การเดินเครื่องทุกรูปแบบของ นช.ทักษิณ ชินวัตรและกองกำลังเสื้อแดง ยามนี้กำลังเร่งเกมแรงหวังปิดเครื่องให้ได้ชัยชนะโดยเร็ว หลังเงื่อนไขทุกอย่างไม่ได้รับการสนองตอบ
สำหรับข้อเรียกร้องที่แถลงเมื่อวันที่ 8 เมษายน คนเสื้อแดงตั้งเงื่อนไขขีดเส้นตาย 24 ชั่วโมง เพื่อให้ปฏิบัติ 3 ข้อ คือ
1.พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์, พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ชาญชัย ลิขิตจิตถะ 3 องคมนตรี ต้องพิจารณาตัวเองด้วยการลาออกจากตำแหน่งองคมนตรี เพื่อความบริสุทธิ์ ผ่องแผ้วของสถาบันองคมนตรี
2.อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต้องลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ทั้ง 2 ข้อนี้ต้องเกิดขึ้นในทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข
3.การบริหารราชการแผ่นดินดำเนินไปตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข การปรับปรุงใดๆ ให้ดีขึ้นตามหลักสากล ต้องมีการปรึกษาหารือกันระหว่างนักประชาธิปไตยผู้มีประวัติและพฤติกรรมเชิดชูระบอบประชาธิปไตยเป็นที่ประจักษ์
เมื่อพิจารณาข้อเสนอที่ทักษิณ-เสื้อแดง ตลอดจน ส.ส.และแกนนำพรรคเพื่อไทย อีกขุมอำนาจของทักษิณ จะพบว่า ในข้อแรกเป็นการก้าวล่วงพระราชอำนาจในการโปรดเกล้าแต่งตั้งประธานองคมนตรีและองคมนตรี ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับข้อเรียกร้องของคนเสื้อแดงข้อนี้ เพราะเห็นว่าเป็นสิ่งไม่เหมาะสมและเป็นการดึงสถาบันให้มาเกี่ยวข้องกับการเมือง
ส่วนข้อที่สองและสาม เป็นเงื่อนไขที่มุ่งสร้างประโยชน์ให้กับทักษิณและพรรคเพื่อไทย ที่สนับสนุนการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง
ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์กับส่วนรวม
ไม่ได้แก้ปัญหาหลักๆของชาติ ทั้งความแตกแยก ความไร้สามัคคี หรือความไม่เชื่อมั่นต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ แต่กลับจะยิ่งทำให้เกิดปัญหาการเมืองรุนแรงหนักยิ่งขึ้นไปอีก
เพราะย่อมต้องสร้างแรงต่อต้านจากฝ่ายต่างๆ ที่ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อประโยชน์ของนักการเมืองไม่กี่คน
ประชาชนไร้หลักประกันว่า จะเกิดการปฏิรูปการเมืองเพื่อทำให้ระบบการเมืองดีขึ้น หรือแก้ปัญหาต่างๆ เช่นการซื้อเสียง การทุจริตเลือกตั้ง ซึ่งเป็นต้นเหตุของ “การเมืองน้ำเน่า”ที่ทุ่มจ่ายเงินเพื่อให้ได้เป็นส.ส.แล้วเข้ามาถอนทุนคืนเมื่อได้อำนาจรัฐ
เมื่อเป็นเช่นนี้ หลายภาคส่วนในสังคม ไม่ใช่เฉพาะแค่รัฐบาลเท่านั้น ที่ไม่เอาเงื่อนไขต่างๆ ของทักษิณ-เสื้อแดง เพราะเห็นแล้วว่าเป็นเงื่อนไขที่รับไม่ได้
จึงไม่แปลกที่เงื่อนไขต่างๆที่พยายามกดดันรัฐบาล องคมนตรี กลายเป็นข้อเรียกร้องที่ไร้พลัง และถูกปฏิเสธจากผู้มีอำนาจในการตัดสินใจแบบไม่ต้องคิดให้เสียเวลา
นอกจากนั้น การเสนอข้อเรียกร้องยังเห็นว่า กลุ่มคนเสื้อแดงขาดความเป็นเอกภาพและไร้ทิศทางในการเคลื่อนไหวอย่างเห็นได้ชัด อาทิ ข้อเรียกร้องของทักษิณ ชินวัตรที่พูดผ่านวีดีโอลิงค์หลายต่อหลายครั้ง จะพบว่า หัวหน้าพรรคเพื่อไทยตัวจริงและนายทุนใหญ่เสื้อแดงคนนี้ ต้องการให้ รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
1.ยุบสภา 2.นิรโทษกรรมอดีตกรรมการบริหารพรรคการเมืองที่ถูกยุบ และ3.แก้รัฐธรรมนูญ ในมาตราที่ต้องการเช่นยกเลิก ส.ว.แต่งตั้งและให้ใช้ระบบเดิมคือเลือกตั้งสว.ทั่วประเทศทั้งหมด ไม่เห็นด้วยกับการให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิจารณาตัดสินคดีเพียงศาลเดียว
ทั้งนี้ ยังเห็นได้ว่าข้อเรียกร้องหลักๆ ดังกล่าว ทักษิณไม่ได้เทน้ำหนักไปที่เรื่องใดเรื่องหนึ่ง มิหนำซ้ำยังขัดแย้งกันเองในหลักการคือให้รัฐบาลยุบสภา แต่กลับให้รัฐบาลชุดนี้รีบเร่งแก้รัฐธรรมนูญ เพราะข้อเท็จจริงก็คือ หากอภิสิทธิ์ยุบสภา การแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยสภาก็ไม่สามารถทำได้ เพราะก็ต้องมีการเลือกตั้งใหม่ มีการเลือกนายกรัฐมนตรีและจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งก็ไม่เป็นที่แน่ชัดว่า ใครจะมาเป็นรัฐบาล และต้องเสียเวลากับขั้นตอนการเลือกตั้ง และตั้งรัฐบาลหลายเดือน
ซึ่งแนวทางที่อภิสิทธิ์เสนอมาตลอด และเคยเป็นความเห็นร่วมกันของที่ประชุมสามฝ่ายก่อนหน้านี้ที่ประกอบด้วย สมชาย วงศ์สวัสดิ์ อภิสิทธิ์ ชัย ชิดชอบและประสพสุข บุญเดช ที่เคยคุยกันในช่วงพันธมิตรฯรุกไล่รัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ จนเห็นด้วยตรงกันในหลักการ
คือการตั้ง “คณะกรรมการที่เป็นคนกลางมาศึกษาแนวทางการปฏิรูปการเมืองเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ”
ทว่าเวลานี้เพื่อไทย-ทักษิณกลับปฏิเสธแนวคิดนี้โดยยกเหตุผลเรื่องไม่ต้องการให้สถาบันพระปกเกล้ามาเป็นเจ้าภาพในการศึกษาเรื่องนี้โดยอ้างเหตุเรื่องตัวสุจิต บุญบงการ ประธานสภาพัฒนาการเมืองไม่เป็นกลาง
ทั้งที่ทักษิณ-เพื่อไทยก็รู้อยู่แล้วว่าเวลานี้ การหาคนกลางหรือสถาบันที่เป็นกลางมาเป็นเจ้าภาพเป็นเรื่องยาก และสถาบันพระปกเกล้าก็คือทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว เพราะเป็นองค์กรของรัฐสภา
การพยายามเล่นเกมไม่ยอมรับเงื่อนไขปฏิรูปการเมืองครั้งนี้ของพรรคเพื่อไทย พบว่ามุ่งเน้นการเล่นตั้งป้อมค้านตัวบุคคลเป็นหลักคือสุจิต บุญบงการ อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างน้อย ที่ตัดสินว่าทักษิณผิดในคดีซุกหุ้น
อย่างไรก็ตาม แกนนำ นปช.คนที่มากด้วยเหลี่ยมคูการเมือง วีระ มุกสิกพงศ์เสนอแนวคิดบนเวทีปราศรัย ให้พรรคการเมืองใหญ่สองพรรคถอยออกมา เพื่อเปิดโอกาสให้พรรคการเมืองขนาดเล็กรวบรวมเสียงตั้งรัฐบาลบริหารประเทศชั่วคราวเป็นเวลา 45 วัน แล้วใช้ช่วงเวลาดังกล่าว รีบเร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตราที่เห็นว่ามีปัญหาและไม่เป็นประชาธิปไตย
วีระยกเสนอประเด็นแก้ไข รธน. ในเรื่อง การยุบพรรคและตัดสิทธิการเมืองอดีตกรรมการบริหารพรรคการเมืองห้าปี หรือเรื่องการแต่งตั้ง ส.ว.เพื่อไม่ให้ระบอบอำมาตยาธิปไตยเข้ามามีส่วนร่วมในการแต่งตั้ง ส.ว. 74 คน อันสอดคล้องกับแนวคิดรัฐบาลเพื่อชาติที่เสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราชขายฝันมาตลอด
แนวทางนี้เห็นวาระซ่อนเร้นได้ไม่ยาก คือจะให้เสนาะเป็นนายกฯและรับเป็นเจ้าภาพแก้ไขรัฐธรรมนูญ จากนั้นพอแก้ไขรัฐธรรมนูญเสร็จก็ให้ยุบสภา อันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถวางใจได้เลย เพราะปัจจัยหลายอย่างเช่น ความสามารถของเสนาะ ที่จะขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศ ในยามที่ชาติมีปัญหาการเมืองและเศรษฐกิจอย่างหนัก
ส่วนข้อเรียกร้องของซีกพรรคเพื่อไทย –สะท้อนผ่านสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี น้องเขยทักษิณ ชินวัตร ที่ระยะหลังเดินสายเป็นตัวแทนทักษิณขึ้นเวทีเสื้อแดงหลายจังหวัดโดยเฉพาะภาคเหนือ
พบว่าข้อเสนอของสมชาย ซึ่งก็คือเสียงของเพื่อไทย ต้องการให้อภิสิทธิ์ลาออก แต่ไม่พูดเรื่องยุบสภา สาเหตุลึกๆ ก็เพราะแกนนำพรรคเพื่อไทยรู้ดีว่าหากยุบสภาตอนนี้เพื่อไทยเสียเปรียบเพราะเป็นฝ่ายค้านไม่ได้กุมอำนาจรัฐ
มิหนำซ้ำ ทุนการเมืองส่วนหนึ่งตอนนี้ถูกนำไปใช้ในการระดมคนเสื้อแดงทั่วประเทศซึ่งคาดว่าจะเป็นเงินจำนวนมาก และถ้ายุบสภา ส.ส.มีโอกาสย้ายพรรคได้ภายใน 30 วันก่อนเลือกตั้ง อันจะทำให้เพื่อไทยมีสภาพเป็นผึ้งแตกรัง
เพราะส.ส.เพื่อไทยหลายคนก็ไม่เห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวของทักษิณ ที่พาดพิงสถาบันและโจมตีองคมนตรี จึงมีแนวโน้มจะย้ายออกจำนวนมาก เนื่องจากมีเงื่อนไขและทางเลือกจากพรรคอื่นที่ดีกว่า โดยเฉพาะภูมิใจไทยซึ่งหากเพื่อไทย ส.ส.อีสานย้ายพรรคออกสัก 40-50 คนก็มีปัญหาแล้ว เพราะฐานส่วนใหญ่อยู่ที่อีสาน
ทีมข่าวการเมือง “ ASTVผู้จัดการรายวัน”ขอกลับมาวิเคราะห์การชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดง ที่ประกาศว่าจะไม่สลายตัวหากไม่ได้ชัยชนะ แต่เราขอชี้ว่า
จะเป็นได้แค่ภาพฝันเท่านั้น
เนื่องจากไม่มีเหตุปัจจัยใดเกื้อหนุนให้ไปได้ไกลกว่านี้เลย การเคลื่อนคนออกมายึดอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิเมื่อวันที่ 9 เม.ย.มีผลสะท้อนกลับมาในทางลบอย่างมาก ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่เดือดร้อนอย่างแสนสาหัส ก่อให้เกิดความเกลียดชังต่อขบวนการคนเสื้อแดงขึ้นมาในวงกว้างในทันที
การเรียกร้องให้คนออกมาหนุนม็อบคนเสื้อแดงที่ทักษิณพยายามทำอยู่โดยผ่านวิดีโอลิงก์เข้ามาในแต่ค่ำคืน ต่อไปนี้จะหวังผลไม่ได้แล้ว เพราะประชาชนเห็นแล้วว่าเป็นการต่อสู้เพื่อคนๆเดียวที่หวังจะกลับมาเป็นใหญ่ในประเทศ โดยเอาประเทศชาติบ้านเมืองเป็นเดิมพัน
ขณะเดียวกัน พลังของเสื้อแดงมีแต่จะถดถอยลงไปเรื่อยๆ มวลชนที่เข้าร่วมด้วยความเชื่อโดยสุจริต หรือกลุ่มม็อบรับจ้างต้องกลับบ้านในช่วงเทศกาลสงกรานต์ จนต้องมีกลยุทธ์เรียกกลับโดยการเพิ่มค่าจ้างสูงขึ้น แต่ยังทำให้กำลังคนเสื้อแดงถดถอยไปมาก จนไร้พลังที่จะสร้างแรงกดดันใดๆได้
การดำรงอยู่ของคนเสื้อแดงในวันนี้ โดดเดี่ยวเดียวดายกลางถนน เพราะแม้แต่คนบงการและลูกเมียก็เผ่นออกไปตั้งหลักอยู่ต่างประเทศกันหมดแล้ว
แรงกดดันเหวี่ยงกลับมาหาคนเสื้อแดง เมื่อพลังคนไม่ยิ่งใหญ่ ก่อให้เกิดปัญหาต่อการกำหนดยุทธวิธีการเคลื่อนไหวต่อสู้อย่างหนัก แนวทางการเคลื่อนไหวก็มีปัญหาไม่เป็นเอกภาพ มีการชิงการนำระหว่าง อดีตส.ส.ไทยรักไทย-พลังประชาชน ที่ออกมาร่วมเวทีคนเสื้อแดง ที่ออฟไซด์กลุ่มแกนนำ นปช.ไปแล้ว
ว่ากันว่า อดิศร เพียงเกษ อดีตส.ส.ขอนแก่นและส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ไทยรักไทย กับส.ส.เพื่อไทย ต้องการรบแตกหักกับรัฐบาลแบบโป้งเดียวปิดบัญชี แต่แกนนำ นปช.ไม่เห็นด้วย
จึงเป็นสาเหตุสำคัญให้กลุ่ม ส.ส.เพื่อไทยและอดีตส.ส.ไทยรักไทยลงมาควบคุมการนำเอง โดยอดีตส.ส.และส.ส.เพื่อไทยเหล่านี้เห็นว่าพวกตนเป็นกำลังหลักของเสื้อแดงครั้งนี้ ที่ลงแรงเกณฑ์คนจำนวนมากมาร่วมชุมนุมได้ในช่วง 8-10 เมษายน จึงต้องการมีบทบาทในการนำและวางแผนการเคลื่อนไหวด้วย ไม่ใช่ให้การเคลื่อนไหวทั้งหมดขึ้นอยู่กับแกนนำอย่างวีระ-ณัฐวุฒิ-จตุพรเหมือนเดิม
เมื่อสถานการณ์การนำม็อบเสื้อแดงแตกออกเป็นสองทางเช่นนี้ คนบงการ นช.ทักษิณต้องเลือกจะใช้บริการในทางไหน?
บนการวิเคราะห์แนวทางการต่อสู้ในฉากต่อไปของคนเสื้อแดง คาดว่า นช.ทักษิณเห็นด้วย ต่อแนวทางกลุ่มอดีตส.ส.เพื่อไทยที่เน้นความรุนแรงและรุกรบเด็ดขาด ที่ไม่คำนึงถึงผลกระทบจะเกิดความเสียหายแก่สังคมอย่างไร
ซึ่งได้แสดงออกมาในการเคลื่อนขบวนเข้ายึดอนุสาวรีย์ชัยฯ และจะเพิ่มความรุนแรงขึ้นเป็นลำดับแน่ เพราะมีโอกาสพลิกแผ่นดินเป็นของเขาได้ เมื่อเทียบกับการปักหลักอยู่หน้าทำเนียบรัฐบาล จนรอให้พลังอ่อนล้าไปโดยไม่ได้อะไรติดมือกลับบ้าน
สรุปได้ว่า กลยุทธการคนเสื้อแดง ก็คงจะจบลงที่ต้องสร้างสถานการณ์ให้เกิดความรุนแรง โดยมีโอกาสเกิดเหตุจลาจลเผาบ้านเผาเมือง ที่มีเป้าหมายคือสถานที่ราชการ และเอกชน รวมทั้งตัวบุคคลที่เป็นเป้าหมายบางคน