"บุญทักษ์"ตั้งเป้าพาแบงก์ทหารไทยขึ้นแท่นแบงก์ชั้นนำของไทยมาตรฐานระดับโลก พร้อมผุดแผนระยะสั้น 7 ประการ ปรับกระบวนทรรศ์การทำธุรกิจมุ่งเน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลาง พร้อมปล่อยกู้ครึ่งปีหลังเพิ่ม 20,000 ล้านบาท ขายหนี้ด้อยคุณภาพ 30,000 ล้านบาท ส่วนแผนการล้างขาดทุนสะสมรอทำในจังหวะที่เหมาะสม เตรียมควบรวม 2 บลจ. แต่ยังไม่กำหนดระยะเวลาและรูปแบบ
นายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TMB เปิดเผยว่า วิสัยทัศน์ภารกิจและเป้าหมายการทำงานของธนาคารในช่วงเวลาต่อจากนี้ คือการผลักดันธนาคารทหารไทยให้เป็นธนาคารชั้นนำของไทย มาตรฐานสากลระดับโลก โดยธนาคารได้มีการจัดทำแผน 3 ระยะสู่ความเป็นผู้นำตลาดโดยในปีแรกนี้จะเป็นช่วงของการปรับฐานของธนาคารให้มีความแข็งแกร่ง ส่วนใน 2-3 ปีข้างหน้าจะเป็นการสร้างความแตกต่างและเติบโตอย่างมีคุณภาพ และระยะที่ 3 จะเป็นการสร้างความเป็นผู้นำตลาด โดยขณะนี้ธนาคารอยู่ระหว่างการวางแผนกลยุทธ์สำหรับระยะ 3-5 ปี ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้
ทั้งนี้ ธนาคารได้จัดทำแผนงานเร่งด่วนสำหรับการดำเนินงานในช่วง 5 เดือนที่เหลือของปีนี้โดยแยกออกเป็น 7 ประการ ประกอบด้วย 1. การเร่งปล่อยสินเชื่อคุณภาพสุทธิเพิ่มอีก 20,000 ล้านบาท โดยจะพัฒนาธุรกิจรายใหญ่และสร้างทีมขายตรงพิเศษในสายงานธุรกิจรายย่อย โดยช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมานั้นการปล่อยสินเชื่อของธนาคารหดตัวลง 27,000 ล้านบาท ทำให้ยอดการปล่อยสินเชื่อสุทธิรวมทั้งปีนี้น่าจะลดลงจากปีก่อนเล็กน้อย นอกจากนี้ยังจะมีการขยายเงินฝากอีก 25,000 ล้านบาท
"สินเชื่อจะโตขึ้นจากลูกค้าทุกกลุ่มซึ่งธนาคารได้แยกลูกค้าออกเป็น 3 กลุ่ม คือลูกค้ารายใหญ่ เอสเอ็มอี และรายย่อย โดยเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะยังเติบโตได้ดี 5-6% ซึ่งธนาคารเองตอนนี้ก็พร้อมจะให้บริการลูกค้าได้เป็นอย่างดี ทำให้สินเชื่อของธนาคารที่จะโตขึ้นนั้นเป็นไปตามความพร้อมของธนาคารและเศรษฐกิจนั่นเอง"
2. ธนาคารจะทำการขายหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ออกไปจำนวน 20,000 ล้านบาท และสินทรัพย์รอการขาย (เอ็นพีเอ) จำนวน 10,000 ล้านบาท โดยได้แต่งตั้งที่ปรึกษาทางการเงินเข้ามาช่วยดำเนินการในเรื่องนี้ให้เสร็จสิ้นภายใน 5 เดือน ซึ่งมีผู้สนใจซื้อทั้งที่เป็นบริษัทในไทยและต่างชาติ ทั้งนี้ การขายหนี้ดังกล่าวออกไปจะทำให้เอ็นพีแอลของธนาคารลดลงอยู่ที่ไม่น้อยกว่า 10% จากปัจจุบันอยู่ที่ 16% อย่างไรก็ตาม การที่ธนาคารมีความแข็งแกร่งด้านฐานเงินทุนมากขึ้นทำให้ธนาคารมีความพร้อมในด้านเงินทุนในการตั้งสำรอง
"จากการที่จะขายหนี้ดังกล่าวออกไปแล้ว คาดว่าไม่น่าจะนำเข้ามาบันทึกเป็นกำไร เนื่องจากการขายดังกล่าวจะต้องดูว่าจะมีกำไรเพิ่มขึ้นเล็กน้อยหรือว่าจะขาดทุนเล็กน้อย ส่วนแผนการตั้งสำรองของธนาคาร ธนาคารก็มีแผนการตั้งสำรองตามเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และอีกส่วนหนึ่งก็มีการตั้งสำรองเผื่อไว้ในการดำเนินธุรกิจ แต่ก็คาดว่าปีนี้ไม่น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงด้านลบเข้ามา โดยปัจจุบันธนาคารมีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (บีไอเอส) อยู่ที่ 16.5%"
3.การขยายเครือข่ายการให้บริการ โดยธนาคารจะทำการเปิดสาขาใหม่ 40 สาขาและย้ายที่ทำการใหม่ 20 สาขา โดยขณะนี้กำลังก่อสร้างอยู่ 5 สาขา ซึ่งคาดว่าสาขาทั้งหมดของธนาคารในสิ้นปีนี้น่าจะอยู่ที่ 500 สาขา และจะติดตั้งตู้เอทีเอ็มเพิ่มอีก 200 เครื่อง นอกจากนี้ธนาคารจะเปิดให้บริการทางโทรศัพท์และทางอินเตอร์เน็ตซึ่งขณะนี้การปรับปรุงพัฒนาทั้ง 2 ระบบเสร็จเรียบร้อยแล้ว 4.การปรับเปลี่ยนการให้บริการที่สาขาให้เป็นช่วงทางการให้บริการลูกค้าที่สะดวกรวดเร็วขึ้น 5.การปรับกระบวนทรรศน์ของการวางกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจให้เป็นองค์กรที่มุ่งเน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลางและจัดกลุ่มลูกค้า โดยมีกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับแต่ละกลุ่ม
6.จัดตั้งศูนย์บริการลูกค้าธนบดี (Wealth Management) เพื่อบริการจัดการสินทรัพย์และความมั่งคั่งของลูกค้าให้เติบโต โดยตั้งเป้าจะให้บริการลูกค้าที่ใช้บริการบริหารสินทรัพย์ไม่ต่ำกว่า 3 ล้านบาทโดยได้เตรียมเปิดศูนย์ธนบดีแห่งแรกที่สำนักงานใหญ่และที่สีลม และ7.การให้บริการธุรกิจต่างประเทศ ด้วยศักยภาพและเครือข่ายของไอเอ็นจีที่เป็นผู้ถือหุ้นรายสำคัญของธนาคารจะทำให้ธนาคารสามารถให้บริการลูกค้าไทยที่ทำธุรกิจกับต่างประเทศได้อย่างคล่องตัว โดยในช่วงแรกนี้จะมุ่งเน้นไปที่ประเทศจีน อินเดียและเกาหลี
นายบุญทักษ์ กล่าวอีกว่า สำหรับแผนการล้างขาดทุนสะสมของธนาคารนั้นเป็นแผนดำเนินการในระยะเวลาต่อไป เนื่องจากในเบื้องต้นธนาคารจะให้ความสำคัญกับลูกค้าและพนักงานให้มีความแข็งแกร่งก่อน จากนั้นจึงจะดูถึงเรื่องการล้างขาดทุนสะสม ซึ่งจะทำในเวลาที่เหมาะสมและไม่นานนับจากนี้
ในส่วนของบลจ.ทหารไทย และบลจ.ไอเอ็นจีที่เป็นหน่วยงานที่ซ้ำซ้อนกับอยู่ในปัจจุบัน ธนาคารอาจจะควบรวมหน่วยงานทั้งสองแห่งเข้าด้วยกัน
แต่ปัจจุบันก็ยังไม่ได้กำหนดระยะเวลา และรายละเอียดในการดำเนินการดังกล่าว ซึ่งการควบรวมก็ยังเป็นแนวความคิดหนึ่งที่มีความเป็นไปได้ แต่ในปัจจุบันสินค้าและบริการของทั้งสองบลจ.ก็ยังมีบางส่วนที่สามารถรองรับความต้องการของลูกค้าที่แตกต่างกัน
"การควบรวมกันก็เป็นแนวทางหนึ่งที่จะลดความซ้ำซ้อนของบลจ.ทั้งสองแห่ง แต่ก็ยังไม่ได้พูดถึงระยะเวลาว่าจะต้องทำให้เสร็จภายในช่วงใดแต่ก็น่าจะทำในเร็วๆนี้"
นายบุญทักษ์ กล่าวว่า สำหรับการประกาศใช้ พ.ร.บ.สถาบันคุ้มครองเงินฝาก ในวันที่ 11 สิงหาคมนั้น จะเป็นส่วนช่วยให้ระบบธนาคารพาณิชย์มีการปรับตัวและมีการใช้บริการ รวมถึงการบริหารความเสี่ยงที่ดีขึ้น ส่วนมุมมองของธนาคารทหารไทยนั้นคิดว่าจากการที่ธนาคารได้เพิ่มทุนและมีความแข็งแกร่งมากขึ้นจากการได้ไอเอ็นจีมาเป็นพันธมิตร รวมถึงการมีบริการที่ดีและความมั่นคงทำให้ธนาคารน่าจะได้เปรียบธนาคารหลายแห่งในระบบในเรื่องของความมั่นใจของผู้ฝากเงิน
นายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TMB เปิดเผยว่า วิสัยทัศน์ภารกิจและเป้าหมายการทำงานของธนาคารในช่วงเวลาต่อจากนี้ คือการผลักดันธนาคารทหารไทยให้เป็นธนาคารชั้นนำของไทย มาตรฐานสากลระดับโลก โดยธนาคารได้มีการจัดทำแผน 3 ระยะสู่ความเป็นผู้นำตลาดโดยในปีแรกนี้จะเป็นช่วงของการปรับฐานของธนาคารให้มีความแข็งแกร่ง ส่วนใน 2-3 ปีข้างหน้าจะเป็นการสร้างความแตกต่างและเติบโตอย่างมีคุณภาพ และระยะที่ 3 จะเป็นการสร้างความเป็นผู้นำตลาด โดยขณะนี้ธนาคารอยู่ระหว่างการวางแผนกลยุทธ์สำหรับระยะ 3-5 ปี ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้
ทั้งนี้ ธนาคารได้จัดทำแผนงานเร่งด่วนสำหรับการดำเนินงานในช่วง 5 เดือนที่เหลือของปีนี้โดยแยกออกเป็น 7 ประการ ประกอบด้วย 1. การเร่งปล่อยสินเชื่อคุณภาพสุทธิเพิ่มอีก 20,000 ล้านบาท โดยจะพัฒนาธุรกิจรายใหญ่และสร้างทีมขายตรงพิเศษในสายงานธุรกิจรายย่อย โดยช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมานั้นการปล่อยสินเชื่อของธนาคารหดตัวลง 27,000 ล้านบาท ทำให้ยอดการปล่อยสินเชื่อสุทธิรวมทั้งปีนี้น่าจะลดลงจากปีก่อนเล็กน้อย นอกจากนี้ยังจะมีการขยายเงินฝากอีก 25,000 ล้านบาท
"สินเชื่อจะโตขึ้นจากลูกค้าทุกกลุ่มซึ่งธนาคารได้แยกลูกค้าออกเป็น 3 กลุ่ม คือลูกค้ารายใหญ่ เอสเอ็มอี และรายย่อย โดยเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะยังเติบโตได้ดี 5-6% ซึ่งธนาคารเองตอนนี้ก็พร้อมจะให้บริการลูกค้าได้เป็นอย่างดี ทำให้สินเชื่อของธนาคารที่จะโตขึ้นนั้นเป็นไปตามความพร้อมของธนาคารและเศรษฐกิจนั่นเอง"
2. ธนาคารจะทำการขายหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ออกไปจำนวน 20,000 ล้านบาท และสินทรัพย์รอการขาย (เอ็นพีเอ) จำนวน 10,000 ล้านบาท โดยได้แต่งตั้งที่ปรึกษาทางการเงินเข้ามาช่วยดำเนินการในเรื่องนี้ให้เสร็จสิ้นภายใน 5 เดือน ซึ่งมีผู้สนใจซื้อทั้งที่เป็นบริษัทในไทยและต่างชาติ ทั้งนี้ การขายหนี้ดังกล่าวออกไปจะทำให้เอ็นพีแอลของธนาคารลดลงอยู่ที่ไม่น้อยกว่า 10% จากปัจจุบันอยู่ที่ 16% อย่างไรก็ตาม การที่ธนาคารมีความแข็งแกร่งด้านฐานเงินทุนมากขึ้นทำให้ธนาคารมีความพร้อมในด้านเงินทุนในการตั้งสำรอง
"จากการที่จะขายหนี้ดังกล่าวออกไปแล้ว คาดว่าไม่น่าจะนำเข้ามาบันทึกเป็นกำไร เนื่องจากการขายดังกล่าวจะต้องดูว่าจะมีกำไรเพิ่มขึ้นเล็กน้อยหรือว่าจะขาดทุนเล็กน้อย ส่วนแผนการตั้งสำรองของธนาคาร ธนาคารก็มีแผนการตั้งสำรองตามเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และอีกส่วนหนึ่งก็มีการตั้งสำรองเผื่อไว้ในการดำเนินธุรกิจ แต่ก็คาดว่าปีนี้ไม่น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงด้านลบเข้ามา โดยปัจจุบันธนาคารมีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (บีไอเอส) อยู่ที่ 16.5%"
3.การขยายเครือข่ายการให้บริการ โดยธนาคารจะทำการเปิดสาขาใหม่ 40 สาขาและย้ายที่ทำการใหม่ 20 สาขา โดยขณะนี้กำลังก่อสร้างอยู่ 5 สาขา ซึ่งคาดว่าสาขาทั้งหมดของธนาคารในสิ้นปีนี้น่าจะอยู่ที่ 500 สาขา และจะติดตั้งตู้เอทีเอ็มเพิ่มอีก 200 เครื่อง นอกจากนี้ธนาคารจะเปิดให้บริการทางโทรศัพท์และทางอินเตอร์เน็ตซึ่งขณะนี้การปรับปรุงพัฒนาทั้ง 2 ระบบเสร็จเรียบร้อยแล้ว 4.การปรับเปลี่ยนการให้บริการที่สาขาให้เป็นช่วงทางการให้บริการลูกค้าที่สะดวกรวดเร็วขึ้น 5.การปรับกระบวนทรรศน์ของการวางกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจให้เป็นองค์กรที่มุ่งเน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลางและจัดกลุ่มลูกค้า โดยมีกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับแต่ละกลุ่ม
6.จัดตั้งศูนย์บริการลูกค้าธนบดี (Wealth Management) เพื่อบริการจัดการสินทรัพย์และความมั่งคั่งของลูกค้าให้เติบโต โดยตั้งเป้าจะให้บริการลูกค้าที่ใช้บริการบริหารสินทรัพย์ไม่ต่ำกว่า 3 ล้านบาทโดยได้เตรียมเปิดศูนย์ธนบดีแห่งแรกที่สำนักงานใหญ่และที่สีลม และ7.การให้บริการธุรกิจต่างประเทศ ด้วยศักยภาพและเครือข่ายของไอเอ็นจีที่เป็นผู้ถือหุ้นรายสำคัญของธนาคารจะทำให้ธนาคารสามารถให้บริการลูกค้าไทยที่ทำธุรกิจกับต่างประเทศได้อย่างคล่องตัว โดยในช่วงแรกนี้จะมุ่งเน้นไปที่ประเทศจีน อินเดียและเกาหลี
นายบุญทักษ์ กล่าวอีกว่า สำหรับแผนการล้างขาดทุนสะสมของธนาคารนั้นเป็นแผนดำเนินการในระยะเวลาต่อไป เนื่องจากในเบื้องต้นธนาคารจะให้ความสำคัญกับลูกค้าและพนักงานให้มีความแข็งแกร่งก่อน จากนั้นจึงจะดูถึงเรื่องการล้างขาดทุนสะสม ซึ่งจะทำในเวลาที่เหมาะสมและไม่นานนับจากนี้
ในส่วนของบลจ.ทหารไทย และบลจ.ไอเอ็นจีที่เป็นหน่วยงานที่ซ้ำซ้อนกับอยู่ในปัจจุบัน ธนาคารอาจจะควบรวมหน่วยงานทั้งสองแห่งเข้าด้วยกัน
แต่ปัจจุบันก็ยังไม่ได้กำหนดระยะเวลา และรายละเอียดในการดำเนินการดังกล่าว ซึ่งการควบรวมก็ยังเป็นแนวความคิดหนึ่งที่มีความเป็นไปได้ แต่ในปัจจุบันสินค้าและบริการของทั้งสองบลจ.ก็ยังมีบางส่วนที่สามารถรองรับความต้องการของลูกค้าที่แตกต่างกัน
"การควบรวมกันก็เป็นแนวทางหนึ่งที่จะลดความซ้ำซ้อนของบลจ.ทั้งสองแห่ง แต่ก็ยังไม่ได้พูดถึงระยะเวลาว่าจะต้องทำให้เสร็จภายในช่วงใดแต่ก็น่าจะทำในเร็วๆนี้"
นายบุญทักษ์ กล่าวว่า สำหรับการประกาศใช้ พ.ร.บ.สถาบันคุ้มครองเงินฝาก ในวันที่ 11 สิงหาคมนั้น จะเป็นส่วนช่วยให้ระบบธนาคารพาณิชย์มีการปรับตัวและมีการใช้บริการ รวมถึงการบริหารความเสี่ยงที่ดีขึ้น ส่วนมุมมองของธนาคารทหารไทยนั้นคิดว่าจากการที่ธนาคารได้เพิ่มทุนและมีความแข็งแกร่งมากขึ้นจากการได้ไอเอ็นจีมาเป็นพันธมิตร รวมถึงการมีบริการที่ดีและความมั่นคงทำให้ธนาคารน่าจะได้เปรียบธนาคารหลายแห่งในระบบในเรื่องของความมั่นใจของผู้ฝากเงิน