xs
xsm
sm
md
lg

รอยร้าวรัฐบาลมาร์ควงจรการเมืองอุบาทว์

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวการเมือง


ปัญหาภายในพรรคประชาธิปัตย์ ในเรื่องแก่งแย่งชิงตำแหน่งรัฐมนตรีกันเอง เป็นแผลที่ตกสะเก็ดไปแล้ว แต่ความขัดแย้งในพรรคร่วมยังไม่อาจเยียวยาได้

จะแตกหัก-แยกทางกันเดินหรือไม่ สำหรับพรรคร่วมรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่เห็นได้ชัดว่ามีการขัดแย้งกันอย่างหนัก แม้จะพยายามกลบเกลื่อนร่องรอยกันอยู่

แต่ไม่สำเร็จ

จนทำให้ปัญหาที่ตอนแรกคิดว่าจะเป็นแค่เรื่องเล็กๆ ขัดแย้งกันพอเป็นพิธี แต่เมื่อรอยร้าวมันค้างคาอยู่ ผสมกับมีเรื่องใหม่ๆ ผสมปนเปกันในเวลานี้

เลยทำให้สังคมเห็นได้ชัดว่า รัฐบาลอภิสิทธิ์ มีปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง และผลประโยชน์กันหลายต่อหลายโครงการ

คำถามจึงเกิดขึ้นไปทั่วทุกสารทิศ แล้วการขบเหลี่ยมกันของพรรคร่วมรัฐบาลจะรุนแรงจนแตกหัก เป็นชนวนไปสู่การล้างไพ่ใหม่ทางการเมืองหรือไม่ ?

จะเกิดรายการเอาคืนกันเองภายในพรรคร่วมรัฐบาล ถึงขั้นจะมีการป่วนการเมืองในการลงมติของส.ส.ซีกรัฐบาลระหว่างการประชุมสภาผู้แทนราษฎรสมัยวิสามัญ กลางเดือนมิถุนายนที่จะเปิดสภาวันที่ 15 มิถุนายนนี้หรือไม่?

เนื่องจากการประชุมสภาฯสมัยวิสามัญที่จะมีขึ้น มีความหมายกับรัฐบาลมาก เพราะไม่ใช่กฎหมายธรรมดา แต่เป็นการพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2553 และพ.ร.ก.เงินกู้ 4 แสนล้านบาท

ไม่ต้องถึงขั้นกฎหมายไม่ผ่านสภาฯหรอก เอาแค่ลอง ส.ส.ซีกรัฐบาลหายไป 10 เสียง 15 เสียง แค่นี้รัฐบาลก็ปั่นป่วนแล้ว

ถ้าสถานการณ์ความขัดแย้งพัฒนาไปถึงขั้นนั้นจริง และแกนนำรัฐบาลปล่อยให้ทอดนานออกไปถึงกลางเดือนมิถุนายน

จนรอยร้าวความขัดแย้งกลายเป็น “แผลติดเชื้อ”

หลายคนก็อาจจะยังสงสัยว่า จะแตกหักกันเลยหรือไม่ เรา-ทีมข่าวการเมือง ขอตอบแบบคอนเฟิร์มฟันธงเลยว่า

“ยังไม่สุกงอม พอจะแตกหัก”

บนปัจจัยหลายเรื่องทั้งความไม่พร้อมของทุกพรรคการเมืองในการเลือกตั้งในช่วงเวลาอันใกล้นี้

พรรคร่วมรัฐบาลต่างรอให้มีการใช้เงินงบประมาณรายจ่ายปี 53 ในปลายปีนี้เสียก่อน

อีกทั้งในช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม ก็จะเข้าสู่ช่วงการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับสูงในทุกกระทรวง

แต่ละพรรคจะสามารถใช้กลไกงบประมาณในกระทรวง ที่ตัวเองรับผิดชอบ รวมถึงข้าราชการในสังกัดให้เป็นประโยชน์ได้ หากมีการเลือกตั้ง

เค้กก้อนใหญ่ที่ซุกซ่อนไว้ในรูปงบประมาณ ก็ยังไม่ถูกตัดเอามาแบ่งกันหาประโยชน์ ผสมกับการได้ใช้อำนาจในการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ ที่จะได้ทั้งส่งคนของตนไปนั่งตำแหน่งสำคัญ หรือเซ็งลี้เก้าอี้ก็มีเงินรออยู่

แล้วเรื่องอะไรต้องล้มโต๊ะ ให้อดอยากปากแห้งกันไปหมด

แต่อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์ความขัดแย้งลุกลามบานปลาย ไม่อาจรักษาแผลติดเชื้อนี้ได้ ก็น่าเป็นห่วงจะต้องตัดอวัยวะเพื่อรักษาชีวิตกันไว้บ้าง!

เพียงแต่ยามนี้ สถานการณ์ของ“แผลติดเชื้อ”มันยังไม่รุนแรง เพราะประเมินแล้ว ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นที่มีศูนย์กลางตัวหลักอยู่แค่

“ภูมิใจไทย” ของเนวิน ชิดชอบ

ที่พบว่า เกิดปัญหาขึ้นใน 3 กระทรวงหลัก ที่คนของพรรคภูมิใจไทยยึดครองไว้หมด

“พาณิชย์-คมนาคม-มหาดไทย”

ไล่เรียงกันตั้งแต่กระทรวงพาณิชย์ อันมี พรทิวา นาคาศัย เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กับปัญหาเรื่องการประมูลขายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ตามด้วยการประมูลขายข้าว 2.6 ล้านตัน ที่มีกลิ่นไม่ดีโชยออกมาในเรื่องความไม่ชอบมาพากลของโครงการนี้ว่า

หากทุกอย่างทำสำเร็จจะมีเงินลอยไปลอยมาใส่กระเป๋าคนที่เกี่ยวข้องกับโครงการนี้ เป็นเงินไม่ต่ำกว่า 2 พันล้านบาท

ส่วนกระทรวงคมนาคมที่ เนวิน ส่ง โสภณ ซารัมย์ ข้ามชั้นจากครูประชาบาล-ส.ส.ในกลุ่มก๊วนไปนั่งแท่นเป็นรัฐมนตรีว่าการคมนาคม กำลังมีปัญหาเรื่องโครงการเช่ารถเมล์ของ ขสมก.จำนวน 4 พันคัน

อันเป็นเผือกร้อนที่สุดของรัฐบาล และภูมิใจไทยในยามนี้

เพราะยิ่งนานวัน กระแสต่อต้าน-คัดค้าน จากคนในสังคมได้ขยายแนวร่วมออกไปมากขึ้นตามลำดับ บนการเปิดโปงเรื่องความไม่ชอบมาพากล และการแสวงหาผลประโยชน์หลายพันล้านบาทของผู้อยู่เบื้องหลังโครงการนี้

แรงคัดค้านที่ดังมากขึ้น ล่าสุดกลุ่มส.ว.และภาคประชาชนออกมาดักคอไว้ล่วงหน้าว่า หากมีการผลักดันโครงการนี้ให้ผ่านครม. จนมีการทำสัญญากับเอกชนจริง ก็จะมีการเคลื่อนไหวล่ารายชื่อประชาชน 2 หมื่นชื่อ เพื่อถอดถอนผู้เกี่ยวข้อง

จึงเป็นศึกหนักของ เนวิน-โสภณ ซารัมย์-ประจักษ์ แกล้วกล้าหาญ รมช.คมนาคม จากภูมิใจไทยที่กำกับดูแล ขสมก.

หากขืนจะควบตะบึงรถเมล์ 4 พันคันให้เข้าวินให้ได้ ชนิดไม่สนกระแสต่อต้าน และการเปิดโปงเงื่อนงำความผิดปกติของโครงการนี้ ที่มีให้เห็นรอบด้าน

ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็มีหวัง รถเมล์ด่วนภูมิใจไทยอาจแหกโค้ง ตกเหวทางการเมืองกันในเวลาอันรวดเร็วแน่นอน

เหตุเพราะ เป็นโครงการที่ทุกคนพบได้ชัดว่า ภูมิใจไทย พยายามผลักดันเรื่องนี้มากจนผิดปกติตั้งแต่ในสมัยรัฐบาลพลังประชาชน มาจนถึงรัฐบาลอภิสิทธิ์

ยิ่งผลักกันมากเท่าไร ก็ยิ่งมีแรงคัดค้านมากขึ้นเท่านั้น แม้จะมีการปลดเปลี่ยนสเปกกันหลายรอบ เพื่อลดแรงต้านของหลายฝ่าย แต่ก็ยังไม่เป็นผล เพราะเมื่อดูตัวร่างทีโออาร์ และเหตุผลความจำเป็นที่นายโสภณ พยายามผลักดันโครงการนี้ จะพบว่าไม่สามารถตอบข้อสงสัยของสังคมในหลายเรื่องได้

เช่นทำไมต้องเช่าในราคาสูง ทำไมไม่ซื้อไปเลย เพราะคำนวณแล้วการเช่าจำนวนมาก และใช้เงินสูงหลายพันล้านบาท ไม่คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป

จนมีการระบุกันหลายเวที ว่าโครงการนี้เป็นรายการถอนทุนทางการเมืองของรัฐมนตรีนอมินี ที่ต้องทำตามที่นายสั่ง เพื่อแลกกับเก้าอี้รัฐมนตรี

ไม่เช่นนั้น หากไม่มีผลงานก็จะถูกปลดจากตำแหน่ง เหมือนเช่นที่ ชาติชาย พุคยาภรณ์ โดนเขี่ยตกเก้าอี้ รมช.เกษตรและสหกรณ์มาแล้ว

และหากภูมิใจไทยจะพยายามผลักดันเรื่องนี้ให้สำเร็จ บนข้อสงสัยหลายเรื่องที่ไม่สามารถตอบได้ เช่นการประเมินรายได้ 1.1 หมื่นบาท ต่อคันต่อวัน ที่หลายคนเห็นว่ากระทรวงคมนาคมตั้งเรื่องไว้สูงเกินจริง ทั้งที่จำนวนประชาชนที่จะขึ้นรถดังกล่าวตลอดทั้งวันไม่มีทางที่ ขสมก.จะสามารถจัดเก็บรายได้ ได้ตามจำนวนที่อ้างไว้

และเมื่อคำนวณค่าใช้จ่ายกับรายได้และค่าเช่า จะพบว่าค่าเช่าวันละ 4.7 พันบาท และยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เป็นค่าใช้จ่ายทรงตัว และค่าใช้จ่ายผันแปร แต่อยู่ที่ระดับวงเงิน อันแบ่งเป็นค่าพนักงานและค่าน้ำมัน 4 พันบาท รวมแล้วค่าเช่า-ค่าใช้จ่ายอื่นๆ 9 พันบาทต่อวัน แต่ ขสมก.ตั้งรายได้ไว้สูงสุดที่ 1.1 หมื่นบาท

เท่ากับว่าจริงๆ แล้ว ขสมก.จะมีกำไรแค่ 1 พันกว่าบาท ต่อวัน อันเป็นตัวเลขง่ายๆ ที่แสดงให้เห็นว่ามีเหตุผลและความจำเป็นเร่งด่วนอะไรที่ต้องไปทำสัญญาเช่าที่เสียค่าใช้จ่ายจำนวนมากเช่นนั้น

ไม่มีคำจำกัดความอะไร ที่จะใช้กับโครงการเช่ารถเมล์4พันคัน ดีไปกว่าคำว่า เป็นรายการ “ปล้นกลางแดด”

และท้ายสุดสดๆร้อนที่กระทรวงมหาดไทย กับเกาเหลาชามใหญ่ที่ เนวิน ชิดชอบ ส่งน้องชายสุดที่รัก ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนโทกระทรวงมหาดไทย ออกมาเปิดศึกกับ มท.3 จากพรรคประชาธิปัตย์ - ถาวร เสนเนียม ในเรื่องนโยบายการให้เช่าที่ดินป่าสงวน-ที่ดินของรัฐกับประชาชนในราคาไร่ละ 10 บาท เป็นเวลา 5 ปี

แสดงจุดยืนว่า คนของภูมิใจไทยไม่เห็นด้วย

เพราะจะทำให้เกิดช่องว่างให้คนรวย หรือคนบุกรุกที่ดินป่าสงวนมาสวมสิทธิ์เช่าที่ดินในราคาถูก เพื่ออยู่อาศัย จนเกิดข้อผิดพลาดขึ้นเหมือนกับกรณี สปก.4-01 ที่ภูเก็ต

ถึงกับสำทับว่านโยบายนี้ จะทำให้รัฐบาลประชาธิปัตย์พังซ้ำสองกับเรื่องที่ดิน

เท่านั้นยังไม่พอ ศักดิ์สยาม ยังออกมาทวงกรมที่ดิน ให้ ชวรัตน์ ชาญวีรกูล มท.1 หัวหน้าพรรคภูมิใจ ดูแลเอง ชนิดไม่ไว้หน้า ถาวร มท.3 ที่ถือเป็นขุนพลหลักคนสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์

หากเป็นลูกพรรคภูมิใจไทยธรรมดา ประชาธิปัตย์คงไม่ยอมแน่นอน แต่คนที่ออกมาพูดเป็นถึง น้องเนวิน ก็เลยได้แต่เก็บอาการไม่พอใจไว้ ที่ถูกภูมิใจไทยมาลบเหลี่ยมเอาคืนกันแบบนี้

กระนั้น สิ่งที่ปรากฏภาพความขัดแย้งทั้งหมด กับงานของภูมิใจไทย ในพาณิชย์-คมนาคม-มหาดไทย มันจะไม่ส่งผลให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ล่มสลายไปในเวลาอันรวดเร็วตอนนี้แน่นอน

เพราะทั้งหมด มันก็แค่ปรากฏการณ์ ขบเหลี่ยมเฉือนคมการเมือง แบบหยั่งเชิงกันไปเรื่อยๆ แบบลิ้นกับฟันกระทบกัน เพราะผลประโยชน์ไม่ลงตัว

ครั้นพอเจรจากันได้ที แบ่งเค้ก ต่อรองกันจนอิ่มหนำสำราญ ท้องอิ่มแปล้กันทุกพรรค

สุดท้ายก็คงเหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมา คือก็โทษสื่อมวลชนว่าเสนอข่าวตอกลิ่มให้พรรคร่วมรัฐบาลขัดแย้งกันเกินจริง หรือปัดว่า เป็นเรื่องไม่เข้าใจกันของคนไม่กี่คนในรัฐบาล ทุกอย่างจบแล้ว ไม่มีอะไร

แต่พอแบ่งปันผลประโยชน์ไม่ลงตัว ก็กลับมาฟัดกันอีก

นี่ก็คือวัฏจักรของการเมืองอุบาทว์ สูตรสำเร็จการเมืองน้ำเน่า ที่หลายคนเบื่อหน่าย บนวังวนเดิมๆ ที่นำประชาชนมาจับเป็นตัวประกันบังหน้าเพื่อต่อรองผลประโยชน์

จึงมิใช่เรื่องแปลก ที่คนไทยส่วนใหญ่จะรอคอย การเกิดขึ้นของ“การเมืองใหม่” ด้วยหัวใจระทึก
กำลังโหลดความคิดเห็น