xs
xsm
sm
md
lg

ต้องพิสูจน์ด้วยความจริง ใช้สำนวนโวหารไม่ได้ !!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
นาทีนี้ไม่ต้องพูดกันมากแล้วถึงความไม่เหมาะสมของโครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4 พันคัน เป็นเวลา 10 ปี วงเงิน 69,788 ล้านบาท ที่ผลักดันโดย “กลุ่มเพื่อนเนวิน” ผ่านทาง โสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม อย่างสุดกำลัง

สังคมได้รับรู้ถึงความอัปยศกันอย่างทะลุปรุโปร่งไปทั่วบ้านทั่วเมืองแล้ว

ล่าสุดนอกจากยังไม่มีทีท่าจะถอยแล้วยังเดินหน้าเต็มตัว เพราะมีการระดมระดับ “หัวขบวน” เข้ามาเสริมทีมดันกันแบบ “สองสามแรงบวก” ไม่ว่าจะเป็น ชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย หรือ แม้แต่ บุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย จากก๊วนเดียวกัน ยังนั่งไม่ติดต้องออกมาลุ้นกับเขาด้วย

แต่ไม่ว่าจะออกแรงอย่างไรดูเหมือนว่าไม่เป็นผล นอกจากเสียงด่าจากสังคมภายนอกยังไม่ลดลงแล้ว ในทางตรงกันข้ามกลับดังขึ้นเรื่อยๆ จนหูอื้อไปหมดแล้ว แทบทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่าเป็นโครงการที่ “ห่วยแตก” ไม่คุ้มค่าและไม่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง

เป็นครั้งแรกที่เสียงค้านจากทุกฝ่ายสามัคคีเห็นพ้องเป็นเสียงเดียวกันว่า ต้องยกเลิกในทันที โดยเฉพาะในช่วงที่ฐานะทางการเงินการคลังของรัฐบาลอยู่ในช่วง “ถังแตก” แบบนี้

อย่างไรก็ดี หากจะย้อนรอยโครงการเช่ารถเมล์ก็จะเห็นว่ามีความพยายามมาถึง 3 รัฐบาล คือเริ่มตั้งแต่ปลายรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ต่อเนื่องมาจนถึงรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช และสมชาย วงศ์สวัสดิ์ จนกระทั่งมาในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในปัจจุบัน

แต่ที่น่าสังเกตก็คือเป็นการผลักดันจาก “เครือข่ายเนวิน ชิดชอบ” มาตลอด ไม่เคยเปลี่ยน!!

และที่ผ่านมาก็มีการแก้ไขในรายละเอียดบางอย่าง หรือมีการปรับลดตัวเลขลงมาเท่านั้น เช่นจากเดิม 6 พันคันก็เหลือ 4 พันคัน หรือจากเดิมเฉลี่ยคันละ 8 ล้านก็ลดลงมาเรื่อยๆเหลือ 7 ล้าน 6 ล้าน และล่าสุดเหลือ กว่า 5 ล้านบาท

ขณะที่ในจำนวน 4 พันคันนั้นวงเงินเดิมราคา 6.9 หมื่นล้านบาท ก็ลดลงมาเรื่อยๆ เช่นเมื่อมีเสียงท้วงติงจากหลายฝ่ายก็ลดลงมาเหลือ 6.7 หมื่นล้านบาท และล่าสุดที่จะดันเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันนี้ (3 มิถุนายน) วงเงินก็ลดลงมาอีกเหลือ 6.4 หมื่นล้านบาท

ความเคลื่อนไหวที่ลดลงของตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงการจัดซื้อจัดจ้างไม่โปร่งใส เป็นการเสนอราคาที่สูงเกินจริง แต่เมื่อถูกทักท้วงก็ยอมลดราคาลงมาเรื่อยๆ เหมือนกับว่าจากเดิมที่คิดว่าจะได้เข้ากระเป๋าเต็มร้อยบาท แต่ก็ยอมกัดฟันเอาแค่ 40-50 บาทก็ยังดี อะไรประมาณนั้น

เพราะถ้าคิดเฉพาะโครงการจะเช่า 4 พันคัน ไม่นับจากจำนวน 6 พันคันในยุคดั้งเดิม ในตอนแรกบอกว่าต้องใช้วงเงิน 6.9 หมื่นล้านบาท เมื่อถูกด่าก็ลดลงมาเรื่อยๆเหลือ 6.7 หมื่นล้านบาท และล่าสุดสดๆร้อนๆเหลือแค่ 6.4 หมื่นล้านบาท ยอมหั่นลงมาถึง 5 พันล้านบาท

หากมองอย่างรู้ทันก็เป็นแค่ตบตาให้สังคมได้เห็นว่าลดราคาลงมาสุดๆ แล้วนะจะเอายังไงกันอีก ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วเป็นเพียงการปรับปรุงในรายละเอียดปลีกย่อย แต่หลักการยังคงไว้ไม่เปลี่ยนแปลง และที่สำคัญยังเป็นการรวมหัวกันโกงเช่นเดิม เพียงแต่ได้น้อยลงมาบ้างเท่านั้น

นอกจากนี้ หากการเช่ารถเมล์ 4 พันคันผ่านการอนุมัติ ยังทำให้พนักงานขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ต้องตกงานอีกไม่น้อยกว่า 2-3 พันคน เพราะจะนำระบบเครื่องจำหน่ายตั๋วแบบอัตโนมัติ โดยไม่ต้องใช้พนักงานเก็บค่าโดยสาร หรือนายตรวจอีกต่อไป

แม้ว่าในอนาคตอาจจะต้องพัฒนาไปในทางนั้นก็ตาม แต่นั่นหมายความว่าจะต้องมีการปฏิรูปองค์กร มีการทำวิจัยกันอย่างเป็นระบบ ไม่ใช่คิดเอง เออเองในหมู่นักการเมือง “กระสือ” บางกลุ่มเท่านั้น

นาทีนี้ไม่ว่ามองมุมไหนถือว่าไม่มีความเหมาะสม ทั้งในเรื่องของความคุ้มค่าของการเช่ารถที่มีราคาแพง เพิ่มภาระให้กับประชาชนที่ต้องเสียค่าโดยสารแพงขึ้นแบบไม่มีทางเลือก

ขณะที่ผลประโยชน์ตกอยู่กับพวกนักการเมืองเพียงกลุ่มเดียวที่สูบเลือดสูบเนื้อจากประชาชน จากงบประมาณแผ่นดินมาตลอด

ดังนั้น บทสรุปของโครงการอัปยศดังกล่าวขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของ นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ว่าจะเอาอย่างไร จะใช้หลักรัฐศาสตร์ปกครองบ้านเมืองเพื่อคนส่วนใหญ่หรือไม่

หรือจะเลือกตั้งมั่นอยู่บนผลประโยชน์ของตัวเอง ใช้สำนวนโวหารเพื่อรักษาเก้าอี้ รักษาอำนาจทางการเมืองไปวันวัน ก็จะได้เห็นกัน

แต่ถ้าออกอย่างหลังก็บอกได้คำเดียวว่าให้เตรียมนับถอยหลังไว้ได้เลย !!

กำลังโหลดความคิดเห็น