xs
xsm
sm
md
lg

อนุฯ แก้ รธน.เล็งชง 7 ประเด็นแก้ รธน.ให้ กก.สมานฉันท์ ยังเสียงแตกโละ ม.237

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช
ที่ประชุมอนุกรรมการแก้ไขรัฐธรรมนูญเตรียมสรุปรายงานเสนอกรรมการสมานฉันท์ในวันที่ 4 และ 9 มิ.ย.นี้ ชงแก้ รธน.7 ประเด็น ยังเสียงแตกมาตรา 237 ให้ลงโทษแค่หัวหน้าพรรค-กรรมการบริหารหรือไม่ ขณะที่ กมธ.วุฒิ ค้านแก้ 237 ไม่ใช่วิธีแก้นักการเมืองทุจริต เสนอเพิ่มโทษอาญาชี้เป็นอาชญากรรมการเมือง

วันนี้ (28 พ.ค.) ที่รัฐสภา เมื่อเวลา 10.00 น. คณะอนุกรรมการศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่นๆ ซึ่งมี พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช ส.ว.สรรหา ในฐานะประธานอนุกรรมการฯ ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม โดยที่ประชุมได้มีการพิจาณาขอเสนอแนะเกี่ยวกับการบังคับใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ของคณะกรรมาธิการสามัญเพื่อศึกษาการบังคับใช้รัฐธรรมนูญปี 2550 วุฒิสภา โดยนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย ส.ว.สรรหา ในฐานะอนุกรรมการฯได้กล่าวถึงข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการสามัญฯ ในเรื่องประเด็นการยุบพรรคการเมืองและเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งว่า คณะกรรมาธิการสามัญฯ ได้มีความเห็นออกเป็น 4 ความเห็น คือ 1.ประเด็นดังกล่าวไม่ได้เกิดจากรัฐธรรมนูญปี 2550 และในความเป็นจริงการยุบพรรคและเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของหัวหน้าพรรคการเมือง และกรรมการบริหารพรรคการเมือง ในทางปฏิบัติแล้วไม่สามารถทำให้กรรมการบริหารพรรคการเมืองที่ถูกตัดสิทธิทางการเมืองยุติบทบาททางการเมืองได้อย่างแท้จริง นักการเมืองที่ถูกตัดสิทธิอาจเชิดบุคคลอื่นเข้ามามีบทบาททางการเมืองแทน โดยตนเองเป็นผู้อยู่เบื้องหลังขณะที่มีคำสั่งยุบพรรคการเมืองเดิม ก็สามารถตั้งพรรคการเมืองใหม่ได้ การยุบพรรคการเมืองหรือแก้ไขมาตรา 237 ของรัฐธรรมนูญจึงอาจไม่ใช่วิธีการแก้ไขปัญหานักการเมืองทุจริต 2.เห็นว่าจำนวนกรรมการบริหารพรรคการเมืองหรือการแต่งตั้งกรรมการบริหารของพรรคการเมืองควรแต่งตั้งเท่าที่จำเป็นในการบริหารเท่านั้น

นายสุรชัยกล่าวว่า 3.การทุจริตการเลือกตั้งเปรียบเสมือนเป็นการประกอบอาชญากรรมทางการเมือง จึงควรมีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญโดยเพิ่มบทลงโทษทางอาญา กล่าวคือ เมื่อพิสูจน์ได้ว่านักการเมืองผู้ใดนักการเมืองผู้ใดกระทำการทุจริตการเลือกตั้ง นักการเมืองผู้นั้นควรจะต้องรับโทษตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดพร้อมทั้งได้รับโทษอาญาด้วย และ 4.การยุบพรรคการเมืองและเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งจะทำให้มีการสูญเสียบุคลากรที่มีความสามารถหลายด้านอันเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติ ดังนั้น ควรจะต้องพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบและเป็นธรรมสำหรับทุกฝ่ายรวมถึงจะต้องคำนึงถึงประโยชน์ประเทศชาติเป็นสำคัญ

อย่างไรก็ตาม พล.อ.เลิศรัตน์ กล่าวในที่ประชุมว่า ขอให้อนุกรรมการฯนำความเห็นเหล่านี้ไปพิจารณาด้วย ส่วนที่หาว่าตนจะแก้รัฐธรรมนูญนั้น ตนเป็น ส.ว.สรรหาที่มาจากการเสนอของ พล.อ.วินัย ภัททิยกุล อดีตเลขาธิการคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) แล้วจะหาว่าตนจะมาแก้รัฐธรรมนูญได้อย่างไร

จากนั้นที่ประชุมได้พิจาณาร่างรายงานของคณะอนุกรรมการฯที่จะเสนอต่อคณะกรรมการสมานฉันท์ฯ ในวันที่ 4 มิ.ย.และ 6 มิ.ย.นี้ โดยร่างรายงานดังกล่าวได้มีการสรุปประเด็นที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้ทั้งหมด 7 ประเด็น (1.การยุบพรรคการเมืองและเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของหัวหน้าพรรคการเมืองและกรรมการบริหารพรรค มาตรา 64 และมาตรา 237 โดยอนุกรรมการฯเสียงส่วนใหญ่เห็นควรให้ยกเลิกเกี่ยวกับการยุบพรรคและการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคทุกคน ส่วนอนุกรรมการฯส่วนหนึ่งเห็นว่ายังคงไว้ ซึ่งการยุบพรรคและเพิกถอนสิทธิ

(2.ที่มาของ ส.ส.มาตรา 93 ถึงมาตรา 94 ซึ่งอนุกรรมการฯส่วนใหญ่เห็นชอบให้ ส.ส.มาจากการเลือกตั้งแบบเขตเดียวเบอร์เดียว 400 คน และให้มาจากการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ 100 คน และมีอนุกรรมการส่วนหนึ่งเห็นว่าให้ที่มาของส.ส.ยังเป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญปี 50

(3.ที่มาของ ส.ว.มาตรา 111 ถึง 121 อนุกรรมการฯส่วนใหญ่เห็นควรให้แก้ไขที่มาของ ส.ว.โดยให้มาจากการเลือกตั้ง 200 คน แต่อนุกรรมการฯส่วนหนึ่งเห็นว่าให้คงไว้ซึ่งที่มาของ ส.ว.แบบมาจากการเลือกตั้งและการสรรหาซึ่งเป็นไปตามรัฐธรรมนูญปี 50

(4.การทำหนังสือสัญญาที่ต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา มาตรา 190 อนุกรรมการฯมีความเห็นร่วมกันให้คงหลักการเดิมในมาตรา 190 ไว้แต่เพิ่มเติมข้อความเกี่ยวกับประเภทหนังสือสัญญาใดที่ต้องได้รับความเห็นชอบต่อรัฐสภาไว้ในกฎหมายและเร่งรัดให้ออกกฎหมายว่าด้วยการกำหนดขั้นตอนและวิธีการจัดทำหนังสือสัญญาตามความวรรคห้า

(5.การดำรงตำแหน่งทางการเมืองของ ส.ส.มาตรา 265 อนุกรรมการฯเห็นร่วมกันในหลักการที่ให้แก้ไขเฉพาะกรณี ส.ส.ให้สามารถดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ เช่น ตำแหน่งเลขานุการและที่ปรึกษารัฐมนตรี เพื่อให้ ส.ส.ได้มีโอกาสเรียนรู้และสั่งสมประสบการณ์การทำงานด้านการเมืองและการบริหารราชการแผ่นดิน เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมที่จะทำงานในตำแหน่งสำคัญต่อไป

(6.การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชนของ ส.ส.มาตรา 266 อนุกรรกมารฯส่วนใหญ่เห็นชอบให้แก้ไขเพิ่มเติมหลักการในบทบัญญัติมาตรา 266 เพื่อให้ ส.ส.และส.ว.เข้าช่วยทำประโยชน์หรือแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนที่เกิดขึ้นผ่านส่วนราชการต่างๆได้ โดยเห็นว่าควรตัดข้อความในมาตรา 266 (1) ออกแล้วให้กำหนดไว้เช่นเดียวกับมาตรา 111 ของรัฐธรรมนูญปี 40

และ (7.ประเด็นที่มีการเสนอให้มีการแก้ไขเพิ่มเติม เช่น การบัญญัติให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ กรณีบัญญัติของรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นกระบวนการตัดสินโดยศาลเดียว ซึ่งประเด็นดังกล่าวมีความสำคัญ แต่ที่ประชุมเห็นว่ายังไม่ควรนำมาพิจารณาในขณะนี้

อย่างไรก็ตาม นายชำนิ ศักดิเศรษฐ์ ส.ส.สัดส่วนพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะอนุกรรมการ ได้กล่าวติงว่า ในการเสนอแก้ไขมาตรา 237 เกี่ยวกับการซื้อสิทธิขายเสียงเป็นเรื่องเฉพาะตัว โดยหลักการจริงๆการรับโทษน่าไม่เท่ากัน คนที่เป็นกรรมการบริหารพรรคหรือหัวหน้าพรรคควรรับโทษมากกว่าอย่างเช่นเพิกถอนสิทธิทางการเมือง 10 ปี ขณะที่ นายวิรัช รัตนเศรษฐ อนุกรรมการฯ ในส่วนพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา กล่าวว่า ควรจะเขียนลงไปให้ชัดเจนว่าเราแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่ออะไร เพราะจะต้องมีคนสอบถามอยู่แล้วว่ารัฐธรรมนูญที่อนุกรรมการเสนอแก้จะลดความขัดแย้งตรงไหน

พล.อ.เลิศรัตน์ กล่าวว่า หากเราจะเขียนว่าให้รัฐธรรมนูญนี้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้นแต่มันจะไปกระแทกความรู้สึกของคนบางคน ดังนั้น ต้องเลือกใช้คำเพื่อให้เกิดความสมานฉันท์ ไม่ให้คนอื่นรู้สึกว่าเราไปหักหาญน้ำใจเขา ดังนั้นตนจึงเลือกที่จะเขียนว่าได้ศึกษาแก้ไขรัฐธรรมนูญในเฉพาะประเด็นหลักๆ ที่เห็นว่าเป็นปัญหาและอุปสรรคต่อการปฏิบัติงานของฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร
กำลังโหลดความคิดเห็น