8 เมษายน 52 วันนัดหมายใหญ่ของ “คนเสื้อแดง”ที่ทักษิณ ชินวัตร และแกนนำคนเสื้อแดง หมายมั่นปั้นมือจะให้เป็นวันแห่งการเปลี่ยนแปลงการเมืองครั้งใหญ่ บนเป้าหมาย
“เปรมลาออก อภิสิทธิ์ยุบสภา”
“ล้มล้างอำมาตยาธิปไตย-ทำลายชนชั้นสูง”
ไม่ต้องรอถึงวันนั้น ก็รู้ได้ว่า สิ่งที่ทักษิณ-เสื้อแดง คิดก่อการ ไม่มีวันสัมฤทธิ์ผลแน่ เพราะคนอย่างประธานองคมนตรี-รัฐบุรุษ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ผู้ผ่านการรบ-การเมืองมาอย่างโชกโชน และสมัยเป็นนายกฯ 8 ปี ก็สู้รบตบมือกับสารพัดแรงกดดัน ทั้งใน
ทำเนียบฯ-นอกรัฐสภา มาหมดแล้ว แค่ม็อบเสื้อแดง-วีดี
โอลิงก์ทักษิณ แค่นี้ เชื่อได้ว่า
ชายชาติทหารอย่าง “ป๋าเปรมฯ”ไม่ถอดใจแน่
ส่วน อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ก็เช่นกัน แม้อายุอานามจะน้อย และถูกมองว่าเป็นลูกคุณหนู-ลูกผู้ดี เจอแรงเสียดทานหนักๆ อภิสิทธิ์ จะอำลาตำแหน่ง ก็เป็นเรื่องที่คิดได้ แต่คงยากจะได้เห็น
เมื่อประเมินการสู้รบของเสื้อแดง-ทักษิณยามนี้ วันที่ 8 เมษายน หาใช่ “ยกสุดท้าย”แม้แกนนำนปช.ที่เป็นพวกเศษสวะ-ลิ่วล้อ-มือปืนรับจ้างนายใหญ่ ในนิยามของ กษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ
จะทำทีขึงขัง-ตาถลน เหมือนจะนำกองทัพเสื้อแดง ทุบหม้อข้าวทำศึกสงคราม กู้ชาติให้ใครบางคนที่คิดร้ายทำลายแผ่นดินเกิด เพราะดูจากสภาพการณ์ และยุทธศาสตร์การวางแผนของคนเสื้อแดงแล้ว แกนนำหลายคนก็รู้ดีว่า ยากที่จะทำให้ทั้ง
“เปรม-อภิสิทธิ์”ตอบรับทุกเงื่อนไข
เพียงแต่การระดมพลทำศึก 8 เมษายน หวังให้แดงทั้งแผ่นดิน แล้วเขย่าขวัญให้รัฐบาลและบ้านสี่เสาฯผวาเล่น แล้วโอบล้อมที่มั่น เพื่อให้เกิดการเผชิญหน้าเท่านั้นเอง แต่ก็เชื่อได้ว่ารัฐบาล-กองทัพ-ตำรวจ ก็ย่อมอ่านเกมนี้ออก และไม่ตกหลุมพราง แม้จะมีความ
พยายามยั่วยุ รวมถึงอาจจะมี “มือที่สาม”มาสร้างสถานการณ์ เพื่อให้ปิดเกมเร็ว
การศึก 8 เมษายน มันจึงอยู่ในช่วงเริ่มต้น “ยกที่ 2” หลังจากยกแรก ผ่านพ้นไป ซึ่งยกแรกที่ทักษิณ-เพื่อไทย เน้นกลยุทธ์
“ทำลายความน่าเชื่อถือ” เพื่อให้เกิดสภาวะวิกฤตศรัทธาแก่องค์กร-ตัวบุคคลที่ถูกกล่าวถึง ทั้งในวีดีโอลิงก์ และบนเวทีข้างทำเนียบรัฐบาลเป็นหลัก ไล่เรียงตั้งแต่สถาบันองคมนตรี และองคมนตรี ทักษิณ และเสื้อแดงพยายามใส่ความว่า “
ขาดความเป็นกลาง-ฝักใฝ่การเมือง หนุนพรรคประชาธิ
ปัตย์” ที่ระบุชื่อทั้ง พลเอกเปรม, พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์
และ ชาญชัย ลิขิตจิตถะ
แต่ผู้ถูกเอ่ยชื่อออกมาสวนกลับ และปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด ให้สังคมได้ข้อมูล 2 ด้าน ว่า ใครพูดจริง พูดเท็จ ฝ่ายไหนชั่ว และฝ่ายไหนทำไปเพื่อปกป้องประเทศชาติ และสถาบันหลัก
สำหรับองค์กรศาลก็พบว่า ทักษิณพยายามโจมตีทำให้องค์กรศาลถูกมองว่า ไม่มีความยุติธรรม โดยทักษิณอ้างถึงการพิจารณาคดีของศาลฏีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ตัดสินจำคุกเขา 2 ปี เป็นกระบวนการไม่ยุติธรรม
ถึงกับระบุว่า ทั่วโลกไม่ยอมรับระบบศาลเดียว แบบที่ศาลฏีกาฯ ถูกออกแบบเอาไว้ และระบบไต่สวนที่ให้จำเลยแก้ข้อกล่าวหาของโจทก์ ก็เป็นระบบที่นานาประเทศไม่เห็นด้วย และยกเลิกกันไปหมดแล้ว
หรือกรณีการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ “คดีชิมไปบ่นไป” ของสมัคร สุนทรเวช ที่ทักษิณบอกว่า ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นไทยแลนด์ อิน เดอะโจ๊ก เพราะตัดสินเอาผิดตามพจนานุกรมมากกว่ายึดหลักกฎหมาย
รวมทั้งยังทิ่มแทงไปที่ผู้นำศาล-ตุลาการ หลายครั้ง อันพุ่งไปที่ อักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูงสุด ที่เป็นอดีตตุลาการรัฐธรรมนูญใน “คดียุบพรรคไทยรักไทย” และ จรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่มีบทบาทสำคัญใน “คดีชิมไปบ่นไป”
และ“คดียุบพรรคพลังประชาชน” ว่า
ทั้งสองคนมีส่วนร่วมวางแผน การทำปฏิวัติ 19 กันยายน 49 และใช้อำนาจตุลาการล้มล้างรัฐบาลไทยรักไทย
สำหรับกองทัพ พบว่าทักษิณ-เสื้อแดง มุ่งหมายเพื่อการแก้แค้นอย่างเห็นได้ชัด ในประเด็นเรื่องกองทัพทำตัวเป็น “เปลือกหอย” ให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ ทั้งการที่ผู้นำเหล่าทัพ และตัวรมว.กลาโหมคือ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา และ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้
รับบำเหน็จจากการช่วยตั้งรัฐบาล เช่นการที่รัฐบาลให้งบกับกองทัพอย่างง่ายดายหลายครั้ง อาทิ งบ 1 พันล้านบาทให้ กอ.รมน.ไปทำการสลายกลุ่มเสื้อแดงโดยไม่สามารถตรวจสอบการใช้งบดังกล่าวได้
เมื่อยกที่ 1 ของการตั้งกองกำลังเสื้อแดงจนล้อมทำเนียบรัฐบาลได้ 10 วัน 10 คืนสำเร็จ และใช้สงครามปากทำลายความเชื่อถือต่อสถาบันสำคัญไปแล้ว ตอนนี้ให้จับตา ยกที่ 2 เอาไว้ ซึ่งข่าวว่าจะเป็นสถานการณ์ที่ดุเดือดเลือดพล่าน อาจต้องมีการเสียเลือดเนื้อกันอีกครั้ง
ก่อนจะประเมินศึกยืดเยื้อนี้ว่าจะจบอย่างไร ขณะนี้เริ่มมีข่าวแพร่สะพัดในวงการการเมือง ว่า จะมี “คนกลาง” เข้ามาคลี่คลายสถานการณ์ ก่อนที่จะยกระดับไปสู่ความรุนแรง ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
ชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา ออกมาระบุว่า หลังสงกรานต์จะมีข่าวดี เพราะ
ผู้มีบุญบารมีมาไกล่เกลี่ยปัญหา และเป็น “คนกลาง” ที่ทุกฝ่ายให้ความเคารพ
ก่อนหน้านี้ ชัย ชิดชอบ เข้าออกบ้านสี่เสาอย่างถี่ยิบ ในช่วงก่อนให้ลูกชาย เนวิน ชิดชอบ แปลงร่างเป็นงูเห่า เพื่อไทยล้มการจัดตั้งรัฐบาลเพื่อไทย
เสมือนว่า ชัย ชิดชอบ รู้สัญญาณอะไรมา แน่นอนว่าการมาของคนกลาง จะเป็นฉากการเมืองในตอนต่อไป แต่จะหมุนเปลี่ยนสถานการณ์ออกไปจากเหตุการณ์ปัจจุบันได้แค่ไหน หรือไม่ ก็ต้องจับตาติดตามกันต่อไป
อย่างไรก็ตาม หลายคนหวั่นใจว่า มันจะมีเหตุรุนแรงก่อนสงกรานต์ เพราะอาจเกิดเหตุไม่คาดฝัน ซึ่งมีข่าวว่า ทักษิณ-เสื้อแดง ต้องการให้เกิดการเผชิญหน้าจนเกิดเหตุรุนแรง และแตกหักกันไปข้าง
ถ้าหากทักษิณ-เสื้อแดง ต้องการเช่นนั้นจริงๆ “บาปการเมือง”นี้คงไม่มีใครให้อภัย หากคิดเอาประชาชนมาเป็น “เครื่องมือแก้แค้น”ให้ฝ่ายตัวเอง
เราขอบอกไปยังทักษิณ-แกนนำคนเสื้อแดง-ส.ส.เพื่อไทย-อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยและพลังประชาชน-เจ้าหน้าที่รัฐ และนักธุรกิจซึ่งหนุนหลังการชุมนุมครั้งนี้ว่า
ทุกท่านมีสิทธิ์ที่จะเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นที่ไหน จะหน้าทำเนียบรัฐบาล หน้ารัฐสภา หรือแม้แต่หน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ของพลเอกเปรม หากทุกคนเคลื่อนไหวรวมตัวเรียกร้อง
ภายใต้หลักกฎหมาย ความเคารพในสิทธิของผู้อื่น ไม่เปิดเวทีปราศรัยแล้วใส่ร้ายป้ายสี ให้ความเท็จ ปลุกระดมให้เกิดความเกลียดชังและเคียดแค้น
จนนำไปสู่ความแตกแยก และปลุกปั่นให้เกิดความรุนแรงในรูปแบบต่างๆ
เท่าที่ติดตามการชุมนุมของคนเสื้อแดง ก็เชื่อว่าเป็นฝ่ายต้องการจะให้เกิดความรุนแรง เพื่อบีบให้รัฐบาลต้องดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น การใช้กฎหมายความมั่นคงหรือประกาศสภาวะฉุกเฉิน ซึ่งทั้งหมดจะยิ่งทำให้การชุมนุมของคนเสื้อแดงมีความชอบ
ธรรมมากขึ้น และทำให้รัฐบาลอยู่ในสถานการณ์เพลี่ยงพล้ำทันที
ขณะที่ดูท่าทีรัฐบาลยังเชื่อว่า น่าจะอดทนจนถึงที่สุด และไม่ใช้ความรุนแรงกับประชาชน แม้จะมีความพยายามหวังสร้างสถานการณ์เพื่อนำไปสู่เหตุวุ่นวาย จนอำนาจรัฐง่อยเปลี้ย
ซึ่งเห็นแล้วว่าตลอดช่วงการชุมนุมล้อมทำเนียบรัฐบาล ซึ่งถึงวันนี้เป็นวันที่ 10 แล้ว รัฐบาล-ตำรวจ-กองทัพ ก็ปล่อยให้ใช้สิทธิเต็มที่ ไม่ได้มีการสั่งให้สลายการชุมนุม หรือใช้ความรุนแรง ไม่มีการ
ตัดสัญญาณการโฟนอิน-วีดีโอลิงก์-การถ่ายทอดเสียงทั้งทีวี วิทยุ อินเตอร์เน็ต
จนรัฐบาลและหน่วยงานความมั่นคง ถูกด่าเสียด้วยซ้ำว่า ไม่เด็ดขาด อ่อนหัด และหน่อมแน้ม แต่อีกความเข้าใจหนึ่งก็อ่านใจได้ว่า หากรัฐบาลคิดจะเล่นงาน หรือสกัดการชุมนุมจริงก็สามารถทำได้ แต่มันจะ
“เข้าทาง”คนเสื้อแดง
เช่น การตัดสัญญาณวีดีโอลิงก์ หรือไม่ให้มีการเผยแพร่เสียงภาพทางทีวี วิทยุ อินเตอร์เน็ต เพราะรู้ดีว่าจะถูกโจมตีว่าเป็นเผด็จการ จนอาจนำมาเป็นเงื่อนไขปลุกระดม และจะยิ่งทำให้ประชาชนยิ่งออกจากบ้านมารวมตัวกันหน้าทำเนียบรัฐบาลมากขึ้น
ขณะนี้รัฐบาลตั้งรับอย่างเดียว ยังไร้แนวทางจะรุกกลับเมื่อไร เแบบไหน มีแต่เปิดท่าทีจะเจรจากับคนทำลายชาติ ซึ่งเป็นเรื่องที่ขัดต่อหลักนิติรัฐ จนหลายฝ่ายรับไม่ได้
ทั้งหลายทั้งปวง แม้จะมั่นใจลึกๆว่า 8 เมษายน ไม่น่าจะเกิดเหตุ
“ไทยฆ่าไทย จนเลือดนองท่วมแผ่นดิน ”
อย่างที่หลายฝ่ายหวั่นเกรง แต่ก็ใช่จะวางใจเสียทีเดียว สิ่งที่อยากเตือน ทักษิณ-แกนนำเสื้อแดง ก็คือ เรารู้ดีว่า คนอย่างทักษิณไม่หยุดคิดทำร้ายประเทศไทยแน่นอน ทว่า ขอเพียงให้การวางแผนสู้รบนั้น อย่าเอาประเทศชาติเป็นเดิมพัน ทำให้แผ่นดินลุกเป็นไฟ
เพราะยามนี้สิ่งสำคัญก็คือ ความสามัคคีของคนไทยที่ต้องร่วมกันฟันฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจไปให้พ้น ดังนั้นถ้าจะเคลื่อนไหวใดๆ ก็ทำไปเถิด ถ้าไม่ได้ทำให้แผ่นดินไทยเสียหาย
ขณะเดียวกัน เราขอเรียกร้องให้บรรดาผู้มีอำนาจในรัฐบาล กองทัพ และแม้แต่ พลเอกสุรยุทธ์ ออกมาแสดงความรับผิดในบทบาทหน้าที่ที่ท่านมีอยู่ เพื่อแก้ปัญหาให้เหตุการณ์ความขัดแย้งครั้งนี้ยุติโดยเร็ว เพราะเหตุปัญหาเริ่มมาจากเรื่องส่วนตัว แต่ประเทศ
ชาติและประชาชนต้องรับผลกรรม
“เปรมลาออก อภิสิทธิ์ยุบสภา”
“ล้มล้างอำมาตยาธิปไตย-ทำลายชนชั้นสูง”
ไม่ต้องรอถึงวันนั้น ก็รู้ได้ว่า สิ่งที่ทักษิณ-เสื้อแดง คิดก่อการ ไม่มีวันสัมฤทธิ์ผลแน่ เพราะคนอย่างประธานองคมนตรี-รัฐบุรุษ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ผู้ผ่านการรบ-การเมืองมาอย่างโชกโชน และสมัยเป็นนายกฯ 8 ปี ก็สู้รบตบมือกับสารพัดแรงกดดัน ทั้งใน
ทำเนียบฯ-นอกรัฐสภา มาหมดแล้ว แค่ม็อบเสื้อแดง-วีดี
โอลิงก์ทักษิณ แค่นี้ เชื่อได้ว่า
ชายชาติทหารอย่าง “ป๋าเปรมฯ”ไม่ถอดใจแน่
ส่วน อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ก็เช่นกัน แม้อายุอานามจะน้อย และถูกมองว่าเป็นลูกคุณหนู-ลูกผู้ดี เจอแรงเสียดทานหนักๆ อภิสิทธิ์ จะอำลาตำแหน่ง ก็เป็นเรื่องที่คิดได้ แต่คงยากจะได้เห็น
เมื่อประเมินการสู้รบของเสื้อแดง-ทักษิณยามนี้ วันที่ 8 เมษายน หาใช่ “ยกสุดท้าย”แม้แกนนำนปช.ที่เป็นพวกเศษสวะ-ลิ่วล้อ-มือปืนรับจ้างนายใหญ่ ในนิยามของ กษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ
จะทำทีขึงขัง-ตาถลน เหมือนจะนำกองทัพเสื้อแดง ทุบหม้อข้าวทำศึกสงคราม กู้ชาติให้ใครบางคนที่คิดร้ายทำลายแผ่นดินเกิด เพราะดูจากสภาพการณ์ และยุทธศาสตร์การวางแผนของคนเสื้อแดงแล้ว แกนนำหลายคนก็รู้ดีว่า ยากที่จะทำให้ทั้ง
“เปรม-อภิสิทธิ์”ตอบรับทุกเงื่อนไข
เพียงแต่การระดมพลทำศึก 8 เมษายน หวังให้แดงทั้งแผ่นดิน แล้วเขย่าขวัญให้รัฐบาลและบ้านสี่เสาฯผวาเล่น แล้วโอบล้อมที่มั่น เพื่อให้เกิดการเผชิญหน้าเท่านั้นเอง แต่ก็เชื่อได้ว่ารัฐบาล-กองทัพ-ตำรวจ ก็ย่อมอ่านเกมนี้ออก และไม่ตกหลุมพราง แม้จะมีความ
พยายามยั่วยุ รวมถึงอาจจะมี “มือที่สาม”มาสร้างสถานการณ์ เพื่อให้ปิดเกมเร็ว
การศึก 8 เมษายน มันจึงอยู่ในช่วงเริ่มต้น “ยกที่ 2” หลังจากยกแรก ผ่านพ้นไป ซึ่งยกแรกที่ทักษิณ-เพื่อไทย เน้นกลยุทธ์
“ทำลายความน่าเชื่อถือ” เพื่อให้เกิดสภาวะวิกฤตศรัทธาแก่องค์กร-ตัวบุคคลที่ถูกกล่าวถึง ทั้งในวีดีโอลิงก์ และบนเวทีข้างทำเนียบรัฐบาลเป็นหลัก ไล่เรียงตั้งแต่สถาบันองคมนตรี และองคมนตรี ทักษิณ และเสื้อแดงพยายามใส่ความว่า “
ขาดความเป็นกลาง-ฝักใฝ่การเมือง หนุนพรรคประชาธิ
ปัตย์” ที่ระบุชื่อทั้ง พลเอกเปรม, พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์
และ ชาญชัย ลิขิตจิตถะ
แต่ผู้ถูกเอ่ยชื่อออกมาสวนกลับ และปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด ให้สังคมได้ข้อมูล 2 ด้าน ว่า ใครพูดจริง พูดเท็จ ฝ่ายไหนชั่ว และฝ่ายไหนทำไปเพื่อปกป้องประเทศชาติ และสถาบันหลัก
สำหรับองค์กรศาลก็พบว่า ทักษิณพยายามโจมตีทำให้องค์กรศาลถูกมองว่า ไม่มีความยุติธรรม โดยทักษิณอ้างถึงการพิจารณาคดีของศาลฏีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ตัดสินจำคุกเขา 2 ปี เป็นกระบวนการไม่ยุติธรรม
ถึงกับระบุว่า ทั่วโลกไม่ยอมรับระบบศาลเดียว แบบที่ศาลฏีกาฯ ถูกออกแบบเอาไว้ และระบบไต่สวนที่ให้จำเลยแก้ข้อกล่าวหาของโจทก์ ก็เป็นระบบที่นานาประเทศไม่เห็นด้วย และยกเลิกกันไปหมดแล้ว
หรือกรณีการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ “คดีชิมไปบ่นไป” ของสมัคร สุนทรเวช ที่ทักษิณบอกว่า ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นไทยแลนด์ อิน เดอะโจ๊ก เพราะตัดสินเอาผิดตามพจนานุกรมมากกว่ายึดหลักกฎหมาย
รวมทั้งยังทิ่มแทงไปที่ผู้นำศาล-ตุลาการ หลายครั้ง อันพุ่งไปที่ อักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูงสุด ที่เป็นอดีตตุลาการรัฐธรรมนูญใน “คดียุบพรรคไทยรักไทย” และ จรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่มีบทบาทสำคัญใน “คดีชิมไปบ่นไป”
และ“คดียุบพรรคพลังประชาชน” ว่า
ทั้งสองคนมีส่วนร่วมวางแผน การทำปฏิวัติ 19 กันยายน 49 และใช้อำนาจตุลาการล้มล้างรัฐบาลไทยรักไทย
สำหรับกองทัพ พบว่าทักษิณ-เสื้อแดง มุ่งหมายเพื่อการแก้แค้นอย่างเห็นได้ชัด ในประเด็นเรื่องกองทัพทำตัวเป็น “เปลือกหอย” ให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ ทั้งการที่ผู้นำเหล่าทัพ และตัวรมว.กลาโหมคือ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา และ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้
รับบำเหน็จจากการช่วยตั้งรัฐบาล เช่นการที่รัฐบาลให้งบกับกองทัพอย่างง่ายดายหลายครั้ง อาทิ งบ 1 พันล้านบาทให้ กอ.รมน.ไปทำการสลายกลุ่มเสื้อแดงโดยไม่สามารถตรวจสอบการใช้งบดังกล่าวได้
เมื่อยกที่ 1 ของการตั้งกองกำลังเสื้อแดงจนล้อมทำเนียบรัฐบาลได้ 10 วัน 10 คืนสำเร็จ และใช้สงครามปากทำลายความเชื่อถือต่อสถาบันสำคัญไปแล้ว ตอนนี้ให้จับตา ยกที่ 2 เอาไว้ ซึ่งข่าวว่าจะเป็นสถานการณ์ที่ดุเดือดเลือดพล่าน อาจต้องมีการเสียเลือดเนื้อกันอีกครั้ง
ก่อนจะประเมินศึกยืดเยื้อนี้ว่าจะจบอย่างไร ขณะนี้เริ่มมีข่าวแพร่สะพัดในวงการการเมือง ว่า จะมี “คนกลาง” เข้ามาคลี่คลายสถานการณ์ ก่อนที่จะยกระดับไปสู่ความรุนแรง ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
ชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา ออกมาระบุว่า หลังสงกรานต์จะมีข่าวดี เพราะ
ผู้มีบุญบารมีมาไกล่เกลี่ยปัญหา และเป็น “คนกลาง” ที่ทุกฝ่ายให้ความเคารพ
ก่อนหน้านี้ ชัย ชิดชอบ เข้าออกบ้านสี่เสาอย่างถี่ยิบ ในช่วงก่อนให้ลูกชาย เนวิน ชิดชอบ แปลงร่างเป็นงูเห่า เพื่อไทยล้มการจัดตั้งรัฐบาลเพื่อไทย
เสมือนว่า ชัย ชิดชอบ รู้สัญญาณอะไรมา แน่นอนว่าการมาของคนกลาง จะเป็นฉากการเมืองในตอนต่อไป แต่จะหมุนเปลี่ยนสถานการณ์ออกไปจากเหตุการณ์ปัจจุบันได้แค่ไหน หรือไม่ ก็ต้องจับตาติดตามกันต่อไป
อย่างไรก็ตาม หลายคนหวั่นใจว่า มันจะมีเหตุรุนแรงก่อนสงกรานต์ เพราะอาจเกิดเหตุไม่คาดฝัน ซึ่งมีข่าวว่า ทักษิณ-เสื้อแดง ต้องการให้เกิดการเผชิญหน้าจนเกิดเหตุรุนแรง และแตกหักกันไปข้าง
ถ้าหากทักษิณ-เสื้อแดง ต้องการเช่นนั้นจริงๆ “บาปการเมือง”นี้คงไม่มีใครให้อภัย หากคิดเอาประชาชนมาเป็น “เครื่องมือแก้แค้น”ให้ฝ่ายตัวเอง
เราขอบอกไปยังทักษิณ-แกนนำคนเสื้อแดง-ส.ส.เพื่อไทย-อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยและพลังประชาชน-เจ้าหน้าที่รัฐ และนักธุรกิจซึ่งหนุนหลังการชุมนุมครั้งนี้ว่า
ทุกท่านมีสิทธิ์ที่จะเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นที่ไหน จะหน้าทำเนียบรัฐบาล หน้ารัฐสภา หรือแม้แต่หน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ของพลเอกเปรม หากทุกคนเคลื่อนไหวรวมตัวเรียกร้อง
ภายใต้หลักกฎหมาย ความเคารพในสิทธิของผู้อื่น ไม่เปิดเวทีปราศรัยแล้วใส่ร้ายป้ายสี ให้ความเท็จ ปลุกระดมให้เกิดความเกลียดชังและเคียดแค้น
จนนำไปสู่ความแตกแยก และปลุกปั่นให้เกิดความรุนแรงในรูปแบบต่างๆ
เท่าที่ติดตามการชุมนุมของคนเสื้อแดง ก็เชื่อว่าเป็นฝ่ายต้องการจะให้เกิดความรุนแรง เพื่อบีบให้รัฐบาลต้องดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น การใช้กฎหมายความมั่นคงหรือประกาศสภาวะฉุกเฉิน ซึ่งทั้งหมดจะยิ่งทำให้การชุมนุมของคนเสื้อแดงมีความชอบ
ธรรมมากขึ้น และทำให้รัฐบาลอยู่ในสถานการณ์เพลี่ยงพล้ำทันที
ขณะที่ดูท่าทีรัฐบาลยังเชื่อว่า น่าจะอดทนจนถึงที่สุด และไม่ใช้ความรุนแรงกับประชาชน แม้จะมีความพยายามหวังสร้างสถานการณ์เพื่อนำไปสู่เหตุวุ่นวาย จนอำนาจรัฐง่อยเปลี้ย
ซึ่งเห็นแล้วว่าตลอดช่วงการชุมนุมล้อมทำเนียบรัฐบาล ซึ่งถึงวันนี้เป็นวันที่ 10 แล้ว รัฐบาล-ตำรวจ-กองทัพ ก็ปล่อยให้ใช้สิทธิเต็มที่ ไม่ได้มีการสั่งให้สลายการชุมนุม หรือใช้ความรุนแรง ไม่มีการ
ตัดสัญญาณการโฟนอิน-วีดีโอลิงก์-การถ่ายทอดเสียงทั้งทีวี วิทยุ อินเตอร์เน็ต
จนรัฐบาลและหน่วยงานความมั่นคง ถูกด่าเสียด้วยซ้ำว่า ไม่เด็ดขาด อ่อนหัด และหน่อมแน้ม แต่อีกความเข้าใจหนึ่งก็อ่านใจได้ว่า หากรัฐบาลคิดจะเล่นงาน หรือสกัดการชุมนุมจริงก็สามารถทำได้ แต่มันจะ
“เข้าทาง”คนเสื้อแดง
เช่น การตัดสัญญาณวีดีโอลิงก์ หรือไม่ให้มีการเผยแพร่เสียงภาพทางทีวี วิทยุ อินเตอร์เน็ต เพราะรู้ดีว่าจะถูกโจมตีว่าเป็นเผด็จการ จนอาจนำมาเป็นเงื่อนไขปลุกระดม และจะยิ่งทำให้ประชาชนยิ่งออกจากบ้านมารวมตัวกันหน้าทำเนียบรัฐบาลมากขึ้น
ขณะนี้รัฐบาลตั้งรับอย่างเดียว ยังไร้แนวทางจะรุกกลับเมื่อไร เแบบไหน มีแต่เปิดท่าทีจะเจรจากับคนทำลายชาติ ซึ่งเป็นเรื่องที่ขัดต่อหลักนิติรัฐ จนหลายฝ่ายรับไม่ได้
ทั้งหลายทั้งปวง แม้จะมั่นใจลึกๆว่า 8 เมษายน ไม่น่าจะเกิดเหตุ
“ไทยฆ่าไทย จนเลือดนองท่วมแผ่นดิน ”
อย่างที่หลายฝ่ายหวั่นเกรง แต่ก็ใช่จะวางใจเสียทีเดียว สิ่งที่อยากเตือน ทักษิณ-แกนนำเสื้อแดง ก็คือ เรารู้ดีว่า คนอย่างทักษิณไม่หยุดคิดทำร้ายประเทศไทยแน่นอน ทว่า ขอเพียงให้การวางแผนสู้รบนั้น อย่าเอาประเทศชาติเป็นเดิมพัน ทำให้แผ่นดินลุกเป็นไฟ
เพราะยามนี้สิ่งสำคัญก็คือ ความสามัคคีของคนไทยที่ต้องร่วมกันฟันฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจไปให้พ้น ดังนั้นถ้าจะเคลื่อนไหวใดๆ ก็ทำไปเถิด ถ้าไม่ได้ทำให้แผ่นดินไทยเสียหาย
ขณะเดียวกัน เราขอเรียกร้องให้บรรดาผู้มีอำนาจในรัฐบาล กองทัพ และแม้แต่ พลเอกสุรยุทธ์ ออกมาแสดงความรับผิดในบทบาทหน้าที่ที่ท่านมีอยู่ เพื่อแก้ปัญหาให้เหตุการณ์ความขัดแย้งครั้งนี้ยุติโดยเร็ว เพราะเหตุปัญหาเริ่มมาจากเรื่องส่วนตัว แต่ประเทศ
ชาติและประชาชนต้องรับผลกรรม