หลังจากฝุ่นควันที่ตลบอบอวลในช่วง “สงกรานต์ทมิฬ”จางลง อะไรๆก็เริ่มชัดขึ้น โดยเฉพาะเมื่อนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สามารถดึงอำนาจกลับมาสู่ในมืออีกครั้ง และค่อยๆกระชับอำนาจนั้น
หมากเกมที่วางไว้ซับซ้อนซ่อนเงื่อน ปมที่ผูกไว้หลายชั้นถูกคลี่คลายลงที่ละเปราะ โดยเฉพาะกับเกมโค่นอำนาจรัฐบาล “ลอบสังหาร”นายกฯโอบามาร์ค
ไม่ใช่ประเด็นเรียกคะแนนสงสาร สร้างภาพว่าถูกกระทำเท่านั้น เพราะอย่างน้อยๆก็สองครั้งสองหน ในช่วงเวลาไม่กี่วัน
แผนการปลิดชีพผู้นำประเทศไทยเกิดขึ้นจริง
ไม่เพียงกลุ่มคนเสื้อแดง ที่รุมล้อมจ้องทำลายรถประจำตำแหน่งนายกฯที่เมืองพัทยา หรือหลังจากนั้นที่กระทรวงมหาดไทย ที่มีการระดมเสื้อแดงระดับฮาร์ดคอร์ไล่ล่าสังหาร โดยมีรถทหารปิดกั้น สกัดทางออก “อภิสิทธิ์”ไล่เบี้ยจนรู้ตัวผู้ก่อเหตุแล้ว
เหตุที่พัทยา วันประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา ยังมีข้อมูลที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้น เพราะงานนั้นถึงขึ้นที่ว่าจะมีการ “จี้ชิงตัวนายกฯ”
ตามแผนยึดอำนาจรัฐ
รวมทั้งกรณี “คาร์บอมบ์” ก็มีข่าวจากหน่วยงานความมั่นคง รายงานว่ามีกลุ่ม “คนมีสี” คิดใช้วิธีการรุนแรงลักษณะนี้กับผู้นำประเทศเช่นกัน
ทั้งสองปมนี้เอง ที่ทำให้ “อภิสิทธิ์”ตัดสินใจขึ้นเฮลิคอปเตอร์มาลงและเข้าพักที่ค่ายกรมทหารราบที่1มหาดเล็กรักษา พระองค์ (ร.1รอ.)ถนนวิภาวดีรังสิต ทันทีที่เสร็จจากการส่งแขกบ้านแขกเมืองที่ จ.ชลบุรี
เดินเข้าสู่“ถ้ำเสือ”โดยไม่หวาดหวั่นยำเกรง เพราะหากจะถูกจับตัว
“ก็ให้ทหารจับไปเลย จะมีศักดิ์ศรีกว่า” นายกฯอภิสิทธิ์ปรารภกับคนสนิท
ต้องถือว่า การผ่านเหตุการณ์ใหญ่ที่มีความสุ่มเสี่ยงในอันตรายสูงเป็นโอกาสที่“อภิสิทธิ์”ได้พิสูจน์ตัวเองในการเป็น “ผู้นำที่แท้จริง” ในยามวิกฤตและคับขัน
“เด็กหนุ่ม”ในคำปรามาส บัดนี้ได้พิสูจน์ทราบให้เห็นแล้วว่า “อ่อนนอกแข็งใน”
นอกจากจะสามารถสยบฝ่ายตรงข้ามโดยตรง หลังการปะทะกับกลุ่มคนในระบอบทักษิณ โดยทักษิณ เพื่อทักษิณ ที่จัดตั้งขึ้นในนามกลุ่ม “เสื้อแดง”ได้อยู่หมัด บรรดาเสือสิงห์กระทิงแรด ทั้งใกล้ตัวไกลตัวก็ถูกกำราบเรียบ
“พยัคฆ์”ไม่ว่าจะสีไหนสีใด เกิดอาการ“เซื่อง”ไปทันที
เพราะไม่มีอะไรรับประกันความปลอดภัยจากเขี้ยวเล็บที่หุบหลบ เพื่อรอโอกาสอีกครั้ง ดังนั้นจากนี้ไปจึงเป็นเวลาที่ “อภิสิทธิ์”จะต้องทำสิ่งที่ควรทำ นอกเหนือไปจากผ่อนสถานการณ์ร้อน ดึงเกมภายนอกกลับเข้าสู่สภาฯ
จักต้องจัดองคาพยพของรัฐบาลกันใหม่ โดยเฉพาะสายงานด้านความมั่นคง หาวิธีการ“หักเขี้ยวเสือ” ก่อนถูกขย้ำซ้ำอีกครั้ง
สำหรับ “สีเขียว”อำนาจท็อปบู๊ต คงไม่ต้องบอก นายกฯอภิสิทธิ์ คงรับข้อมูลพรั่งพรู รู้เส้นสนกลใน“ขั้วอำนาจใหม่” จนบรรดา “พี่เสือ”ทำเซื่องๆ หลบสายตากันเป็นแถว
จะเชื่องจริงหรือไม่ ก็กรองข้อมูลตรองดู เพราะสถานการณ์แบบนี้ จะไว้วางใจใครไม่ได้ และก็ไม่ใช่เฉพาะ“สีเขียว” เงาทะมึนของท็อปบู๊ตที่พาดผ่านเมื่อเหตุการณ์ “สงกรานต์ทมิฬ”
กับเกมล่าสังหาร แผนการ“จับตัว”ล็อกตัวผู้นำ มีอีก 2 สีที่ต้องไล่เบี้ย
“สีขาว” ที่มีข้อมูลว่า ระดับ“นายพลกองทัพเรือ”นายหนึ่งก็เป็นคีย์แมนระดับกลจักรสำคัญในการขับเคลื่อนแผนลับ ใช้“ลูกประดู่”จากสายนาวิกโยธินบางส่วน“ชิงตัว”ยึดอำนาจ
จะให้ดี “นายกฯโอบามาร์ค”ต้องตีเหล็กช่วงไฟกำลังร้อน อำนาจกลับมาอยู่สองมือเต็มๆ สะกิดเรียกแม่ทัพเรือ พล.ร.อ.กำธร พุ่มหิรัญ ผบ.ทร. แห่งตท.10 เพื่อนรุ่นเดียวกับพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา และพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษชายหนีคดีอาญามาไถ่ถามดูบ้างก็ดี
อีกสีที่ไม่พลาด “สีกากี” ตำรวจที่ ส่วนใหญ่ไม่ใช่แค่ใส่ “เกียร์ว่าง” ถึงขึ้น“ดับเครื่อง” เดินไปสวม เสื้อแดงด้วยซ้ำ เพราะมองกันแค่สั้นๆ ว่าเคยได้เสพสุขในยุค “รัฐตำรวจทักษิณ”
ทั้งๆ ที่หากลองคิดให้ดี ยุคตำรวจครองอำนาจรัฐ นายตำรวจชั้นผู้น้อยอยู่ดีมีสุขกันแค่ไหน หากเปรียบเทียบกับความเปรมปรีดิ์ของ“ตัวใหญ่”ดาวประดับบ่าเป็นแผง
ชั้นผู้น้อย ตัวเล็กยังต้องตากแดดตากลม ตั้งด่าน เข้าเวร ออกตรวจ วิ่งถือเตารีดไล่บี้“ทำยอด”ส่งต่อสู่เบื้องบนกันหนักแค่ไหน
และที่มองว่า ทำไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น อยู่เฉยๆดีกว่าซ้ำรอย “ซวย” กลัวต้องกลายเป็น“เหยื่อ” เหมือนกรณี“7 ตุลาเลือด” ก็ลองคิดกันให้ดี ที่ต้องตกเป็นแพะรับบาป เพราะอะไร?
“ตัวใหญ่”ผู้บงการ ฝ่ายการเมืองตัวไหนที่หนีความรับผิดชอบ นายกฯ“หน้าเนื้อ”รายนั้น ใช่ สมชาย วงศ์สวัสดิ์หรือไม่ และเป็นผู้นำนอมินี“น้องเขยทักษิณ”หรือเปล่า ที่สั่งแล้วชิ่งหนี?
หน้าที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ คือ พิทักษ์-สันติ ให้แก่ราษฎรประชาชน-พึงสังวรไว้!
ย้อนกลับมาเรื่อง “สีกากี”ในแผนโค่น“โอบามาร์ค” เหตุเกิดที่เมืองพัทยา ที่หนีความรับผิดชอบไม่พ้น พล.ต.ท..อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้ช่วย ผบ.ตร.
“บิ๊กอู๋”ผู้เป็นขวัญใจของสื่อมวลชน โดยเฉพาะกับงานใน3จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้รับการยอมรับจากฝ่ายทหาร อีกทั้งคำเชียร์ว่ามีประสบการณ์ระดับโลก ดูแลการประชุมอังค์ถัดมาแล้ว
แต่กับภารกิจที่ได้รับมอบหมาย ให้ดูแลการรักษาความปลอดภัย สถานที่ประชุม โรงแรมที่พัก และการเดินทางของบุคคลสำคัญ ที่เมืองพัทยา จ.ชลบุรี
ประเมินจากผลงานก็น่าคิดว่า พล.ต.ท.อดุลย์ “ล้มมวย”หรือไม่?
ก็ไม่รู้ทำไม พล.ต.อ..พัชรวาท ยังไว้วางใจให้รับผิดชอบในตำแหน่ง หัวหน้ากองอำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินของ สตช.หลังจากนั้นอีก
เพราะอีกกระแสข่าวหนึ่งเกี่ยวกับนายตำรวจรายนี้ ก็ถูกพูดหนาหู โดยการสรุปจากผลลัพธ์ในการทำงาน ก็อาจจะมองได้ว่า เป็นนายตำรวจแนวร่วมของ “เสื้อแดง” กลุ่มคนที่ต้องการฟื้นอำนาจระบอบทักษิณ
ยุคนายกฯตำรวจเก่า ที่ พล.ต.ท.อดุลย์ เติบโตพรวดพราด? แต่ยุคนี้ท่าจะถูกดองเค็มในหลุมดำ
ตำรวจทาสทักษิณมีอยู่จำนวนหนึ่ง บางคนเห็นหน้าตาซื่อๆน่าไว้ใจเป็นมืออาชีพ แต่ที่ไหนได้แอบวางยารัฐบาลมาแล้ว จนเกือบสิ้นลมหายใจในงานใหญ่ระดับนานาชาติ ส่วนตำรวจผู้น้อยก็แสบไม่แพ้ลูกพี่ ทั้งรับค่าจ้างเข้าร่วมชุมนุมขับไล่รัฐบาล จนกระทั่งถึงรับจ๊อบเผาบ้านเผาเมือง
หากไม่ “ล้างบาง”ตำรวจชั่วเหล่านี้ มีหวัง “โอบามาร์ค”สะดุดเท้าตำรวจแน่
ต้องย้ำว่า ตรงนี้ไม่ได้ยุยงให้นายกฯอภิสิทธิ์ ต้องกำจัดสีกากีให้ราบพนาสูญ เพียงแต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติยามนี้ ต้องเปลี่ยนแปลงปรับปรุงการทำงาน ให้ตำรวจมีทัศนคติที่ถูกต้อง ในการเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พร้อมจะเสียสละทำหน้าที่เป็นกลไกหลักในงานด้านความมั่นคงให้แก่รัฐบาล และเพื่อเป็นเสาค้ำสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์
แต่ตอนนี้มีแต่ “สีกากีทาสทักษิณ”เกลื่อนใน สตช. ดังนั้น สีกากีรายไหนควรโละทิ้ง ตำรวจแบบไหนควรเรียกใช้งาน นายกฯต้องพิจารณาเองอย่างละเอียดลออ กะเทาะดูเนื้อในให้เห็นชัดแจ้งเสียก่อน ค่อยมอบงาน มิฉะนั้นมีหวังซ้ำรอยโดนแทงข้างเหมือนเหตุพัทยาอัปยศอีกรอบ
ฝากเตือนสติไปถึง พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.ที่ ณ เวลานี้ ขอให้นึกถึงประเทศชาติบ้านเมืองเป็นสำคัญ ถึง พี่ชาย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม จะเป็นหัวขบวนเครือข่าย “ขั้วอำนาจใหม่” เกี่ยวโยงทั้งสีน้ำเงิน-สีแดง โดยเฉพาะ นช.ทักษิณ ยุคเรืองอำนาจ ที่ตั้งพล.อ.ประวิตรเป็นผบ.ทบ.
โดยที่ต้องเสนอพะนะทั่น พล.ต.อ.พัชรวาทอีกเรื่อง ก็คือให้เร่งรีบสะสาง จัดการคดีความอย่างไม่ลูบหน้าปะจมูก ให้ทุกคดีความได้รับการพิจารณาอำนวยความเป็นธรรมอย่างเสมอภาค ทั้งคดี “ลอบยิง” คุณสนธิ ลิ้มทองกุล และคดีสำคัญๆอย่างการลอบสังหารองคมนตรี เพื่อดึงบ้านเมืองกลับสู่ความเป็น“นิติรัฐ”
รวมทั้งอีก 2 คดีใหญ่ ที่ต้องจัดการ...
คือ คดีแผนก่อวินาศกรรมที่อาคารสำนักงานใหญ่ธนาคารกรุงเทพ และ คดีเผาอาคารบริษัทซีพี
ที่พนักงานสืบสวนสอบสวนจนได้ข้อมูล และเสนอตรงต่อฝ่ายรัฐบาลให้ทราบในเบื้องต้นแล้ว
มี “สีกากี”เข้าไปเกี่ยวข้อง
โดยที่ต้องรอชมจากซีดี1ล้านแผ่น ที่จะมีคลิปวิดีโอ ที่ถ่ายไว้ชัดเจน เหตุการณ์ก่อวินาศกรรมที่ตึกแบงก์กรุงเทพ มีนายตำรวจรายหนึ่ง นั่งมอเตอร์ไซค์มาสั่งการด้วยตัวเอง
ถึงจะไม่ได้สวมเครื่องแบบเต็มยศ สวมกางเกงสีกากี ใส่เสื้อแดง อาจจะไม่ชัดเจนว่าเป็นตำรวจ แต่ที่ทำให้รู้ว่ารายนี้คือตำรวจพฤติกรรมชั่วช้าสามานย์ เพราะตัวเองดันทำพลาดไปคือ
ถึงจะแต่งครึ่งท่อนอำพรางตัวด้วยเสื้อแดงแล้ว แต่หมวกที่ใส่ปิดใบหน้าดันเป็น“หมวกตำรวจ”
ซ่า แต่เซ่อสุดๆ
คลิปประจานพฤติกรรม “ตำรวจชั่ว” จะถูกแจกจ่ายให้รับรู้กันทั่วประเทศเร็วๆ นี้
อีกคดี ที่หน้าตึกซีพี ผลการสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รับผิดชอบคดี สาวไปถึงตัวการใหญ่เรียบร้อย “กลุ่มคน”ที่จ้างวาง ตัวใหญ่มีบทบาทอยู่บนเวทีปราศรัย ในลักษณะเป็นอีกหนึ่งกลุ่มแนวร่วมคนเสื้อแดง
เป็นแกนนำกลุ่มคนที่ก่อตั้งรวมตัวกันทางเว็บไซต์ และจัดชุมนุมต่อต้านทหาร คมช.มาตั้งแต่ยุคเริ่มรัฐบาลขิงแก่ ในนาม “คนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ”
จากการสาวไปถึงตัวการใหญ่ ได้จ้างวาน“ทีมงานสีกากี”โดยตำรวจบางราย สมรู้ร่วมคิด วางแผนเผาตึกซีพี ป่วนเมือง
“สีกากี”ชุดนี้ ต้องเอาตัวมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ลากคอมาลงโทษตามกฎหมายกบิลเมือง ไม่ให้ไปก่อกรรมทำเข็ญทำร้ายประเทศชาติได้อีก
เพื่อฟื้นฟูความเป็น“นิติรัฐ” ที่ส่วนหนึ่ง “ตำรวจนอกรีต” สีกากีคิดชั่วกลุ่มใหญ่ ก้มหัวรับใช้ “ตัวพ่อ”ทักษิณ ร่วมกันทำลายชาติ!