หลังจากบ้านเมืองผ่านช่วงวิกฤตและเหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวายมาได้ในช่วงเวลาหนึ่ง และเมื่อบรรยากาศเริ่มคลี่คลายลง ทำให้หลายคนต้องมาหยุดคิด ตั้งสติและเกิดคำถามขึ้นมาในใจพร้อมกันว่าในท่ามกลางสถานการณ์ที่หมิ่นเหม่แบบนั้น ทำไมผู้มีอำนาจบางกลุ่มจึงมีท่าทีและแสดงบทบาทบางอย่างแบบ “ผิดสังเกต”
โดยเฉพาะ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก !!
และระหว่างที่กำลังรอให้นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กระชับอำนาจในช่วงประกาศภาวะฉุกเฉิน รวมทั้งรอความคืบหน้าการคลี่คลายคดีการลอบสังหาร “สนธิ ลิ้มทองกุล” แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ทำให้มีเวลามาทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
แม้นาทีนี้จะยังไม่อาจชี้ชัด แต่ก็ช่วยไม่ได้ที่สังคมจะต้องหันมาจับตามองด้วยสายตาแปลกๆ กับบทบาทของผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มสำคัญที่ถือดุลอำนาจในบ้านเมือง
หากมองย้อนไปเมื่อครั้งเกิดการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยตั้งแต่เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2551 ต่อเนื่องกันมา 193 วัน ที่ออกคัดค้านและขับไล่รัฐบาล “หุ่นเชิด” ของทรราช แต่ถ้าแยกออกมาเพื่อนำมาเป็นข้อสังเกตเฉพาะประเด็นการใช้อาวุธสงคราม เช่น การยิง เอ็ม 79 เข้ามาในที่ชุมนุมกลางทำเนียบรัฐบาลและบริเวณโดยรอบอยู่บ่อยครั้งจนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก
ทั้งที่พิกัดที่ตั้งของสถานที่เหล่านั้นอยู่ห่างจากกองบัญชาการกองทัพบกและกองทัพภาคที่ 1 ภายใต้การบังคับบัญชาสูงสุดของ พล.อ.อนุพงษ์ ไม่ไกลนัก
นี่ยังไม่นับกรณีการยิงระเบิดประเภทเดียวกันเข้ามาที่สถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี และการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯที่ดอนเมือง
ถัดมาเหตุการณ์ที่กระทรวงมหาดไทยที่มีมวลชนเสื้อแดงมาล้อมทำร้ายนายกรัฐมนตรี ซึ่งในการประชุมคณะรัฐมนตรีนัดพิเศษเมื่อวันศุกร์ที่ 17 เมษายนที่ผ่านมานายกฯก็ได้เล่านาทีชีวิตให้ฟังโดยระบุออกมาตรงๆว่าระหว่างที่นั่งรถออกมานั้นได้มีรถทหารคันหนึ่งมาจอดขวางเอาไว้ มีลักษณะ “มุ่งหมายเอาชีวิต” อย่างชัดเจน
ล่าสุดระหว่างการแถลงชี้แจงในการประชุมร่วมสองสภาวานนี้( 22 เมษายน) ก็ได้ย้ำในลักษณะเดียวกันอีกครั้ง กล่าวแบบชัดถ้อยชัดคำดังๆ มีการถ่ายทอดสดออกไปทั่วประเทศว่าจากพฤติกรรมและลักษณะท่าทางดังกล่าว “คนกลุ่มนี้มีเจตนาจะฆ่าผม พยายามฆ่าผม”
ที่น่าสนใจนอกเหนือไปกว่านั้นหลังจากเกิดเหตุลอบสังหาร สนธิ ลิ้มทองกุล เพียงไม่นานนักชนิดที่เรียกว่า ควันปืนอาก้า ปืน เอ็ม 16 เอชเค และ เอ็ม 79 ไม่ทันจาง ผู้บัญชาการทหารบกคนเดียวกันก็ด่วนสรุปทันทีทำนองว่า “เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องธรรมดาที่พลเรือนก็สามารถใช้อาวุธสงครามได้”
แต่ประเด็นสำคัญที่สังคมสงสัยก็คือในช่วงเกิดเหตุอยู่ในช่วงประกาศภาวะฉุกเฉิน มีการวางกำลังทหารในจุดสำคัญทั่วเมือง และตามสี่แยกต่างๆ ในเขตขั้นในทุกแห่ง และบริเวณใกล้เคียงไม่ว่าจะเป็นแยกวิสุทธิกษัตริย์ แยกเทเวศร์ แยกบางลำพู แต่กลับกลายเป็นว่าในวันนั้นไม่มีการวางกำลังทหารไว้ที่แยกบางขุนพรหม ทั้งที่อยู่ใกล้กับธนาคารแห่งประเทศไทย หรือแบงก์ชาติซึ่งถือว่าเป็นสถานที่สำคัญ
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าวมาทั้งหมดล้วนเกี่ยวข้องกับบทบาทและหน้าที่โดยตรงของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ทั้งในฐานะผู้บัญชาการทหารบก และในฐานะกรรมการกองอำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(กอฉ.) ถือเป็นหน่วยงานหลัก แต่กลับกลายเป็นว่าไม่เคยตอบคำถาม หรือไม่ก็พยายามเบี่ยงเบนให้มองเป็นอย่างอื่นอย่างผิดสังเกต
นอกเหนือไปจากนี้หากรายงานข่าวล่าสุดจากชุดสอบสวนคดีคลี่คลายคดีลอบสังหาร สนธิ ลิ้มทองกุลที่พบปลอกกระสุนปืน เอ็ม 16 ปริศนา 3 ปลอก มี รหัสระบุอักษร RTA (ROYAL THAI ARMY) บอกที่มาชัดเจน ซึ่งในวงการรู้ดีว่าเป็นปลอกกระสุนที่กรมสรรพาวุธ ทหารบกผลิตให้กับหน่วยงานหนึ่งในกองทัพภาคที่ 1 เท่านั้น
หากรายงานข่าวดังกล่าวเป็นความจริง ก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำปัญหาคา ใจ ของสังคมเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
ดังนั้น นาทีนี้ไม่ว่าเขาจะเต็มใจจะตอบคำถามหรือไม่ก็ตาม แต่เมื่อทุกอย่างประดังเข้ามาไม่หยุดหย่อนแบบนี้ รับรองว่า พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ในฐานะผู้บัญชาการทหารบก นั่งไม่ติดแน่นอน !!