวรัตน์จะยืนยัน(8 มิ.ย.)ว่า การลงพื้นที่ จ.สกลนครของพรรคภูมิใจไทยครั้งนี้ ไม่ได้หวังผลถึงการเลือกตั้งซ่อมที่สกลนคร(ที่เป็นการแข่งขันระหว่างผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคภูมิใจไทยกับพรรคเพื่อไทย) แต่นายชวรัตน์ ก็ยอมรับเองว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้น่าจะส่งผลต่อการเลือกตั้งซ่อม “เราไม่ได้หวังผลถึงการเลือกตั้งซ่อมที่สกลนคร เพราะพื้นที่ที่ไปสัมมนา ก็เป็นคนละเขตเลือกตั้งที่จะเลือกตั้งซ่อม แต่เชื่อว่าคงมีผลบ้าง เพราะคนในพื้นที่ก็รับทราบจากสื่อว่าเราไปทำอะไรกัน” ขณะที่นายเนวิน ชิดชอบ ไม่เพียงแสดงบทบาทเสมือนหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย แต่ยังส่งสัญญาณแทรกแซงชี้นำให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.) นำงบมาดำเนินโครงการที่เป็นนโยบายของพรรคภูมิใจไทยด้วย “โครงการต่างๆ ที่ได้มีการสรุปเพื่อจัดทำเป็นนโยบายของพรรค(ภูมิใจไทย)นั้น สามารถที่จะปฏิบัติได้ทันที โดยไม่ต้องนำเข้าที่ประชุม ครม. เพราะ อปท.สามารถทำได้เลย หากเห็นว่าเป็นโครงการที่ดี โดยการใช้งบประมาณของแต่ละท้องถิ่น หากงบประมาณไม่พอ ก็สามารถขอไปยังกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น(สถ.)ได้ เพราะเรื่องนี้หากประชาชนมีความต้องการ แล้วท้องถิ่นไม่ดำเนินการ จะมีผลกระทบในการเลือกตั้งครั้งต่อไป” ด้านโฆษกพรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ ได้ยื่นหนังสือให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ตรวจสอบการลงพื้นที่หาเสียงของพรรคภูมิใจไทยที่สกลนคร เพราะอยู่ติดกับเขตที่จะมีการเลือกตั้งซ่อม และมีการแจกเงินให้ประชาชนในพื้นที่ จึงอาจเข้าข่ายขัดต่อกฎหมายเลือกตั้ง และขัด รธน.มาตรา 237 อาจถูกยุบพรรคได้ พร้อมให้ กกต.ตรวจสอบการกระทำของนายเนวินว่าขัดกฎหมายและต้องดำเนินคดีอาญาหรือไม่ ซึ่ง กกต.ได้มีมติ(10 มิ.ย.)ให้ตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาตรวจสอบเรื่องดังกล่าวแล้ว โดยให้เวลา 10 วัน ด้านแกนนำพรรคภูมิใจไทยไม่พอใจที่พรรคเพื่อไทยยื่นเรื่องให้ กกต.สอบพรรคตน จึงเอาคืนด้วยการยื่นหนังสือต่อ กกต.เช่นกัน โดยขอให้ กกต.ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญเพื่อยุบพรรคเพื่อไทย ฐานใส่ร้ายพรรคภูมิใจไทยให้ได้รับความเสียหาย รวมทั้งขอให้ กกต.เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้สมัคร ส.ส.สกลนคร เขต 3 พรรคเพื่อไทยด้วย คือ นางนุรักษ์ บุญศล ซึ่ง กกต.ได้มีมติให้อนุกรรมการวินิจฉัยข้อโต้แย้งตรวจสอบข้อเท็จจริงให้แล้วเสร็จใน 10 วันเช่นกัน ด้าน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน และประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย ได้ออกมาแฉว่า มีการให้สินบนกำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน และ อบต.ก่อนการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.ที่ จ.สกลนคร และศรีสะเกษ “เมื่อมีเสียงนกหวีดดังขึ้น ผู้ใหญ่ของฝ่ายปกครองก็ทำตัวเอนเอียงทันที พอเป่านกหวีดอีกปี๊ดก็กำนัน 5 ผู้ใหญ่บ้าน 3 มีการตั้งสินบาทคาดสินบนว่า อบต.ไหนชนะ จะจัด 5 ล้านบาทให้ อบต.นั้น” ร.ต.อ.เฉลิม ยังกล่าวระหว่างช่วยผู้สมัครของพรรคหาเสียงเลือกตั้งซ่อมที่ จ.ศรีสะเกษ(10 มิ.ย.) โดยนอกจากจะชูนโยบายนำ พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาแล้ว ตนยังจะขอเป็นนายกฯ 6 เดือนด้วย “หากคนศรีสะเกษเลือกพรรคเพื่อไทยเข้าไปเป็น ส.ส. จะมีโอกาสได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง ถึงวันนั้นผมขอเป็นนายกรัฐมนตรี 6 เดือน เพื่อแก้กฎหมายและสางคดีความต่างๆ ที่คั่งค้างมาตั้งแต่ปี 2549 จนถึงปัจจุบันให้แล้วเสร็จ จากนั้นจะเชิญ พ.ต.ท.ทักษิณกลับบ้านมาแก้ปัญหาเศรษฐกิจ” ร.ต.อ.เฉลิม ยังปฏิเสธกรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์พรรคเพื่อไทยว่าเป็นผีหัวขาด เพราะหาหัวหน้าพรรคไม่ได้ โดยยืนยันว่า หัวหน้าพรรคเพื่อไทยตัวจริง ก็คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร “ที่สื่อไปวิเคราะห์กันว่าเป็นผีหัวขาดไม่มีหัวนั้น มันไม่ได้หัวขาด เพราะหัวหน้าพรรคตัวจริงอยู่ที่ดูไบ ยังคิดนโยบายแก้เศรษฐกิจมาให้เสร็จเรียบร้อยตั้ง 5 ข้อ” ทั้งนี้ มีรายงานข่าวจากแกนนำพรรคเพื่อไทยว่า ระหว่างประชุม ส.ส.ของพรรคที่อาคารบีบีดี บิ้วดิ้ง เมื่อวันที่ 11 มิ.ย. พ.ต.ท.ทักษิณ ได้โทรศัพท์จากต่างประเทศมายังโทรศัพท์ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ จากนั้นได้มีการเปิดสปีคเกอร์โฟนและจ่อไมโครโฟนเพื่อให้ พ.ต.ท.ทักษิณได้พูดคุยกับ ส.ส.ของพรรคนานประมาณ 30 นาที โดยนอกจาก พ.ต.ท.ทักษิณจะปักธงว่าพรรคเพื่อไทยต้องชนะการเลือกตั้งครั้งหน้าแล้ว เขายังได้ให้ความมั่นใจกับ ส.ส.ของพรรคด้วยว่าตนพร้อมจะสนับสนุนเรื่องทุน “อย่าไปตกใจที่มีคนมาแหย่ว่า พรรคนู้นมีเงินเยอะ มันเป็นเรื่องธรรมดาของการเมือง ...ขอให้ใจคอหนักแน่นกัน เรื่องทุนไม่ต้องเป็นห่วง เราปักธงชนะแน่ในการเลือกตั้งครั้งหน้า อีสานเอาเราไม่ลงหรอก เพราะวันนี้นโยบายทุกอย่างได้คิดไว้หมดแล้ว” เป็นที่น่าสังเกตว่า ไม่เพียง พ.ต.ท.ทักษิณ จะพูดปลุกใจ ส.ส.ของพรรค แต่เขายังลงทุนถึงขนาดโทรล็อบบี้กำนันผู้ใหญ่บ้านในเขตเลือกตั้งซ่อม ส.ส.สกลนครให้เลือก ส.ส.พรรคเพื่อไทยด้วย โดย พ.ต.ท.ทักษิณ บอกกับ ส.ส.ของพรรคว่า “เราชนะแน่ถ้าไม่ถูกโกง วันนี้ผมโทร.หากำนัน ผู้ใหญ่บ้านที่ จ.สกลนคร หมดแล้ว เขาก็ดีใจ และบอกว่า ยังอยู่กับเรา แล้วจะช่วยเราเต็มที่ ไม่ต้องกลัว” นอกจากโทรศัพท์มาพูดคุยกับ ส.ส.พรรคเพื่อไทยแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณยังได้ให้คนใกล้ชิดนำรูปถ่ายของตนขนาด 6 คูณ 12 นิ้ว มามอบให้ ส.ส.ภาคอีสานคนละ 5 ใบ เพื่อให้ ส.ส.นำไปอัดแจกให้ประชาชนในพื้นที่ภาคอีสานด้วย โดยในรูปมีลายมือของ พ.ต.ท.ทักษิณที่เขียนถึงพี่น้องประชาชนด้วยว่า “ภาพนี้ผมยิ้มได้เต็มใบหน้า เพราะทราบว่าพี่น้องชาวอีสานยังรักและคิดถึงผม ผมรัก คิดถึงและเป็นห่วงพี่น้องทุกๆ คนครับ ด้วยความเคารพรัก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร 23 พ.ค.2552” ทั้งนี้ นอกจากการโฟนอินมายัง ส.ส.ของพรรคเพื่อไทยแล้ว ยังมีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจเกี่ยวกับ พ.ต.ท.ทักษิณอีก คือ กรณีที่ประเทศเยอรมณีขึ้นแบล็กลิสต์ห้าม พ.ต.ท.ทักษิณเข้าประเทศ พร้อมถอนใบอนุญาตการมีถิ่นพำนักในประเทศเยอรมณี หลังทราบว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้เข้าเยอรมณีตั้งแต่เมื่อปลายปี 2551 และได้รับอนุญาตให้มีถิ่นพำนักในเยอรมณีจากรัฐบาลท้องถิ่นเมืองบอนน์ นอกจากถูกประเทศเยอรมณีขึ้นแบล็กลิสต์แล้ว ในส่วนของไทยเอง ก็มีสัญญาณว่า อาจมีการพิจารณาถอดยศและยึดคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณในเร็วๆ นี้ด้วย เนื่องจากเริ่มมีข่าวการถอดยศนายทหารบางรายที่กระทำผิดแล้ว โดยเมื่อวันที่ 11 มิ.ย.ได้มีประกาศสำนักนายกฯ เรื่อง พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ถอดยศและเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์จากนายทหาร 4 นาย โดย 1 ใน 4 นายได้กระทำผิดทางอาญา และศาลได้พิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก ซึ่งถือว่ามีลักษณะเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสินจำคุก 2 ปีในคดีซื้อที่รัชดาฯ
3. เช่ารถเมล์ฉาว บานปลาย “กมธ.ป.ป.ช.”เล็งยื่นนายกฯ ปลด “ปธ.บอร์ด ขสมก.” ด้าน “โสภณ”รีบขวาง!
ความคืบหน้ากรณีที่หลายภาคส่วนในสังคมได้ออกมาคัดค้านโครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4 พันคัน มูลค่าเกือบ 7 หมื่นล้านบาท เนื่องจากส่อทุจริตอย่างชัดเจน ขณะที่มีข่าวว่า แกนนำพรรคภูมิใจไทยขู่ว่า หาก ครม.ไม่ผ่านโครงการนี้ จะถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล ด้านที่ประชุม ครม.เมื่อวันที่ 3 มิ.ย.ยังไม่กล้าอนุมัติโครงการดังกล่าว โดยให้คณะกรรมการสำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(บอร์ด สศช.)ไปศึกษาว่า ควรใช้วิธีซื้อหรือเช่ารถ 4 พันคันดังกล่าว จึงจะคุ้มกว่ากัน โดยให้เวลาศึกษา 1 เดือนนั้น ปรากฏว่า ที่ประชุมบอร์ด สศช.ได้รับทราบและมีมติให้รับศึกษาเรื่องดังกล่าวแล้วเมื่อวันที่ 8 มิ.ย. นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการ สศช.เผยว่า นอกจากประเด็นเรื่องซื้อหรือเช่าคุ้มกว่ากันแล้ว บอร์ดฯ ยังจะศึกษาประเด็นอื่นเพิ่มเติมด้วย เช่น จำนวนรถเมล์ 4 พันคันในโครงการนี้ เป็นจำนวนที่เหมาะสมหรือไม่ เพราะปัจจุบันมีรถของเอกชนให้บริการอยู่จำนวนมาก ,การจัดเส้นทางรถเมล์ 145 เส้นทาง มีความสอดคล้องกับความต้องการของประชาชนหรือไม่ ,ตั๋วรถเมล์ที่กำหนดไว้ 30 บาทต่อวัน จะมีประชาชนมาใช้บริการเท่าไร เนื่องจากช่วง 3-5 ปีข้างหน้าจะมีรถไฟฟ้าหลายเส้นทางให้บริการด้วย จึงไม่แน่ใจว่า เมื่อถึงเวลานั้นรายได้ที่แท้จริงของ ขสมก.จะอยู่ที่เท่าไร นอกจากนี้ บอร์ด สศช.จะวิเคราะห์ความเสี่ยงอื่นๆ ด้วย เช่น ค่าซ่อมรถเมล์ จะใช้วิธีหารค่าเฉลี่ย 10 ปีไม่ได้ แต่ต้องวิเคราะห์เป็นรายปีว่า ปีที่ 1 ค่าซ่อมเท่าไร ปีที่ 2 เท่าไร ไปจนถึง 10 ปีข้างหน้า และต้องดูด้วยว่า เมื่อใช้รถเมล์ 5 ปีแล้ว ค่าซ่อมในปีที่ 6-10 เมื่อเทียบกับการจัดหารถเมล์ใหม่มาใช้แทน แบบไหนจะคุ้มค่ากว่ากัน ฯลฯ เป็นที่น่าสังเกตว่า ความไม่ชอบพากลของโครงการเช่ารถเมล์ 4 พันคันที่ผลักดันโดยนายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีคมนาคมจากพรรคภูมิใจไทย ได้ถูกหลายภาคส่วนช่วยกันตรวจสอบและแฉประเด็นใหม่ๆ ให้สาธารณชนได้เห็นเป็นระยะๆ เช่น ในส่วนของสมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.) นอกจากคณะกรรมาธิการสามัญประจำวุฒิสภา 5 คณะ จะแบ่งงานกันตรวจสอบความไม่ชอบพากลของโครงการเช่ารถเมล์แล้ว น.ส.รสนา โตสิตระกูล ส.ว.กทม.และประธานกรรมาธิการศึกษา ตรวจสอบเรื่องการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล ยังได้ออกมาแฉว่า การจัดทำทีโออาร์โครงการเช่ารถเมล์ 4 พันคันยังไม่ผ่านความเห็นชอบของสำนักงานอัยการสูงสุด แต่กลับมีการนำเสนอ ครม.แล้ว แถมยังมีหลายประเด็นที่ทำให้รัฐเสียประโยชน์ เช่น การเสียค่าปรับ หากบริษัทเอกชนส่งมอบรถให้รัฐไม่เป็นไปตามสัญญา จะถูกปรับแค่ 11.90 บาทต่อวัน ซึ่งถือว่าน้อยมาก ขณะที่ค่าประกันภัยรถ กลับรวมอยู่ในค่าเช่ารถที่รัฐต้องเป็นผู้รับภาระ ทั้งที่ควรเป็นของบริษัทเอกชน ฯลฯ ขณะที่นายแก้วสรร อติโพธิ อดีต ส.ว.กทม.และอดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) ก็ชี้ว่า โครงการเช่ารถเมล์ 4 พันคัน มีทั้งความไม่สมเหตุสมผลและมีกลิ่นคาวคอร์รัปชั่น ความไม่สมเหตุสมผลก็คือ ในเมื่อ ขสมก.ไม่มีเงินทุน แล้วทำไมจึงไม่ให้เอกชนรับสัมปทานไปดำเนินการแทน แถมตัวเลขค่าเช่าแบบตายตัวตลอด 10 ปี ยังเป็นตัวเลขที่เลื่อนลอยและอันตรายมาก ส่วนกลิ่นคาวคอร์รัปชั่นของโครงการนี้ก็คือ ทำไมจึงมีการเปลี่ยนแปลงโครงการจากเดิมที่เป็นแค่เรื่องการเปลี่ยนเชื้อเพลิงรถ ขสมก.2 พันคัน มาเป็นการปฏิรูปรถเมล์ทั้งระบบ กระทั่งมาเป็นการเช่ารถเมล์ 6 พันคัน พอถูกต่อรองก็ลดเหลือ 4 พันคันได้ สะท้อนถึงความไม่ชอบมาพากลและไม่คงเส้นคงวา ด้านแกนนำพรรคภูมิใจไทย ไม่ฟังเสียงคัดค้านจากใคร เร่งเดินเครื่องประชาสัมพันธ์โครงการนี้เต็มที่ โดยนอกจากโฆษณาลงสื่อสิ่งพิมพ์แล้ว ยังขึ้นป้ายคัตเอ๊าท์ว่าโครงการนี้เป็นผลงานของพรรคภูมิใจไทยด้วย และไม่ได้ใช้งบของพรรคฯ ในการโฆษณาเท่านั้น แต่ยังใช้งบของ ขสมก.ด้วย 3 ล้านบาท พร้อมกันนี้ยังได้พิมพ์เอกสารแจกแจงข้อดีของโครงการให้ประชาชนทราบอีกนับล้านฉบับ นับเป็นการโหมโฆษณาก่อนที่นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีคมนาคมจากพรรคภูมิใจไทย จะจัดประชาพิจารณ์โครงการเช่ารถเมล์ 4 พันคันในเร็วๆ นี้ นอกจากนี้ นายเนวิน ชิดชอบ แกนนำกลุ่มเพื่อนเนวิน ที่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี ยังได้สั่งตั้งรองโฆษกพรรคภูมิใจไทย น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี ให้เป็น “โฆษกเรื่องรถเมล์” เพื่อทำหน้าที่ชี้แจงตอบโต้ผู้ที่คัดค้านโครงการนี้ด้วย ซึ่ง น.ส.ศุภมาส เป็นผู้เผยเรื่องนี้เองเมื่อวันที่ 9 มิ.ย.ว่า ได้รับมอบหมายจากนายเนวิน ชิดชอบ ให้เป็นโฆษกเรื่องรถเมล์ พร้อมกันนี้ น.ส.ศุภมาส ยังได้ถือโอกาสอ้อนคน กทม.พร้อมเหน็บแนมพรรคประชาธิปัตย์ “ขอวิงวอนคนกรุงเทพฯ ว่า ก่อนจะคิดว่าพรรคภูมิใจไทยโกง ขอให้ช่วยคิดว่า อยากให้มีการปรับปรุงการบริการ ขสมก.หรือไม่ และการที่พรรคประชาธิปัตย์คัดค้านเรื่องนี้นั้น อยากถามว่า กลัวว่าพรรคภูมิใจไทยจะได้ฐานเสียงใน กทม.ใช่หรือไม่ ..ดังนั้นการออกมาคัดค้านจึงเป็นเรื่องการเมืองทั้งสิ้น...” เป็นที่น่าสังเกตว่า ปัญหาโครงการเช่ารถเมล์ 4 พันคัน ไม่เพียงส่อทุจริต แต่ล่าสุด ผู้ที่ถูกระบุว่ามีส่วนร่วมทุจริตในโครงการนี้ ได้ลุกขึ้นมาฟ้องศาลให้ดำเนินคดีผู้ที่พยายามตรวจสอบโครงการนี้ด้วย โดยผู้ที่ไม่ยอมรับว่ามีส่วนร่วมทุจริตในโครงการเช่ารถเมล์ 4 พันคันก็คือ นายปิยะพันธ์ จัมปาสุต ประธานบอร์ด ขสมก.ซึ่งได้ฟ้องต่อศาลอาญา(10 มิ.ย.)ว่า นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ส.ส.นครนายก พรรคประชาธิปัตย์ และรองประธานคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) สภาผู้แทนราษฎร หมิ่นประมาทตนด้วยการแถลงข่าวกล่าวหาว่าตนมีส่วนร่วมทุจริตโครงการเช่ารถเมล์ 4 พันคัน ทั้งนี้ นายปิยะพันธ์ อ้างว่า โครงการดังกล่าวอยู่ระหว่างรอ ครม.อนุมัติ จึงยังไม่มีการทุจริตแต่อย่างใด ด้านนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ยืนยันว่า สิ่งที่ตนพูดเป็นไปตามเอกสารหลักฐาน และว่า การถูกฟ้องเป็นเรื่องดี เพราะจะได้เล่าความจริงให้ศาลฟัง นายชาญชัย ยังชี้ด้วยว่า การที่โครงการเช่ารถเมล์ถูก ครม.ตีกลับหลายรอบ กระทั่งมีการลดราคาค่าเช่ารถลงได้ 5 พันล้านนั้น ส่อว่ามีการทุจริตในโครงการนี้ ดังนั้น หากพบว่า บอร์ด ขสมก.เป็นผู้อนุมัติโครงการดังกล่าวเข้าที่ประชุม ครม. ประธานบอร์ดฯ ก็ต้องรับผิดชอบ ซึ่งกรรมาธิการ ป.ป.ช.ของสภาฯ สามารถส่งเรื่องให้ ป.ป.ช.ดำเนินคดีได้ อย่างไรก็ตาม แม้กรรมาธิการ ป.ป.ช.ของสภาฯ จะยังไม่ได้ส่งเรื่องนี้ให้ ป.ป.ช.ดำเนินคดี แต่ทางคณะกรรมการ ป.ป.ช.ก็ได้มีมติหยิบยกปัญหาโครงการเช่ารถเมล์ 4 พันคันขึ้นมาตรวจสอบแล้ว เนื่องจากกฎหมาย ป.ป.ช.ให้อำนาจดำเนินการได้ เพื่อป้องกันการทุจริต โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช.มอบหมายให้นายเมธี ครองแก้ว กรรมการ ป.ป.ช.เป็นประธานศึกษาข้อเท็จจริงโครงการดังกล่าว ด้านนายวิลาศ จันทรพิทักษ์ ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ และประธานคณะกรรมาธิการ ป.ป.ช. สภาผู้แทนราษฎร พูดถึงกรณีที่นายปิยะพันธ์ไม่ยอมเข้าชี้แจงเรื่องโครงการเช่ารถเมล์ 4 พันคันต่อกรรมธิการว่า นายปิยะพันธ์อ้างว่าติดภารกิจบันทึกเทปโทรทัศน์ ทั้งที่กรรมาธิการได้ทำหนังสือเชิญไว้ล่วงหน้า ดังนั้น พฤติกรรมของนายปิยะพันธ์ถือว่าไม่สุจริต แต่กรรมาธิการจะให้โอกาสอีกครั้ง หากนายปิยะพันธ์ยังไม่ยอมเข้าชี้แจงในวันที่ 16 มิ.ย.นี้ กรรมาธิการฯ จะมีมติร่วมกันว่า จะทำหนังสือถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ให้พิจารณาว่า นายปิยะพันธ์ยังมีความเหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งประธานบอร์ด ขสมก.ต่อไปหรือไม่ ด้านนายปิยะพันธ์ ไม่สน โดยยืนยันว่า จะไม่ไปชี้แจงกรรมาธิการ ป.ป.ช.ในวันที่ 16 มิ.ย. เพราะติดธุระถ่ายทำรายการ “อร่อยร้อยเส้นทาง”ที่นัดหมายไว้ล่วงหน้ากับทีมงานแล้ว นายปิยะพันธ์ ยังไม่ห่วงด้วยว่าจะถูกปลดจากประธานบอร์ด ขสมก.หรือไม่ โดยบอกว่าเคยขอลาออกแล้ว แต่นายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีคมนาคมไม่อนุมัติ “ที่ผ่านมา เคยยื่นหนังสือลาออกจาประธานบอร์ด ขสมก.กับนายโสภณแล้ว เนื่องจากเหนื่อยที่ต้องเป็นประธานบอร์ดอีก 2 แห่ง คือ บริษัท ท่าอากาศยานไทย หรือ ทอท.และบริษัท ขนส่ง จำกัด(บขส.) แต่นายโสภณไม่อนุมัติ โดยบอกว่าอยากให้ช่วยงานก่อน เพราะโครงการเช่ารถเมล์ 4 พันคันเป็นโครงการที่เป็นประโยชน์กับประชาชนมาก แต่ยังมีหลายฝ่ายไม่เข้าใจ” ด้านนายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีคมนาคม รีบออกมาปกป้องนายปิยะพันธ์ โดยยืนยันว่า การที่นายปิยะพันธ์ไม่เข้าชี้แจงต่อกรรมาธิการ ป.ป.ช.ไม่เป็นเหตุผลเพียงพอที่จะปลดนายปิยะพันธ์พ้นตำแหน่งประธานบอร์ด ขสมก. เพราะนายปิยะพันธ์ติดภารกิจ และได้ส่งตัวแทนไปชี้แจงแทนแล้ว
4. “ฮู” ยกระดับเตือนภัยไข้หวัดใหญ่ 2009 ขั้นสูงสุด ขณะที่ “ไทย”ยอดผู้ป่วยทะลุ 100 รายแล้ว!
หลังกระทรวงสาธารณสุข แถลงยืนยันพบผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 รวมทั้งหมด 8 รายเมื่อวันที่ 4 มิ.ย. ปรากฏว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา ตัวเลขผู้ป่วยยังคงพุ่งไม่หยุด จนล่าสุดทะลุ 100 รายแล้ว เริ่มจากเมื่อวันที่ 7 มิ.ย.พบผู้ป่วยรายที่ 9 เป็นนักธุรกิจชายไทย อายุ 29 ปี ติดเชื้อจากสหรัฐฯ วันต่อมา(8 มิ.ย.) พบผู้ป่วยรายที่ 10 เป็นชายไทย อายุ 20 ปี ติดเชื้อจากสหรัฐฯ เช่นกัน จากนั้นวันที่ 9 มิ.ย. กระทรวงสาธารณสุข พบผู้ป่วยเพิ่มอีก 3 ราย ติดเชื้อจากสหรัฐฯ วันเดียวกัน นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีสาธารณสุข เผยว่า ได้รับรายงานว่า มีชาวไต้หวัน 2 คนเดินทางมาท่องเที่ยวเมืองไทย เมื่อกลับไปพบว่าป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ 2009 คาดว่าได้รับเชื้อที่พัทยา จ.ชลบุรี จึงสั่งการให้ทีมสอบสวนโรคเคลื่อนที่เร็วลงไปตรวจสอบแล้ว วันต่อมา(10 มิ.ย.) กระทรวงสาธารณสุข พบคนไทยป่วยด้วยโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 เพิ่มอีก 3 ราย รวมเป็น 16 ราย โดยรายที่ 16 เป็นเด็กชายอายุ 11 ขวบ เรียนอยู่ชั้น ป.6 โรงเรียนเซนต์คาเบรียล ไม่มีประวัติเดินทางไปต่างประเทศ จึงเป็นผู้ป่วยคนไทยที่ติดเชื้อในประเทศรายที่ 2 ทั้งนี้ หลังพบนักเรียนดังกล่าวติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ 2009 ผู้บริหารโรงเรียนเซนต์คาเบรียลจึงได้สั่งปิดการเรียนการสอนจำนวน 3 ห้องเรียน คือห้องที่เด็กรายดังกล่าวป่วย รวมทั้งห้องข้างเคียงอีก 2 ห้องที่ทราบว่ามีเด็กขาดเรียนเพราะป่วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม วันต่อมา(11 มิ.ย.) พบว่ามีนักเรียนโรงเรียนเซนต์คาเบรียลป่วยด้วยโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 เพิ่มอีก 4 ราย ทางผู้บริหารโรงเรียน จึงได้สั่งปิดการเรียนการสอนทั้งโรงเรียนเป็นเวลา 7 วัน (12-18 มิ.ย.) ด้านผู้บริหารโรงเรียนเซนต์ฟรังซีสซาเวียร์คอนแวนต์ ซึ่งอยู่ใกล้กับโรงเรียนเซนต์คาเบรียล ก็ได้ประกาศปิดการเรียนการสอน 7 วันเช่นกัน หลังพบว่ามีนักเรียนป่วยเป็นไข้หวัด แต่ยังไม่ทราบจำนวนที่แน่ชัด ด้าน นพ.ม.ล.สมชาย จักรพันธุ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข แถลง(11 มิ.ย.)ว่า หลังเข้าตรวจกลุ่มเสี่ยงพนักงานของโรงแรมและสถานบันเทิงในพัทยาที่ชาวไต้หวันไปใช้บริการแล้ว พบว่า ในส่วนของโรงแรมไม่พบผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ 2009 แต่สถานบันเทิงพบว่ามีผู้ติดเชื้อดังกล่าวถึง 17 รายจากการตรวจพนักงานทั้งหมด 141 คน พร้อมกันนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้นำยาทามิฟลู 4.2 แสนเม็ดมอบให้สาธารณสุข จ.ชลบุรี เพื่อนำไปแจกจ่ายโรงแรมและแหล่งที่มีกลุ่มเสี่ยง คาดว่าจะควบคุมสถานการณ์ได้ใน 4 สัปดาห์ เป็นที่น่าสังเกตว่า นอกจากที่พัทยาแล้ว ยังมีรายงานด้วยว่า ชาวฮ่องกงคนหนึ่ง ซึ่งมาท่องเที่ยวที่ภูเก็ต เมื่อกลับไปพบว่าป่วยด้วยโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 เช่นกัน วันต่อมา(12 มิ.ย.) กระทรวงสาธารณสุข พบผู้ป่วยติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ 2009 เพิ่มอีก 43 ราย โดยแบ่งเป็น ผู้ติดเชื้อที่พัทยา 3 ราย ,โรงเรียนนานาชาติใน กทม.1 ราย ,ภูเก็ต 1 ราย ,สงขลา 1 ราย และจากโรงพยาบาลเอกชนทั่วไปอีก 37 ราย รวมจำนวนผู้ป่วยที่ขึ้นทะเบียนว่าติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ 2009 ทั้งหมด 89 ราย โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศ ทั้งนี้ วันเดียวกัน(12 มิ.ย.) องค์การอนามัยโลก(WHO) ได้ประกาศยกระดับการแพร่กระจายของโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 จากระดับ 5 เป็นระดับ 6 ซึ่งเป็นระดับสูงสุด หลังพบว่า การระบาดของเชื้อดังกล่าวเริ่มแพร่กระจายไปทั่วโลกแล้ว โดยติดต่อจากคนสู่คน ด้านนายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีสาธารณสุข รีบเรียกประชุมผู้บริหารระดับสูงของกระทรวง เพื่อทบทวนสถานการณ์และมาตรการป้องกันควบคุมการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 ในวันเดียวกัน โดยที่ประชุมมีมติให้ยุบศูนย์ปฏิบัติการตอบโต้ภาวะฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข ที่มี นพ.ไพจิตร์ วราชิต รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธาน และเปลี่ยนเป็น “ศูนย์อำนวยการปฏิบัติการควบคุมป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่” โดยมี นพ.ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธาน ขณะที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ 2009 ยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ล่าสุดวันนี้(13 มิ.ย.) กระทรวงสาธารณสุข พบผู้ติดเชื้อดังกล่าวเพิ่มอีก 17 ราย เป็นเด็กอนุบาลที่ปทุมธานี รวมยอดผู้ติดเชื้อทั้งหมด 106 รายแล้ว เป็นที่น่าสังเกตว่า นอกจากนักเรียนโรงเรียนเซนต์คาเบรียลที่ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ 2009 แล้ว ยังพบนักศึกษาหญิงคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ติดเชื้อดังกล่าวด้วย โดยนักศึกษารายนี้เพิ่งเดินทางกลับจากสหรัฐฯ ด้านผู้บริหารมหาวิทยาลัยมหิดล ได้ตัดสินใจประกาศปิดการเรียนการสอนในคณะสาธารณสุขศาสตร์จนกว่าจะผ่านระยะติดเชื้อ ขณะที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม.ได้สั่งการให้มีการทำความสะอาดโรงเรียนในสังกัด กทม.ทั้ง 435 แห่งให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 14 มิ.ย. เพื่อให้ปลอดเชื้อไข้หวัดใหญ่ 2009 ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บอกด้วยว่า วันที่ 15 มิ.ย.นี้ จะเรียกผู้ประกอบการสถานศึกษา โรงภาพยนตร์ ศูนยการค้า และร้านเกมกว่า 2 พันคน มาทำความเข้าใจเกี่ยวกับการป้องกันไข้หวัดใหญ่ 2009 สำหรับสถานการณ์ผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 ทั่วโลกนั้น จนถึงเช้าวันนี้(13 มิ.ย.) องค์การอนามัยโลกรายงานว่า มีผู้ป่วยทั้งหมด 29,669 ราย ใน 74 ประเทศ เสียชีวิตทั้งหมด 145 ราย.