xs
xsm
sm
md
lg

“มาร์ค” เผยมาเลย์พอใจไทยแก้ปัญหาชายแดนใต้ เล็งขอช่วยพัฒนา ร.ร.สอนศาสนา

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“อภิสิทธิ์” พร้อมคณะ เดินทางถึงเยือนมาเลเซียอย่างเป็นทางการ หวังกระชับ-พัฒนาความสัมพันธ์สองประเทศในฐานะมิตรประเทศ เผยผลหารือนายกฯ มาเลย์ ระบุ สองฝ่ายพอใจสร้างความร่วมกันระหว่างกัน รับมาเลย์พอใจแนวทางไทยแก้ปัญหาชายแดนใต้ เล็งขอให้ช่วยเหลืออบรมสร้างโรงเรียนสอนศาสนา พร้อมเร่งลงทุนด้านพลังงานร่วมกัน

เมื่อเวลา 05.50 น.นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก และพล.ท.สุรพล เผื่อนอัยกา เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ออกเดินทางจากท่าอากาศยานขนส่งทหาร (กองบิน 6) โดยเที่ยวบินพิเศษของกองทัพบก ไปยังกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ถึงมาเลเซียในเวลา 09.30 น.(เวลาที่กรุงกัวลาลัมเปอร์เร็วกว่ากรุงเทพฯ 1 ชั่วโมง) ซึ่งการเยือนมาเลเซียครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อกระชับ ความสัมพันธ์และสานต่อความร่วมมือในด้านต่างๆ กับมาเลเซีย รวมทั้งเพื่อสร้างความมั่นใจกับผู้นำมาเลเซีย เกี่ยวกับนโยบายและเจตนารมณ์ที่จะพัฒนาความสัมพันธ์กับมาเลเซียในฐานะ “พันธมิตรทางยุทธศาสตร์”

จากนั้นนายกรัฐมนตรีจะเดินทางไปยังสถานเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงกัวลาลัมเปอร์ เพื่อเป็นประธานในพิธีเปิดอาคารที่ทำการของฝ่ายกุงสุล ณ สถานเอกอัครราชทูต ซึ่งโอกาสนี้นายกรัฐมนตรีได้กล่าวเปิดอาคารที่ทำการฝ่ายกงสุล สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ต่อ เอกอัครราชทูต ข้าราชการสถานเอกอัครราชทูต สื่อมวลชน และผู้มีเกียรติทั้งหลาย ภายหลังการกล่าวรายงานของ นายปิยวัชร นิยมฤกษ์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์

นายกฯ กล่าวว่า มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มาเป็นประธานในพิธีเปิดอาคารที่ทำการใหม่ของฝ่ายกงสุล สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ จากคำกล่าวรายงานของเอกอัครราชทูต ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ทำให้ทราบถึงพัฒนาการของฝ่ายกงสุลตั้งแต่เริ่มเปิดให้บริการจนปัจจุบัน และเห็นถึงความตั้งใจที่จะพัฒนาและปรับปรุง การให้บริการประชาชนของฝ่ายกงสุลแห่งนี้ให้ดีขึ้น ตลอดจนเตรียมความพร้อมในการให้บริการโดยใช้เทคโนโลยีเข้าช่วย ซึ่งนับเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมยิ่ง

นายอภิสิทธิ์ กล่าวแสดงความยินดีกับทุกท่านที่ได้อาคารที่ทำการฝ่ายกงสุลหลังใหม่ ซึ่งจะสามารถรองรับอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้มาติดต่อทั้งพี่น้องชาวไทยและชาว ต่างประเทศได้เป็นอย่างดี อีกทั้งการมีเครื่องมือเครื่องใช้ที่ทันสมัยจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการให้ บริการประชาชนได้สะดวกและรวดเร็วขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์ของคนไทย และการให้ความช่วยเหลือเหยื่อการค้ามนุษย์ นอกจากนั้น ยังจะช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ภาคประชาชนในการไปมาหาสู่ระหว่างกันได้สะดวกยิ่งขึ้น อันจักช่วยให้การทำงานของฝ่ายกงสุลสำเร็จลุล่วงตามแนวนโยบายของรัฐบาลได้ เป็นอย่างดี

นายกฯ กล่าวว่า ที่ทำการของฝ่ายกงสุลนับเป็นหน้าต่างของประเทศ ชาวต่างประเทศที่มารับบริการย่อมมีความเข้าใจและประทับใจในประเทศไทย หากข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของฝ่ายกงสุล ได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างขยันขันแข็งมีประสิทธิภาพ และมีเครื่องใช้ที่ทันสมัย อาคารที่ทำการสะอาด โอ่โถง และสวยงาม ดังเช่นที่ทำการแห่งนี้

โดยในตอนท้ายนายกฯอวยพรให้ท่านเอกอัครราชทูต และเพื่อนข้าราชการทุกท่าน จงสามารถใช้ประโยชน์ของอาคารหลังใหม่แห่งนี้ ปฏิบัติงานให้บรรลุผลสำเร็จตามเจตจำนงทุกประการ และขอให้ทุกท่านประสบแต่ความสุข ความเจริญโดยทั่วกัน

จากนั้นเวลา 11.00 น.นายอภิสิทธิ์ มอบนโยบายแก่ทีมประเทศไทยในมาเลเซียและให้โอวาทแก่ชุมชนชาวไทย ณ อาคารที่ทำการสถานเอกอัครราชทูต ซึ่งทีมประเทศไทยและชุมชนชาวไทย ประกอบไปด้วย เจ้าหน้าที่และภาคธุรกิจที่มาลงทุนในมาเลเซีย อาทิเช่น บริษัท ซีพี สยามซีเมนต์ ธุรกิจอาหาร ผู้แทนองค์กรต่างๆ และนักศึกษาไทยที่ศึกษาต่อมาเลเซีย

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้แนะนำคณะทางการที่ร่วมเดินทางมาในครั้งนี้ ก่อนที่จะกล่าวถึงแนวทางการทำงานและนโยบายที่สำคัญของรัฐบาล รวมทั้งสถานการณ์ในประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมือง

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ด้านการเมืองรัฐบาลพยายามลดความขัดแย้งให้มากที่สุด และไม่สร้างความขัดแย้งใหม่ ลดความตึงเครียดในสังคม โดยให้ประชาชนสามารถใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญได้อย่างเต็มที่ ขณะนี้ให้สภาเข้ามามีบทบาทในการขับเคลื่อนโดยตั้งคณะกรรมการ ขึ้นมาเพื่อหลีกเลี่ยงความรุนแรง ซึ่งเรื่องนี้มีความคืบหน้าพอสมควร

นายกฯ กล่าวว่า ด้านเศรษฐกิจไม่ว่าการเมืองจะเป็นอย่างไร รัฐบาลจะเดินหน้าเรื่องเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ ผ่านมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แม้ว่าตัวเลขใน 3 เดือนแรกจะติดลบ 7.1% แต่เชื่อมั่นว่าไตรมาสที่ 2 และ 3 เศรษฐกิจน่าจะกลับมาขยายตัวอีกครั้ง อัตราการว่าจ้างมีแนวโน้มดีขึ้นซึ่งแสดงความคลี่คลายทางเศรษฐกิจ

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงปัญหาความไม่สงบในชายแดนใต้ที่สะสมและยืดเยื้อมานาน อย่างไรก็ดี ถ้าเทียบเหตุการณ์ความไม่สงบในปีนี้กับปีที่แล้วนั้น ปีนี้มีแนวโน้มดีขึ้น แต่ต้องยอมรับว่าเราต้องใช้กำลังคนและงบประมาณเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ การแก้ไขปัญหาที่สำคัญที่สุด คือ การสร้างโอกาสและการพัฒนา ซึ่งได้มีการตั้งคณะกรรมการชุดพิเศษขึ้นมา เพื่อพัฒนาพื้นที่นั้นในระยะ 3 ปีข้างหน้า และมีการจัดสรรงบประมาณหลายหมื่นล้านเพื่อพัฒนาพื้นที่ดังกล่าว เน้นโครงการที่เข้าถึงชุมชน ซึ่งเชื่อว่า จะเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้เหตุการณ์ดีขึ้น โดยต้องสร้างความยุติธรรมเกิดขึ้นควบคู่ไปด้วยและเรื่องนี้เป็นเรื่องหนึ่ง ที่จะมาเพื่อแสวงหาและสานต่อความร่วมมือในครั้งนี้ รวมถึงรื้อฟื้นความร่วมมือไม่ว่าจะเป็นเครื่อง 3E และความคืบหน้าต่างๆ ทั้งทางด้านการค้า การลงทุน และการศึกษา

อย่างไรก็ดี นายกรัฐมนตรี เชื่อว่า ความสัมพันธ์ระดับประชาชนกับประชาชนสำคัญที่สุดในการ สร้างความสัมพันธ์ที่มีให้กับประเทศไทยของเรา ซึ่งทุกๆท่านในที่นี้มีส่วนช่วยรัฐบาลในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีให้กับ ประเทศไทย ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้เชิญนายกรัฐมนตรีมาเลเซียเยือนไทยอย่างเป็นทางการด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้นในช่วงบ่าย นายอภิสิทธิ์ และคณะ ได้เดินทางไปยังเมืองปุตราจายา เพื่อเข้าร่วมพิธีต้อนรับอย่างเป็นทางการ และหารือข้อราชการกับ ดาโต๊ะ ซรี นาจิบ ราซัค นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และเข้าร่วมการหารือเต็มคณะระหว่างไทยกับมาเลเซีย ณ สำนักนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย

ต่อมาเมื่อเวลา 17.45 น.(ตามเวลาท้องถิ่น ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนไทยเกี่ยวกับผลการหารือในภาพรวมกับนายก รัฐมนตรีมาเลเซีย

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในการหารือข้อราชการระหว่างไทยกับมาเลเซียในวันนี้ ได้มีการหารือถึงความร่วมมือระหว่างสองประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีความพอใจกับความสำคัญที่เป็นมาด้วยดี และได้รับการกระชับการเยือนด้วยกันหลายระดับ ซึ่งประเด็นปัญหาสำคัญที่ได้มีการพูดคุยกัน คือ สถานการณ์ภาคใต้ ซึ่งทางรัฐบาลมาเลเซีย แสดงความพึงพอใจในภาพรวมนโยบายของรัฐบาลไทย ขณะเดียวกัน จะมีการให้ความร่วมมือทางด้านการศึกษา โดยไทยขอให้มาเลเซีย ซึ่งประสบความสำเร็จในการทำให้การศึกษาที่เป็นโรงเรียนสอนศาสนาฝึกอบรมให้มี ทักษะความพร้อมด้านอาชีพด้วย โดยนายกรัฐมนตรีมาเลเซียเห็นด้วยกับแนวความคิดนี้ และพร้อมให้การสนับสนุน โดยจะเดินทางไปเยี่ยมโรงเรียนในจังหวัดชายแดนใต้ร่วมกัน ในช่วงที่จะมีการจัดการประชุมหารือประจำปี (Annual Consultation) ครั้งที่ 4 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ส่วนเรื่องการค้าและการลงทุนนั้นจะเน้นความร่วมมือด้านพลังงาน โดยแต่ละประเทศก็จะใช้จุดแข็งของแต่ละประเทศแก้ปัญหาและพัฒนาเศรษฐกิจได้ ด้วยกัน

จากนั้น นายกรัฐมนตรีเดินทางไปยังพระราชวัง Istana Negara เพื่อ เข้าเฝ้าฯสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งมาเลเซีย ก่อนร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำที่ดาโต๊ะ ซรี นาจิบ ราซัค นายกรัฐมนตรีมาเลเซียเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่นายกรัฐมนตรีและ คณะ ณ เรือนรับรอง Sri Satria เมืองปุตราจายา ก่อนที่เดินทางถึงกรุงเทพฯ ณ ท่าอากาศยาน กองบิน 6 ในเวลา 23.50 น.




กำลังโหลดความคิดเห็น