ผู้ประสานงาน พธม.ติง กก.ปรองดองหลงทางสมานฉันท์ หยุดทำร้ายประเทศไทย เลิกวาระซ่อนเร้นตั้งธงหวังแก้รัฐธรรมนูญ ค้านทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญ ระบุ เปลืองงบประมาณ ชี้ ปัญหาเกิดจากนักการเมืองมักง่าย หวั่นเป็นระเบิดเวลาลูกใหม่ แนะวางกรอบการทำงานใหม่ก่อน
วันนี้ (6 พ.ค.) นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า ตนไม่เห็นด้วยกับวิธีการทำงานของคณะกรรมการเพื่อความปรองดอง สมานฉันท์ และศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ตั้งธงแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือการนิรโทษกรรมเป็นประเด็นสำคัญ ซึ่งวิธีคิดแบบนี้ถือว่าไม่เข้าใจความขัดแย้งในสังคม แล้วยังหลงทางจะทำให้ความแตกแยกขยายตัว เพราะความสมานฉันท์เป็นเรื่องใหญ่กว่าแก้ไขรัฐธรรมนูญ ถือเป็นการเริ่มต้นและวางกรอบทำงานที่ผิดพลาด ซ้ำร้ายอาจจะทำให้คณะกรรมการปรองดองไม่ได้รับการยอมรับจากสังคม เพราะทำให้สังคมเข้าใจและหวาดระแวงว่ากรรมการปรองดองมีวาระซ่อนเร้นหรือหวังแก้รัฐธรรมนูญเพื่อช่วยเหลือพวกพ้อง
ผู้ประสานงานพันธมิตรฯ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ความพยายามเสนอให้มีการจัดลงประชามติว่าเห็นสมควรแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่นั้นยิ่งทำให้ประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญกลายเป็นระเบิดเวลาทางการเมือง คล้ายๆ กับการลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 แม้การลงประชามติเป็นหลักการประชาธิปไตยที่ดี แต่ถูกคนบางกลุ่มบิดเบือนหลักการให้กลายเป็นเรื่องเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับระบอบทักษิณหรือการรัฐประหารไปในที่สุด
“ครั้งนี้ก็เช่นกันถ้ามีการลงประชามติสุดท้ายก็จะกลายเป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเอาไม่เอา พ.ต.ท.ทักษิณ หรืออำมาตยาธิปไตยไปในที่สุด เสียเวลา และเปลืองงบประมาณโดยไม่จำเป็น และยังสะท้อนวิธีคิดแบบมักง่ายหรือด่วนสรุปว่ารัฐธรรมนูญเป็นปัญหา ทั้งๆ ที่พฤติกรรมและวัฒนธรรมการเมืองแบบเก่าของบรรดานักการเมืองต่างหากที่สร้างปัญหาและทำร้ายประเทศไทยอยู่ในขณะนี้ ผมอยากให้คณะกรรมการปรองดองตั้งกรอบการทำงานที่กว้างกว่าการรื้อรัฐธรรมนูญ หรือการนิรโทษกรรม เพราะแนวทางปรองดองสมานฉันท์ต้องทำหลายแนวทางควบคู่กันไป โดยเฉพาะการออกแบบการเมืองใหม่ ซึ่งต้องใช้เวลาและมีกระบวนการทำงานที่น่าเชื่อถือกว่านี้ เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญควรจะเป็นขั้นตอนสุดท้ายด้วยซ้ำ” นายสุริยะใส กล่าวและว่า ประการสำคัญ กรรมการปรองดองต้องไม่ชี้นำประชาชน ควรเป็นเพียงเจ้าภาพ หรือฝ่ายอำนวยการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนให้มากที่สุด ค่อยมาสังเคราะห์และประมวลเป็นข้อสรุปให้ทุกฝ่ายตัดสินใจอีกครั้งหนึ่ง