ถ้าพิจารณาอย่างเป็นธรรมก็ถือว่าหลายอย่างมีประโยชน์ต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้คนมีงานทำอีกมากมาย แต่น่าเสียดายที่ก่อนหน้านี้รัฐบาลไม่รู้จักโฆษณาประชาสัมพันธ์ หรือชี้แจงให้ประชาชนได้เห็นถึงข้อดีได้มากเท่าที่ควร ในทางตรงกันข้ามกลับปล่อยให้ฝ่ายค้านนำไปขยายผลตอกย้ำให้ เห็นว่าดีแต่กู้เงิน หรือ “ลูกอีช่างกู้” สร้างแต่ภาพเลวร้าย
แม้ว่าการที่พรรคเพื่อไทยสามารถชะลอร่างพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ วงเงิน 4 แสนล้านบาท หรือที่เรียกกันติดปากว่า พ.ร.ก.กู้เงิน 4 แสนล้าน โดยให้ ส.ส.เข้าชื่อกันเพื่อเสนอ ชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภายื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญตีความว่าพระราชกำหนดดังกล่าวขัดกับรัฐธรรมนูญหรือไม่
ถือว่าเป็นความสำเร็จของพรรคเพื่อไทยที่สามารถขัดขวางไม่ให้รัฐบาลออกพระราชกำหนดฉบับนี้ได้ตามเวลาที่กำหนดเอาไว้ ซึ่งนั่นหมายความว่าจะต้องรอผลการตีความจากศาลรัฐธรรมนูญออกมาเสียก่อน
แม้ว่าในทางปฏิบัติแล้วศาลรัฐธรรมนูญคงจะมีการดำเนินการตามขั้นตอนอย่างเร่งด่วน โดยไม่ชักช้า แต่เราก็ยังไม่อาจไปกำหนดเป็นตารางล่วงหน้าได้
ขณะที่การกำหนดเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณ รายจ่ายประจำปี 2553 ในราวกลางเดือนมิถุนายน ซึ่งหากโชคดีก็อาจนำเข้าบรรจุในคราวเดียวกันก็เป็นได้
ขณะเดียวกันกลายเป็นว่า ร่างพระราชกำหนดฉบับนี้ต้องสะดุดลงชั่วคราว และยังไม่รู้ว่าจะสามารถนำเข้าพิจารณาในที่ประชุมรัฐสภาได้เมื่อไหร่ เนื่องจากจะมีการปิดประชุมสมัยประชุมสามัญทั่วไป ในวันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคมนี้แล้ว
อย่างไรก็ตามแม้ว่านาทีนี้จะมองว่าเป็นการใช้สิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ และอ้างได้ว่ามีเจตนาเพื่อตรวจสอบการบริหารงาน และการใช้เงินตามกฎหมาย เพราะการกู้เงินดังกล่าวเป็นการกู้เงินนอกกรอบงบประมาณ
แต่หากพิจารณาจาก “แบ็กกราวด์” ของพรรคเพื่อไทยที่มักมีการเคลื่อนไหวทั้งในและนอกสภาเพื่อสร้างความปั่นป่วนให้กับรัฐบาลอยู่ตลอดเวลา และการยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความก็มองได้ว่าเป็นการใช้ “แง่มุม” ทางกฎหมายมาเตะถ่วง ไม่ให้บริหารได้สะดวก
เพราะถ้าดูตามลักษณะของพระราชกำหนดความหมายมันก็บอกอยู่ในตัวชัดเจนแล้วว่าต้องมีความจำเป็น “เร่งด่วน” หากชักช้าหรือออกเป็นพระราชบัญญัติอาจจะไม่ทันการณ์ จึงได้เปิดช่องเอาไว้ให้
และเมื่อพลิกดูรายละเอียดแต่ละโครงการที่รัฐบาลเตรียมการเอาไว้สำหรับการกู้เงินในวงเงิน 4 แสนล้านบาท เพื่อนำมาใช้สำหรับการพัฒนาในระยะเร่งด่วน เป้าหมายก็เพื่อฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะที่ 2 หลังจากก่อนหน้านี้ได้ใช้เม็ดเงินก้อนหนึ่งไปกระตุ้น แต่ยังไม่เห็นผลมากนัก
เพื่อให้เห็นภาพจะยกตัวอย่างแต่ละโครงการมาเป็นตัวอย่าง เช่น ลงทุนเรื่องบริหารจัดการน้ำ การขนส่ง ทั้งระบบถนนและระบบราง ระบบรถไฟฟ้า การศึกษา สาธารณสุข เป็นต้น
แต่ละโครงการสามารถจ้างงาน สร้างโอกาสในการพัฒนาเพื่อรองรับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในอนาคต และที่สำคัญแต่ละโครงการที่จะดำเนินการนั้นสามารถชะลอหรือยับยั้งการเลิกจ้างแรงงานหรือจะมีการจ้างงานใหม่ได้อีกนับล้านคน
ซึ่งถ้าพิจารณาอย่างเป็นธรรมก็ถือว่าหลายอย่างมีประโยชน์ต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้คนมีงานทำอีกมากมาย แต่น่าเสียดายที่ก่อนหน้านี้รัฐบาลไม่รู้จักโฆษณาประชาสัมพันธ์ หรือชี้แจงให้ประชาชนได้เห็นถึงข้อดีได้มากเท่าที่ควร ในทางตรงกันข้ามกลับปล่อยให้ฝ่ายค้านนำไปขยายผลตอกย้ำให้ เห็นว่าดีแต่กู้เงิน หรือ “ลูกอีช่างกู้” สร้างแต่ภาพเลวร้าย
ที่ผ่านมารัฐบาลไม่เคยใช้สื่อของรัฐให้เป็นประโยชน์ หรือรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะรัฐมนตรีคลัง กรณ์ จาติกาวณิช แม้จะพยายามชี้แจง แต่กลับมุ่งแต่เรื่องเม็ดเงินที่นำมาใช้ หรือเรื่องของแหล่งเงินกู้ พูดถึงแต่ตัวเลขจนชาวบ้านเวียนหัว
ขณะที่ผลดีทางเศรษฐกิจที่จะตามมาอย่างมหาศาล หากมีการลงทุนตามโครงการดังกล่าว ที่สำคัญจะมีการจ้างงาน รองรับแรงงานใหม่ที่เป็นคนหนุ่มสาวที่เพิ่งจบการศึกษามาใหม่ๆได้อีกนับล้านๆคน ธุรกิจจะเจ๊งน้อยลง กลับไม่นำเรื่องดังกล่าวมาขยายผล
จึงช่วยไม่ได้ที่จะถูกฝ่ายค้าน อย่างพรรคเพื่อไทยนำมายบิดประเด็นให้สังคมได้เห็นว่าการกู้เงินมีแต่เรื่องเลวร้าย พร้อมทั้งนำไปตีกินเปรียบเทียบกับยุคของ นช.ทักษิณ ชินวัตร ที่เน้นย้ำแต่เรื่องการปลดหนี้ไอเอ็มเอฟ หน้าตาเฉย ซึ่งก็มีคนไม่น้อยที่เห็นคล้อย ตาม
ทั้งที่ในความเป็นจริงนั้นมันคนละ เรื่อง เพราะหากเป็นการกู้เงินเพื่อการลงทุน มันก็ถือว่าเป็นผลดี และที่สำคัญการกู้เงินไม่ว่าทั้งในและต่างประเทศคนที่กู้ต้องมีเครดิต
แม้ว่านาทีนี้จะถือว่าการยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ พระราชกำหนดเงินกู้ 4 แสนล้านของพรรคเพื่อไทยจะเป็นการใช้สิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ เป็นการตรวจสอบฝ่ายบริหาร
แต่ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งถือว่าเป็นเจตนาที่มิชอบ หรือต้องการขัดขวางไม่ให้รัฐบาลทำงานได้สะดวก และเป็นเกมการเมืองที่มุ่งโค่นล้มรัฐบาล โดยไม่คำนึงประเทศชาติจะเสียโอกาส และนำไปสู่วิกฤตไม่สิ้นสุด
ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากทุกองค์ประกอบตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ความเคลื่อนไหวทั้งในและนอกสภา ดูเหมือนมีเจตนาทำให้บ้านเมืองฉิบหาย เพื่อให้ “นายใหญ่” ได้สมหวังหรือไม่ !!