นายกรัฐมนตรี ยืนยัน เหตุการณ์ 7 ตุลาเลือด ยึดผลสอบของ ป.ป.ช.เป็นหลัก ย้ำ ชี้ว่าผิดก็คือผิด หลัง “พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง” ผู้ช่วย ผบ.ตร.ลองของลุกขึ้นถาม ขณะเป็นวิทยากรบรรยายเรื่องเศรษฐกิจกับการเมืองไทย โดยอ้างเหตุสลายม็อบ 7 ต.ค.ตำรวจทำไปตามนโยบาย โดยตำรวจหลายคนตกเป็นเหยื่อ แต่ประชาชนที่เขาสูญเสียจะเรียกว่าอะไร
วันนี้ (9 ม.ค.) ที่สถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม เมื่อเวลา 09.00 น.นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เดินทางมาเป็นวิทยากรบรรยาย เรื่อง เศรษฐกิจกับการเมืองไทย ให้กับผู้เข้าอบรมหลักสูตรผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง (บ.ย.ส.) รุ่นที่ 13
ภายหลัง นายอภิสิทธิ์ ได้ตอบคำถามผู้สื่อข่าวถามว่า เมื่อวานนี้ได้มีการพูดคุยกับ ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่องการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจและการดูแลเว็บไซต์หมิ่นต่างๆ จะทำให้ปัญหาเบาบางหรือไม่
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในส่วนของเว็บไซต์นั้น คิดว่า จะทำให้การประสานงานดีขึ้น ซึ่งได้ให้หลักว่าอะไรบ้างที่พึงกระทำและไม่พึงกระทำ
“เรื่องเว็บไซต์ก็ต้องยึดมาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับของสากล ซึ่งจะมีเรื่องของสิทธิเสรีภาพเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย บางครั้งก็ไม่ง่ายที่จะแยกแยะ ก็ให้หลักไปว่าฟังจากกระทรวงไอซีที กับฝ่ายความมั่นคงคิดว่าการทำงานน่าจะดีขึ้น ส่วนกรณีของผู้ที่ก่อความวุ่นวาย หรือคดีความต่างๆ นั้นก็ให้แยกดำเนินการมาก่อน เช่น กรณีการทำร้ายร่างกาย ทำลายทรัพย์สินให้ตำรวจดำเนินการอย่างจริงจัง แต่ถ้าความผิดใดที่เกี่ยวกับการเมืองก็อาจจะต้องมาพิจารณาดูด้วยความเข้าใจในสภาพแวดล้อมของปัญหา ในส่วนของการทำลายทรัพย์สินหรือร่างกายนั้น ผมย้ำเลยว่าไม่ใช่ว่าไปเจาะจงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง” นายกรัฐมนตรี กล่าว
เมื่อถามถึงว่า ระหว่างการบรรยายนั้น พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้ช่วยผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้เข้าร่วมอบรม ได้ลุกขึ้นถามว่าในเหตุการณ์สลายม็อบ 7 ต.ค.ที่หน้ารัฐสภา ตำรวจทำไปตามนโยบายเท่านั้น โดยตำรวจหลายคนตกเป็นเหยื่อของเหตุการณ์นั้น แล้วประชาชนที่เขาสูญเสียจะเรียกว่าอะไร
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนไม่อยากไปขัดแย้งกัน แต่ก็เรียนให้ทราบว่า เหตุการณ์ดังกล่าวประชาชนสูญเสียแน่นอน ส่วนเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้น ตนเชื่อว่าการสอบสวนของ ป.ป.ช.จะให้กับเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ถ้า ป.ป.ช.ชี้ว่าผิดก็คือผิด
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า จะทำอย่างไรให้ตำรวจมีค่านิยมที่จะต้องรักษาความปลอดภัย ไม่ใช่ทำตามคำสั่งนายแต่เพียงอย่างเดียว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ส่วนที่ตนทำได้แน่นอน คือ รัฐบาลนี้จะดำเนินนโยบายโดยไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำรอยกับเหตุการณ์ในอดีต และคิดว่า ได้มีการพิสูจน์มาแล้วช่วงที่มีการล้อมสภา และได้อธิบายเพิ่มเติมว่าจะไม่ไปกดดันให้ตำรวจทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แต่ถ้ามีเจ้าหน้าที่คนใดไม่ดำเนินการตามนโยบาย เขาคนนั้นคงไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบได้ ซึ่งแนวทางดังกล่าวก็ต้องค่อยๆ ปรับไป
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีกระทรวงมหาดไทยจะมีการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับที่ดินศรีสุบรรณฟาร์ม และที่ดินสนามกอล์ฟ อัลไพน์ จะให้ความเชื่อมั่นว่าจะไม่มีการเลือกปฏิบัติได้หรือไม่
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่เฉพาะสองกรณีนี้ ขอย้ำว่า ทุกอย่างต้องเป็นไปตามเนื้อผ้า หลักง่ายๆ ก็คือ คนที่ทำคดีจะต้องหลับตาไม่รู้ว่าคนนั้นเป็นใคร ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรก็ว่าไปตามนั้น ยืนยันไม่มีการเมืองเข้าไปแทรกแซง ส่วนกรณีที่อธิบดีกรมที่ดินคนปัจจุบันพูดในทำนองว่าเขายอมถูกเด้งดีกว่าติดคุกนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ก็ดี เป็นทัศนคติที่ถูกต้อง เพราะว่าอย่างที่เรียนถ้าทำอะไรผิดก็ไม่มีใครสามารถไปคุ้มครองได้ ตนคิดว่าบทเรียนเหล่านี้ สำหรับเจ้าหน้าที่ถือว่าสำคัญที่สุด
อย่างไรก็ตาม นายอภิสิทธิ์ ให้สัมภาษณ์ถึงมาตรการช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจให้กับประชาชนว่า การช่วยเหลือค่าครองชีพ คนที่มีเงินเดือนประจำมีทางเลือกอยู่ 2-3 ทาง รัฐบาลจะดูแลเรื่องมาตรการทางภาษี อีกทางหนึ่ง คือ รายได้ของเขาโดยตรง ก็จะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่อยู่ภาคเอกชนรัฐบาลจะพิจารณาช่วยเหลือในส่วนของประกันสังคม โดยมีข้อเสนอว่ารัฐบาลจะจ่ายเงินประกันสังคมในส่วนของลูกจ้างให้ สำหรับเม็ดเงินที่ต้องจ่ายก็จะนำไปเปรียบเทียบกับมาตรการช่วยเหลือด้านอื่น ส่วนผู้ที่อยู่ภาครัฐก็จะพิจารณาเรื่องเงินเพิ่มช่วยค่าครองชีพสำหรับข้าราชการชั้นผู้น้อย ขณะนี้กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างหารือว่าจะหาใช้แนวทางไหน คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในวันที่ 13-14 ม.ค.นี้
วันนี้ (9 ม.ค.) ที่สถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม เมื่อเวลา 09.00 น.นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เดินทางมาเป็นวิทยากรบรรยาย เรื่อง เศรษฐกิจกับการเมืองไทย ให้กับผู้เข้าอบรมหลักสูตรผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง (บ.ย.ส.) รุ่นที่ 13
ภายหลัง นายอภิสิทธิ์ ได้ตอบคำถามผู้สื่อข่าวถามว่า เมื่อวานนี้ได้มีการพูดคุยกับ ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่องการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจและการดูแลเว็บไซต์หมิ่นต่างๆ จะทำให้ปัญหาเบาบางหรือไม่
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในส่วนของเว็บไซต์นั้น คิดว่า จะทำให้การประสานงานดีขึ้น ซึ่งได้ให้หลักว่าอะไรบ้างที่พึงกระทำและไม่พึงกระทำ
“เรื่องเว็บไซต์ก็ต้องยึดมาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับของสากล ซึ่งจะมีเรื่องของสิทธิเสรีภาพเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย บางครั้งก็ไม่ง่ายที่จะแยกแยะ ก็ให้หลักไปว่าฟังจากกระทรวงไอซีที กับฝ่ายความมั่นคงคิดว่าการทำงานน่าจะดีขึ้น ส่วนกรณีของผู้ที่ก่อความวุ่นวาย หรือคดีความต่างๆ นั้นก็ให้แยกดำเนินการมาก่อน เช่น กรณีการทำร้ายร่างกาย ทำลายทรัพย์สินให้ตำรวจดำเนินการอย่างจริงจัง แต่ถ้าความผิดใดที่เกี่ยวกับการเมืองก็อาจจะต้องมาพิจารณาดูด้วยความเข้าใจในสภาพแวดล้อมของปัญหา ในส่วนของการทำลายทรัพย์สินหรือร่างกายนั้น ผมย้ำเลยว่าไม่ใช่ว่าไปเจาะจงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง” นายกรัฐมนตรี กล่าว
เมื่อถามถึงว่า ระหว่างการบรรยายนั้น พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้ช่วยผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้เข้าร่วมอบรม ได้ลุกขึ้นถามว่าในเหตุการณ์สลายม็อบ 7 ต.ค.ที่หน้ารัฐสภา ตำรวจทำไปตามนโยบายเท่านั้น โดยตำรวจหลายคนตกเป็นเหยื่อของเหตุการณ์นั้น แล้วประชาชนที่เขาสูญเสียจะเรียกว่าอะไร
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนไม่อยากไปขัดแย้งกัน แต่ก็เรียนให้ทราบว่า เหตุการณ์ดังกล่าวประชาชนสูญเสียแน่นอน ส่วนเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้น ตนเชื่อว่าการสอบสวนของ ป.ป.ช.จะให้กับเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ถ้า ป.ป.ช.ชี้ว่าผิดก็คือผิด
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า จะทำอย่างไรให้ตำรวจมีค่านิยมที่จะต้องรักษาความปลอดภัย ไม่ใช่ทำตามคำสั่งนายแต่เพียงอย่างเดียว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ส่วนที่ตนทำได้แน่นอน คือ รัฐบาลนี้จะดำเนินนโยบายโดยไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำรอยกับเหตุการณ์ในอดีต และคิดว่า ได้มีการพิสูจน์มาแล้วช่วงที่มีการล้อมสภา และได้อธิบายเพิ่มเติมว่าจะไม่ไปกดดันให้ตำรวจทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แต่ถ้ามีเจ้าหน้าที่คนใดไม่ดำเนินการตามนโยบาย เขาคนนั้นคงไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบได้ ซึ่งแนวทางดังกล่าวก็ต้องค่อยๆ ปรับไป
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีกระทรวงมหาดไทยจะมีการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับที่ดินศรีสุบรรณฟาร์ม และที่ดินสนามกอล์ฟ อัลไพน์ จะให้ความเชื่อมั่นว่าจะไม่มีการเลือกปฏิบัติได้หรือไม่
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่เฉพาะสองกรณีนี้ ขอย้ำว่า ทุกอย่างต้องเป็นไปตามเนื้อผ้า หลักง่ายๆ ก็คือ คนที่ทำคดีจะต้องหลับตาไม่รู้ว่าคนนั้นเป็นใคร ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรก็ว่าไปตามนั้น ยืนยันไม่มีการเมืองเข้าไปแทรกแซง ส่วนกรณีที่อธิบดีกรมที่ดินคนปัจจุบันพูดในทำนองว่าเขายอมถูกเด้งดีกว่าติดคุกนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ก็ดี เป็นทัศนคติที่ถูกต้อง เพราะว่าอย่างที่เรียนถ้าทำอะไรผิดก็ไม่มีใครสามารถไปคุ้มครองได้ ตนคิดว่าบทเรียนเหล่านี้ สำหรับเจ้าหน้าที่ถือว่าสำคัญที่สุด
อย่างไรก็ตาม นายอภิสิทธิ์ ให้สัมภาษณ์ถึงมาตรการช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจให้กับประชาชนว่า การช่วยเหลือค่าครองชีพ คนที่มีเงินเดือนประจำมีทางเลือกอยู่ 2-3 ทาง รัฐบาลจะดูแลเรื่องมาตรการทางภาษี อีกทางหนึ่ง คือ รายได้ของเขาโดยตรง ก็จะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่อยู่ภาคเอกชนรัฐบาลจะพิจารณาช่วยเหลือในส่วนของประกันสังคม โดยมีข้อเสนอว่ารัฐบาลจะจ่ายเงินประกันสังคมในส่วนของลูกจ้างให้ สำหรับเม็ดเงินที่ต้องจ่ายก็จะนำไปเปรียบเทียบกับมาตรการช่วยเหลือด้านอื่น ส่วนผู้ที่อยู่ภาครัฐก็จะพิจารณาเรื่องเงินเพิ่มช่วยค่าครองชีพสำหรับข้าราชการชั้นผู้น้อย ขณะนี้กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างหารือว่าจะหาใช้แนวทางไหน คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในวันที่ 13-14 ม.ค.นี้
